บทที่ 208 เหตุการณ์เดิม เข้าเมืองช่างยุ่งยาก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“แม่นางพวกนี้คือใครกัน เช้าตรู่เช่นนี้อยู่ที่หน้าประตูเมือง อีกทั้งสวมเสื้อผ้าของชายหนุ่ม”

“พวกเจ้าดูสิ ที่คอของนางมีรอยมือมากมายเป็นรอยแดง หรือนางจะถูกข่มขืนกัน”

“ไร้สาระ นี่คือ อาณาเขตใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิ จะเกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร อีกอย่างหากพบเข้ากับผู้ร้ายจริงๆ คิดว่านางจะเดินออกมาได้อย่างมีชีวิตเช่นนี้หรือ ข้าคิดว่าแม่นางผู้นี้น่าจะเป็นสตรีในจวนใดสักแห่ง แล้วหลบหนีตามไปกับชายหนุ่ม ทว่ากลับถูกปล้นเงินทองแล้วทิ้งไป” ชายวัยกลางคนบางคนแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา แล้วกล่าวเรื่องราวว่าแม่นางผู้นี้เป็นหญิงสาวในจวนใดจวนหนึ่งหลบหนีตามใช่หนุ่มผู้ยากไร้ไป ท้ายที่สุดแล้วกลับถูกปล้นทรัพย์ ขืนใจแล้วทิ้งไว้

หากว่าเรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นตัวหลักล่ะก็ เฟิ่งชิงเฉินคงจะหัวเราะออกมา

ช่างสร้างเรื่องได้เหมือนเหลือเกิน ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนพากันเชื่อว่านางหนีตามชายหนุ่มไป จากนั้นก็พากันคาดเดาไปว่านางมาจากจวนใด เฟิ่งชิงเฉินโมโหและขำยิ่งนัก เป็นจริงดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดล้วนมีคนชอบซุบซิบนินทายุ่งเรื่องราวของชาวบ้าน

เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงไปหยุดอยู่ด้านหลัง นางกำลังรอต่อแถวเข้าเมือง ใครจะไปรู้ว่าเมื่อนางไปหยุดยืนอยู่ตรงนั้น คนด้านหน้าก็ได้ถอยให้นางเข้าไปก่อน “แม่นางเชิญเถิด”

แม่นางผู้นี้หน้าตางดงามทีเดียว น่าเสียดายเหลือเกินที่เจอกับคนเลว บางคนถอนหายใจออกมา

เฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่สนใจพวกเขา เมื่อมีคนหลีกทางให้นางก็เดินตรงไปข้างหน้า เนื่องจากบัดนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ ผู้ที่ต่อแถวเข้าเมืองมีไม่มากนัก ประมาณยี่สิบกว่าคนเท่านั้น

“อ้อจริงสิ พวกเจ้าจำแม่นางเฟิ่งได้หรือไม่ เมื่อครึ่งปีก่อนนางไม่ต่างอะไรกับแม่นางผู้นี้เลย แต่นางน่าสังเวชมากกว่าแม่นางผู้นี้มากนัก” ชายหนุ่มคนหนึ่งดวงตาเป็นประกาย มองไปทางเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วจู่ๆ ก็กล่าวเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อนขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นกับตา แต่หลายๆ คนก็ได้ยินมาบ้าง

“ในวันนั้นแม่นางเฟิ่งสวมเพียงเสื้อผ้าบางเบา มีรอยแดงจ้ำทั่วกาย จุ๊ๆๆ……คนที่อยู่ที่นั่นล้วนคิดว่าแม่นางผู้นี้จะพุ่งชนกำแพงตาย ที่ไหนได้นางกลับเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่ไม่ได้พุ่งชนกำแพงตาย นางยังจัดการกับชายหนุ่มสิบกว่าคนที่หน้าประตูเมืองอย่างราบคาบ แล้วเตะบุตรชายของเจ้าเมืองคนก่อนเสียจนเป็นหมัน ในเวลานั้นพวกเราล้วนคิดว่าแม่นางเฟิ่งคงจะตายแล้วแน่แท้ คาดไม่ถึงเอาเสียจริงว่านางไม่เพียงจะไม่ตายอีกทั้ง ยังสามารถรักษาดวงตาของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังจนหายได้ สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง”

“เมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ดูเหมือนข้าจะนึกออกแล้ว แม่นางผู้นี้ตั้งใจจะเลียนแบบแม่นางเฟิ่งหรือ? ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเก่งกาจเช่นแม่นางเฟิ่ง และไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถเป็นเช่นแม่นางเฟิ่งได้ที่ไม่สนใจชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ของตนเอง”

“ก็นั่นน่ะซิ แม่นางผู้นี้กับแม่นางเฟิ่งจะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร แม่นางเฟิ่งไม่มีพ่อแม่และญาติคนอื่นๆ ต่อให้นางสูญเสียพรหมจรรย์ไปก่อนแต่งงาน จึงไม่มีผู้ใดในตระกูลอับอายเสียจนจับนางถ่วงน้ำ การที่แม่นางผู้นี้ตั้งใจจะเลียนแบบ แม่นางเฟิ่ง คาดว่าคงจะมีแต่ตายสถานเดียว”

……

ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาด้วยเสียงอันดัง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็เหมือนจะไม่ได้

เฟิ่งชิงเฉินคิดอยู่ในใจว่า หากคนเหล่านี้รู้ว่านางคือเฟิ่งชิงเฉิน แล้วจะเป็นเช่นไร?

นินทานางต่อหน้าต่อตา!

ในขณะที่ทุกคนกำลังรอเวลาอยู่นั้น ประตูเมืองก็ถูกเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด ผู้เฝ้าประตูเมืองเดินหาวออกมา ท่าทางดูยังง่วง

การที่ต้องตื่นมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้คาดว่าคงจะง่วง อีกอย่างเมื่อคืนนี้ทั้งนอกเมืองในเมืองล้วนเกิดความวุ่นวายขึ้น พวกเขาจะนอนหลับได้อย่างไร

“เข้าแถวให้ดี ด่านซ้ายเข้าเมือง ด้านขวาออกจากเมือง โปรดแสดงหนังสือผ่านทาง” ทหารชั้นผู้น้อยหาวออกมาแล้วขยี้ดวงตาของตน เมื่อพวกเขามองเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้านหน้า ก็คิดว่าตัวเองมองผิดไป จึงพากันขยี้ดวงตา

อะไรกัน ช่วงนี้ที่เมืองเป็นอะไรไป มักจะมีสตรีเช่นนี้ปรากฏอยู่ข้างนอกเมือง นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว แม้ว่าสองครั้งก่อนหน้าจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่ถูกคนอื่นรังแก แต่ในครั้งนี้……

ทหารชั้นผู้น้อยทำท่าทางกระตือรือร้นแล้วรีบเดินตรงเข้ามา……

เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการที่จะให้อีกฝ่ายเอ่ยถามสิ่งใดออกมา เขายังไม่ทันจะอ้าปาก นางก็ก้าวเข้าไปแล้วกระซิบว่า “ข้าคือเฟิ่งชิงเฉิน ให้ข้าเข้าเมือง”

น้ำเสียงนั้นไม่ดัง เพียงแค่คนสองคนที่ได้ยิน เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เนื่องจากการที่ปรากฏตัวอย่างสะบักสะบอมอยู่หน้าประตูเมืองหลายครั้งหลายครา ไม่ใช่เรื่องที่ควรภูมิใจนัก

แต่ทหารผู้นี้ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉิน เร็วเข้า รีบไปรายงานแม่ทัพตี๋ว่าเฟิ่งชิงเฉินกลับมาแล้ว”

“อะไรนะ? เป็นเฟิ่งชิงเฉินอีกแล้วหรือ? เหตุใดนางจึงมีสภาพเช่นนี้? ในครั้งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเล่า?” เมื่อคนที่รอเข้าเมืองได้ยินดังนั้นก็หยุดยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน

“ข้าก็ว่าอยู่ ในโลกนี้จะมีสตรีนางใดที่กล้าหาญเช่นนาง ที่แท้คือเฟิ่งชิงเฉินนี่เอง หึๆๆ แม่ทัพเฟิ่งที่อยู่บนสวรรค์คาดว่าคงจะโมโหอัดอั้นใจตายกระมัง”

“แม่ทัพเฟิ่งเหตุใดจึงมีบุตรสาวเช่นนี้ได้ ช่างขายหน้าชาวตงหลิงของเราเช่นยิ่งนัก ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ต่อให้นางไม่สนใจต่อความบริสุทธิ์ของตน แต่ก็ควรจะเห็นแก่ชื่อเสียงของตนเองบ้าง หากว่าให้คนภายนอกรู้คงคิดว่าสตรีชาวตงหลิงของเราหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ไปหมด”

……

คาดไม่ถึงว่าจะสร้างความโกลาหลขึ้นมาได้!

เฟิ่งชิงเฉินเบิกตาจ้องมองดูทหารน้อยผู้นั้นก่อนจะตะคอกว่า “ข้าเข้าเมืองได้หรือยัง?”

“ขะ ขะ ขอรับ” ทหารผู้นั้นตัวสั่นงกแล้วรีบพยักหน้าตอบรับ

“ทหารที่ซื่อจื่อของเซียวชินอ๋องช่างเก่งกาจยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาเยาะเย้ยก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านใน

“อะไรกันนี่ แม่นางเฟิ่ง ช่างกร่างแบบนี้ ในครั้งก่อนนางก็ทำร้ายคนอื่นที่หน้าประตูเมือง ครั้งนี้กลับข่มขู่ทหารที่อยู่หน้าประตูเมือง ถ้าหากสตรีในเมืองตงหลิงล้วนเลียนแบบนาง จะไม่วุ่นวายไปใหญ่หรือ”

“นี่แหละหนา สตรีผู้ไม่มีบิดามารดาคอยสอนสั่ง แต่เหตุใดจึงมีทีท่าอันโหดร้ายโหดเหี้ยม ดีเหลือเกินที่นางไม่ได้แต่งงานกับลั่วอ๋อง หากสตรีเช่นนี้แต่งงานเข้าไปในพระราชวัง คงจะทำให้เราชาวตงหลิงต้องเสียหน้าอย่างมากมาย”

“แม่ทัพเฟิ่ง ตายตาไม่หลับแน่”

……

หากว่าคนเหล่านี้เพียงแค่เอ่ยวาจาดุด่านางก็ยังไม่เท่าไร นางยังพอจะทำเป็นมองไม่เห็นได้ แต่นี่พวกเขาเอาแต่กล่าวถึงบิดามารดาของนางไม่หยุดหย่อน เฟิ่งชิงเฉินจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมา

“หุบปากเสีย!”

นางจ้องมองไปทางคนเหล่านี้ด้วยแววตาอันแหลมคม แววตานั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพากันหุบปากลง จากนั้นนางก็ทำท่าทางดูแข็งแกร่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ให้ข้าได้ยินพวกเจ้ากล่าวถึงบิดามารดาข้าอีกครั้งหนึ่ง ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้สิ้น”

แม้เสื้อผ้าของนางจะดูน่าสมเพชเวทนา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความสง่างามยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของนางเอาไว้ได้ รังสีอำมหิตที่

“ฆ่าพวกเราอย่างงั้นหรือ แม่นางเฟิ่งกล้ากล่าวออกมาได้อย่างไร ทำไมเล่า กล้าลงมือทำแต่ไม่กล้ายอมรับเมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่รู้ว่าบิดามารดาเช่นไรจึงเลี้ยงบุตรสาวของตนออกมาได้หน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ หากว่าเป็นบุตรสาวของข้าล่ะก็ คงจะตบตีนางจนตายไปนานแล้ว” ป้าคนขายสาลี่คนหนึ่งกล่าวออกมาเมื่อเห็นดูท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นนั้น ไม่รู้ว่านางโง่เง่าเกินไปหรือเป็นเพราะอยากทำตัวให้โดดเด่น จึงถุยน้ำลายไปทางเฟิ่งชิงเฉิน

เอ่อ…… ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพากันสูดลมหายใจเข้า ผู้ที่อยู่ข้างกายป้าคนนี้พากันหลบหลีก สตรีนางนั้นยังคงไม่ยอมหยุด นางหยิบสาลี่ขึ้นมาแล้วกัดไปคำหนึ่ง ก่อนจะด่าต่อไปว่า

“คนบางคนก็เหมือนกับลูกสาลี่นี้ มองไปดูน่ากิน แต่เพียงแค่มีเงินก็สามารถจับต้องได้ ไม่มีค่าเท่ากับโสเภณีในหอนางโลมเสียด้วยซ้ำ ถุยๆๆ มีบิดาเป็นท่านแม่ทัพแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ขายร่างกายของตนเองอย่างต่ำต้อย คิดว่าสูงส่งกว่าพวกเรามากนักหรือ น่าเสียดายเหลือเกิน แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่คนต่ำต้อยเช่นกัน……”

“กล่าวได้ดีนี่ กล่าวต่อสิ” เฟิ่งชิงเฉินก้าวขาออกมายืนอยู่ตรงหน้าป้าคนนั้น แม้เทียบกันแล้วร่างของนางจะดูเล็กกว่า แต่ท่าทางอันหยิ่งผยอง กลับทำให้คนอื่นไม่อาจละสายตาได้