ป้าคนที่ขายสาลี่อมสาลี่เอาไว้ในปากยังไม่กลืนลงไป นางตกใจเสียจนขาอ่อน แต่ก็กล่าวออกมาอย่างไม่กลัวตายว่า “ทำไมกัน ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเป็นใคร ก็เพียงแค่ ก็เพียงแค่กล่าวว่าชั่วช้าต่ำต้อย ผิดกฎหมายหรือ? แค่นี้ถ้าผิดละก็ เช่นนั้นจะให้เราใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร”
นางอารมณ์ไม่ดี ทั้งๆ ที่เป็นสตรีเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินที่ชื่อเสียงสกปรกกลับมีชีวิตอยู่ได้อย่างหยิ่งผยอง และตัวนางนางกลับต้องคอยทำงานบ้านงกๆ ถูกทั้งสามีกับบุตรชายรังเกียจรังแก ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน
เฟิ่งชิงเฉินก็เพียงแค่มีชาติตระกูลที่สูงกว่า หากนางเกิดมาในชาติตระกูลเช่นนั้น คงจะสง่างามน่านับถือกว่าเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน
ป้าคนที่ขายสาลี่คิดถึงตรงนี้ก็โมโหหงุดหงิดยิ่งนัก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งยืนอยู่กับที่ จับจ้องมองไปยังนางโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ร่างของนางก็โซซัดโซเซแล้วล้มลงไปที่พื้นตะโกนออกมาว่า “แม่นางจวนใหญ่จะฆ่าคน แม่นางแห่งจวนมั่งคั่งจะฆ่าคนแล้ว โลกนี้ยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่ ข้าไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงร้องไห้โหวกเหวกโวยวายออกมาของป้าคนขายสาลี่ คนที่มุงมองดูก็มากขึ้น แต่ละคนพากันชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าจะไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาเนื่องจากรัศมีอันแข็งแกร่งของนาง แต่ดวงตาเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความดูถูก
“ท่านพี่ เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินจึงได้โชคดีและตายยากเช่นนี้ แม้จะตกไปอยู่ในมือของหนานหลิงจิ่นฝาน แต่ก็ยังสามารถกลับออกมาได้โดยไม่รับอันตรายใด” ในขณะเดียวกัน ณ หอน้ำชาแห่งหนึ่ง ซีหลิงเหยาหวาและซีหลิงเทียนเหล่ย นั่งอยู่ที่นั่น มองดูฉากสนุก
“หนานหลิงจิ่นฝานหยิ่งผยองคิดว่าตนเองเก่ง เขาดูถูกสตรีเช่นเฟิ่งชิงเฉินว่าต่ำต้อยอ่อนด้อย การที่จะถูกนางจัดการก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ทายาทจูเซียงก็คงจะถูกทำลายทิ้งแล้ว แผนการของพวกเราก่อนหน้านี้จึงไม่อาจสำเร็จลงได้” ซีหลิงเทียนเหล่ยจับจ้องไปที่เสื้อคลุมของเฟิ่งชิงเฉิน
“นั่นคือเสื้อผ้าของผู้ใด?”
“ท่านพี่ คิดว่าในครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินจะถูกพวกเขาเอาเปรียบหรือไม่” ซีหลิงเหยาหวาชี้ไปที่คนซึ่งล้อมรอบเฟิ่งชิงเฉินอยู่ แล้วกล่าวอย่างสนุกสนาน
“ไม่หรอก เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยยอมให้ผู้ใดเอาเปรียบ นางไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงบริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตใจของนางไม่ได้อ่อนโยน” ซีหลิงเทียนเหล่ยอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเฟิ่งชิงเฉินจะจัดการกับชาวบ้านเหล่านี้อย่างไร
“การสร้างปัญหากับชาวบ้านเหล่านี้ขึ้นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก” ซีหลิงเหยาหวารู้สึกดูถูกการกระทำเช่นนี้อันไม่เฉลียวฉลาดของเฟิ่งชิงเฉิน
สถานการณ์เช่นนี้ ไว้ทีหลังนางค่อยไปตามจัดการชาวบ้านเหล่านั้นก็ได้ เหตุใดจึงต้องทำท่าทางเช่นนั้นออกมา
เป็นจริงดังนั้น การทำให้ชาวบ้านแตกตื่นไม่ใช่ความคิดที่เฉลียวฉลาด แต่อย่าลืมไปว่าชาวบ้านธรรมดาจะไม่ทะเลาะกับขุนนาง ป้าคนขายสาลี่ รังแกเฟิ่งชิงเฉินเพียงเพราะนางไม่มีที่พึ่งใด หากเป็นคนอื่นล่ะก็คงจะไม่กล้าเอ่ยอะไรมากความ แต่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไร้ที่พึ่งพาจริงหรือ?
ต่อให้นางไร้ที่พึ่งพาจริงๆ ก็ไม่ควรจะถูกผู้ตายไปแล้วเช่นนี้
“ทหาร!” จู่ๆ เฟิ่งชิงเฉินก็ตะโกนออกมา ทำเอาป้าคนขายสาลี่ตกใจเสียจนเงียบเสียงลง
“ขอรับคุณหนูเฟิ่ง” ทหารที่เฝ้าประตูยามรู้ดีว่าเมื่อคืนนี้ลั่วอ๋องและองค์ชายซุนหยูเดินทางออกจากเมืองไปเพื่อตามหานาง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าจะรีรอ
เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปที่ป้าคนขายสาลี่แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าสงสัยว่าคนคนนี้คือทายาทของจูเซียง จับนางมา”
ทายาทจูเซียง? ทหารชั้นผู้น้อยสูดลมหายใจเข้า แล้วมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปทันที
แม่นางเฟิ่งช่างน่ากลัวเหลือเกิน โทษฐานเช่นนี้เกรงว่าป้าคนขายสาลี่คงจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว
“ใช่” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า
จะถูกใส่ร้ายหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง ในเมื่อกล้าที่จะชี้จมูกด่านาง ก็ควรที่จะกล้ายอมรับถึงผลที่ตามมา เพราะความซวยล้วนออกมาจากปากของตนเอง
เมื่อป้าคนขายสาลี่ได้ยินดังนั้นก็รีบหุบปากของตนลงทันใด ก่อนจะได้สติกลับคืนมาแล้วรีบกระโดดลุกขึ้นจากพื้น พุ่งไปทางเฟิ่งชิงเฉิน กลับถูกทหารเข้ามารั้งเอาไว้ ป้าคนขายสาลี่พยายามดิ้นรนแล้วอ้าปากด่าว่า “นังผู้หญิงสารเลว เจ้าใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ เจ้ากล่าววาจาไร้สาระ เจ้าตายไม่ดีแน่……”
“ช่วยด้วย ข้าถูกใส่ร้าย! นายท่าน ข้าถูกใส่ร้าย! สตรีคู่ไร้บิดามารดาคนนี้ใส่ร้ายป้ายสีข้า นายท่านเจ้าคะ”
“นังผู้หญิงสารเลวผู้ต่ำต้อย มิน่าเล่าที่บิดาของเจ้าตายอย่างไร้แผ่นดินกลบฝัง เจ้าช่างโหดร้ายโหดเหี้ยมยิ่งนัก เจ้าใส่ร้ายป้ายสีข้าเช่นนี้ได้อย่างไร……”
ป้าคนขายสาลี่คิดว่าตนเองนั้นบริสุทธิ์ จึงไม่เกรงกลัวต่อการว่าโทษของเฟิ่งชิงเฉิน และเอาแต่เอ่ยวาจาดุด่าคนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ พากันถอยหลังออกไป
แม้ว่าพวกเขาก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเช่นกัน แต่ไม่ได้โง่เขลาดุจเช่นสตรีผู้นี้ พวกเขารู้ดีว่าการเข้าไปคล้องเกี่ยวกับคดีจูเซียนจะเป็นเช่นไร
บริสุทธิ์หรือ? เมื่อเข้าไปในคุกแล้วไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าหรอกว่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่
หึๆ……
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น คนที่โง่เง่าเช่นนี้มีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงเพื่อปกปิดความเยือกเย็นในดวงตาของตน “ยังมัวมึนงงทำอะไรเล่า ยังไม่รีบเอาตัวไปอีก”
“ขอรับ เพียงแต่ว่าสตรีผู้นี้มองไปแล้วไม่ค่อยเหมือน……” ทหารผู้น้อยตกตะลึง สตรีที่งี่เง่าป่านนี้จะไปเป็นทายาทของจูเซียงได้อย่างไร?
“ไม่เหมือนหรือ?” พวกเจ้าจับผู้ร้ายเพียงเพราะดูหน้าตาภายนอกงั้นหรือไร พวกเจ้าทำงานเช่นนี้กันหรือ หากว่าสตรีนางนี้เป็นคนร้ายจริงๆ เล่า ความรับผิดชอบนี้พวกเจ้าจะรับได้หรือ ต่อให้ฆ่าผิดคนก็ไม่ยอมปล่อยให้คนชั่วต้องลอยนวล หากพวกเจ้า ไม่อาจทำงานนี้ได้ ก็จงบอกไปยังองครักษ์เลือด ข้าคิดว่าใต้เท้าลู่คงจะยินดีช่วยเหลือพวกเจ้ายิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเยาะออกมาด้วยความเยือกเย็น
“ขะ ขะ ขอรับ” ทหารชั้นผู้น้อยรีบเข้ามาลากตัวนางออกไป
ป้าคนนั้นได้แต่ส่งสายตาอันกระวนกระวายออกมา แล้วรีบกล่าวโวยวายว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับไม่มีใครสนใจนาง
“แม่นางเฟิ่ง……ข้าผิดไปแล้ว ข้าปากพล่อยไปเอง ท่านผู้มีจิตใจเมตตากรุณาได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ที่บ้านข้ายังมีพ่อแม่และบุตรต้องดูแล” บัดนี้ป้าขายสาลี่เพิ่งจะได้สติกลับมาและลนลาน นางรีบร้องขอเฟิ่งชิงเฉินทันที
นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่านางทำผิดอะไรไป ตามปกติแล้วนางก็มักจะเอ่ยปากด่าทอเพื่อนบ้านเช่นนี้เป็นประจำ มีอยู่คราวหนึ่งที่นางด่าทอสตรีในตระกูลใหญ่ แม่นางผู้นั้นไม่อาจทนได้กับการด่าทอของนาง จึงได้แขวนคอตาย และยังมีแม่นางอีกหลายคนที่ถูกนางด่าทอ ท้ายที่สุดถูกสามีของตนทุบตีทำร้ายร่างกาย แต่เหตุใดในวันนี้จึงไม่เหมือนเดิม
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงและไม่อยากจะฟังอีกต่อไป
ทุกคนล้วนกล่าวว่าชาวบ้านเป็นผู้น่าสงสารที่สุด แต่ใครจะรู้เล่าว่าหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้นก็ชังน่ารังเกียจเหลือเกิน
ป้าคนขายสาลี่เห็นว่าการร้องขอชีวิตเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นผล นางจึงได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “แม่นางเฟิ่ง ข้าถูกใส่ร้าย จริงๆ แล้วมีคนมีคนให้เงินข้า กล่าวว่าให้ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นเจ้าก็ให้เอ่ยปากด่าทอ ท่านขุนนางทั้งหลาย ได้โปรดข้าถูกใส่ร้ายได้โปรดช่วยเชื่อข้าเถิด!”
มีคนจ้างวานนางจริงๆ……
ป้าคนขายสาลี่ถูกคนเอามืออุดปากเอาไว้แล้วลากลงไป ที่หน้าประตูเมืองจึงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางฝูงชน “พวกเจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวอีกหรือไม่”
ประโยคนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงคำที่ถูกบังคับ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา ทุกคนรู้สึกใจหายและรีบส่ายหน้า ก่อนจะพากันถอยหลังออกไป
“หากไม่มีก็จงไสหัวไปเสีย”
“ขอรับ เจ้าค่ะ”
พวกเขาพากันถอยหนีอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้า พยายามระงับความโกรธและความน้อยเนื้อต่ำใจ นางเดินเข้าไปท่ามกลางการซุบซิบนินทาของชาวบ้าน ตรงไปยังจวนเฟิ่ง
สมองของนางยังคงดังก้องด้วยประโยชน์ของป้าคนขายสาลี่ว่า “มีคนให้เงินข้า มีคนให้ข้ามาด่าเจ้าที่นี่”
ใครกันที่ต้องการบีบบังคับให้นางตาย นางเป็นเพียงสตรีกำพร้า ไปขัดหูขัดตาผู้ใดเล่า? เหตุใดจึงอยากให้นางตายเช่นนี้
หนาว ช่างหนาวเหลือเกิน บัดนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกหนาวเข้ากระดูกดำ เมืองหลวงแห่งนี้ราวกับปีศาจร้ายที่กัดกลืนกินร่างของผู้คน