ภายในห้อง ครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนกำลังถกกันเรื่องนี้
ส่วนที่ด้านนอก แม่อวี๋ที่ถ่ายรูปกับพวกสืออวี้เสร็จแล้วก็เรียกพลโทอวี๋เข้าไปประชุมด่วนในห้อง ทิ้งลูกชายไว้ดูแลพวกเพื่อนๆของเสี่ยวเชี่ยน
แก๊งค์เพื่อนของเสี่ยวเชี่ยนได้สืออวี้ดูแลควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว พวกเธอไม่ได้แสดงความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้นั่งรถไปที่โรงแรม ต่างรอดูประธานเชี่ยนก่อนว่าจะเอายังไง
อีกเดี๋ยวถ้าประธานเชี่ยนออกมาบอกว่าให้ไป พวกเธอก็จะไปงานพร้อมประธานเชี่ยนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มช่วยสร้างบรรยากาศให้
แต่ถ้าประธานเชี่ยนหน้าบึ้งออกมา พวกเธอก็จะตามประธานเชี่ยนกลับบ้านตัวเอง ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง
ตอนนี้ที่ทำตัวร่าเริงสนุกสนานก็เพราะเห็นแก่หน้าประธานเชี่ยน รอประธานเชี่ยนออกมาพูดว่าจะเอาไงต่อ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าปกติเสี่ยวเชี่ยนวางตัวดีขนาดไหน เพื่อนๆล้วนให้เกียรติเธอ
แม่อวี๋เข้าไปอีกห้องหนึ่งกับพ่ออวี๋แล้วปิดประตูคุยกันสองคน
ก่อนอื่นเลยแม่อวี๋แสดงความไม่พอใจ การแสดงออกว่าไม่พอใจของแม่อวี๋ตรงไปตรงมามาก ชี้หน้าด่าพลโทอวี๋ทันที
“แบบนี้ยังจะให้ใช้ชีวิตกันต่อไปไหม? วันมงคลของลูกชายฉันยังจะมาเรียกตัวไปอีก คิดจะทำอะไรกัน? อวี๋เว่ยกั๋วคุณไปเรียกลูกกลับมาเลยนะ งานเลี้ยงฉลองจะให้เสี่ยวเชี่ยนรับหน้าคนเดียวไม่ได้!” แม่อวี๋อยากจะบ้าตายอยู่แล้ว
พลโทอวี๋เองก็โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาเป็นทหารมาทั้งชีวิตย่อมรู้ว่าลูกชายลำบากใจแค่ไหน
ใครใช้ให้เป็นทหารล่ะ เป็นทหารก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งไปตลอดชีวิต
ต่อให้ในใจก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ดี ปากก็ยังต้องเถียงสู้
“คุณจะมาลงกับผมทำไม? ลูกทำตามหน้าที่ ทางหน่วยมีความจำเป็นเลยต้องเรียกตัวไป ปฏิเสธไม่ได้! อีกอย่าง คุณก็ใจเย็นหน่อย ถ้าเรียกเจ้าเล็กไปในวันสำคัญแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นเรื่องใหญ่ คุณต้องเห็นแก่งานใหญ่นะ!”
พลโทอวี๋พูดด้วยท่าทีขึงขัง แต่แม่อวี๋ก็ยังไม่ยอม
“งานใหญ่อะไร? งานใหญ่ที่ว่าก็คือลูกชายฉันทิ้งลูกสะใภ้ไว้คนเดียวนี่แหละ ทิ้งคนเยอะแยะให้รออยู่ที่โรงแรม แบบนี้คนอื่นเขาจะมองครอบครัวเรายังไง? จะไปสู้หน้าบ้านผู้หญิงได้ยังไง? ไปเลยนะ ไปอธิบายกับบ้านเสี่ยวเชี่ยน! ฉันจะบอกให้นะ ฉันเข้าใจความรู้สึกในเวลานี้ของพวกเขาแล้ว พูดตามตรง ถ้าเขาจะพาลูกสาวกลับไปพวกเราก็รั้งไม่ได้!”
“อย่าพูดให้มันดูรุนแรงขนาดนั้นสิ…” เห็นได้ชัดว่าพ่ออวี๋คัดค้านเสียงอ่อน อันที่จริงเขาก็หาเหตุผลมาแย้งไม่ได้ จุดยืนในฐานะที่เป็นทหารจะแสดงออกว่าไม่พอใจก็ไม่ได้
“ทำไมจะไม่รุนแรง? ฉันก็มีลูกสาว เสี่ยวซียังไม่แต่งงาน แต่คุณลองคิดดูนะ ถ้าวันที่ลูกสาวเราแต่งงานเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เจ้าบ่าวทิ้งเจ้าสาวไปกลางคัน คุณจะไม่โกรธเหรอ? คุณโกรธ ครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนก็ต้องโกรธเหมือนกัน ไม่มีใครเขาทำกันแบบนี้! บอกฉันมาซิ ตอนนี้จะให้ทำยังไง!”
แม่อวี๋โมโหมาก พูดจาเสียงดัง พ่ออวี๋มองไปรอบๆ กลัวคนข้างนอกจะได้ยิน ด้วยความร้อนใจจึงเอามือปิดปากแม่อวี๋ แม่อวี๋เองก็ไม่เกรงใจกัดมือพ่ออวี๋ลงไปเต็มคำ
เธอพาลไปหมด อยากทำอะไรก็ทำ!
พลโทอวี๋ถูกกัดเจ็บจนต้องกัดฟันทน จะสู้กลับก็ไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าบ้านตัวเองผิดเต็มๆ
คนที่มาร่วมงานแต่งเป็นญาติๆที่มาจากทั่วทุกสารทิศ แต่ละคนเดินทางมาไกล นี่เจ้าบ่าวทิ้งงานไปแล้ว จะให้ทำไงได้?
ต่อไปจะมีหน้าเจอครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนได้อีกเหรอ?
ประเด็นคือลูกชายกับลูกสะใภ้รักกันขนาดนั้น ถ้าชีวิตคู่ต้องมีปัญหาเพราะเรื่องนี้ เขาจะไปหาลูกสะใภ้เก่งๆแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก?
แต่เรื่องบางอย่างใช้ว่าจะตัดสินใจเองได้ อย่างเช่นเรื่องที่เจ้าเล็กต้องออกจากงานแต่งกะทันหัน ใครจะไปนึกถึง มันเป็นความลำบากใจที่บอกใครไม่ได้จริงๆ!
อีกฟากหนึ่งของกำแพง เจี่ยซิ่วฟางพูดสู้พ่อเลี่ยวไม่ได้ ครั้นแล้วจึงทำท่าทางไม่ต่างกับแม่อวี๋ เธอชี้หน้าพ่อเลี่ยว “ทำไมวันนี้พูดมากแบบนี้? ตอนนี้ฉันเริ่มจะเหม็นขี้หน้าคุณแล้วนะ!”
ทำตัวอย่างกับเด็ก ท่าทางแบบเด็กๆแสดงให้เห็นเลยว่าโมโหจริงๆ โมโหจนเลอะเลือน
พ่อเลี่ยวไม่โกรธ ยืนพูดด้วยเหตุผลอยู่ข้างๆ
“ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก เชี่ยนเอ๋อของเรากับหมิงหลางก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ตอนนี้ถ้าอาละวาดไปก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อเชี่ยนเอ๋อ ต่อไปเขาจะอยู่กับครอบครัวนั้นยังไง?”
เหตุผลก็คือเหตุผล แต่เรื่องอารมณ์มันยากที่จะควบคุม
พ่อเลี่ยวเป็นประเภทที่ใช้สติเข้าสู้ เจี่ยซิ่วฟางกับต้าหลงเป็นประเภทใช้อารมณ์เป็นใหญ่ พวกเขาสงสารเสี่ยวเชี่ยน
“พี่ ตระกูลอวี๋มีอำนาจขนาดนั้น เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ แบบนี้ไม่แสดงว่าพวกเขาไม่แคร์พี่เหรอ? ไม่ต้องแต่งแล้ว ตอนนี้ผมจะไปเอาเรื่องคนพวกนั้นแทนพี่เอง! ถึงผมจะยังเด็ก แต่ก็เป็นผู้ชายของบ้านนี้ พี่ฟู่กุ้ยจะไปด้วยกันไหม?” ต้าหลงหัวร้อน คิดแต่จะไปเอาเรื่องแทนพี่สาวให้ได้
“ต้าหลง เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดนะ เชื่อฟังพี่สาวดีกว่า” ขาของฟู่กุ้ยยังไม่หายดี ต้องรออีกหน่อยถึงจะหายสนิท แต่สมองไม่ได้พิการ
“หมดกัน ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆถึงไม่ทำอะไร ได้ พี่ไม่ไปผมไปเอง!” ต้าหลงหันตัวจะเดินออกแต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนลากไว้ ง้างมือเตรียมจะตีน้องชายแต่ก็นึกได้ว่าวันนี้วันมงคลห้ามลงไม้ลงมือจึงเปลี่ยนเป็นผลักแทน
“ไอ้น้องบ้านี่ พูดจาแบบนี้กับพี่ชายได้ยังไง? ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้! ช่วงหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาทำตัวกับนายยังไง? ทำไมถึงพูดจาไม่ดีใส่เขา?”
ถ้าไม่ได้ฟู่กุ้ยหาเวลามาสอนเสริมให้ต้าหลง มีเหรอที่น้องชายเธอจะสอบติดมหาวิทยาลัย
“ขอโทษครับพี่ ผมโมโหขาดสติไปหน่อย” ต้าหลงเองก็ได้สติแล้ว คำพูดที่บอกว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆเขาพูดเกินไป จึงรีบขอโทษฟู่กุ้ย
ฟู่กุ้ยโบกมือ “ไม่ต้องคิดมาก พี่รู้ว่านายร้อนใจเรื่องเชี่ยนเอ๋อ”
คนมีความรู้สูงย่อมใช้สมองมากกว่าอารมณ์ ถ้าเป็นคนอื่นคงโมโหไปนานแล้ว
“หัดเอาอย่างพี่ฟู่กุ้ยเสียบ้าง! สมองคืออะไร? สมองคือสิ่งที่ดีมากๆ ฉันหวังว่านายจะมีบ้าง พี่เขยนายก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน! ฉันรู้ว่านายเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉัน รู้ว่าโกรธแทนพี่ มันคือความหวังดี แต่ถ้านายไม่มีสมอง ความหวังดีของนายจะมีประโยชน์อะไร?”
เสี่ยวเชี่ยนทั้งโกรธทั้งซึ้งใจที่เห็นน้องชายเป็นแบบนี้ ซึ้งใจที่น้องชายรักเธอขนาดนี้ โกรธที่น้องเธอไม่หัดคิดให้ดี ใช้อารมณ์ตามแม่เธอไปด้วยอีกคน
“พี่! ยังไม่ทันแต่งออกไปพี่ก็ไปเข้าข้างบ้านนั้นแล้วเหรอ? บ้านนั้นทำกับเราขนาดนี้พี่ยังจะเข้าข้างพวกเขาอีก!”
“ด่าว่าไม่มีสมองยังไม่ยอมรับอีก! เอาแต่พูดว่าครอบครัวพี่เขยมีอำนาจ แล้วนายรู้ไหมว่าอำนาจเอาไว้ใช้ทำอะไร? อำนาจ ในสมัยก่อนหมายถึงลูกตุ้มตราชั่ง ก็คือลูกตุ้มที่เอาไว้ถ่วงวัดปริมาณเวลาชั่งน้ำหนัก เมิ่งจื่อเคยบอกไว้ว่า อำนาจเป็นตัวชั่งว่าหนักหรือเบา เข้าใจความหมายของมันไหม?”
“…หมายความว่าไงเหรอ?” ต้าหลงถูกเด็กเนิร์ดข่มอีกแล้ว
“พี่สาวนายหมายความว่า ทำอะไรก็ต้องรู้จักหนักเบา คนที่มีอำนาจจริงๆไม่มีทางใช้อำนาจของตัวเองสุ่มสี่สุ่มห้า” ฟู่กุ้ยอธิบาย
“เรื่องแต่งงานจะเป็นการทำสุ่มสี่สุ่มห้าได้ไง? ก็แค่พูดไปคำเดียว!”
เสี่ยวเชี่ยนเลิกเถียง สาเหตุที่เธออยากให้ต้าหลงเข้าไปฝึกหนักในค่ายทหารก็เพราะอยากให้น้องเธอแก้นิสัยที่เอะอะก็ใช้อำนาจข่มคนอื่น
“แม่ ต้าหลง งานแต่งของหนูกับหมิงหลางหากจะว่ากันจริงๆมันก็เสร็จพิธีหมดแล้ว ทะเบียนสมรสก็จดแล้ว เข้าพิธีก็ทำแล้ว พวกแม่ก็แค่โกรธที่เขาไม่มางานฉลองสมรสไม่ใช่เหรอ? แต่แม่ก็รู้ดีแก่ใจ ว่างานแต่งนี้จัดให้ใครดู? ก็แค่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว หนูยอมรับว่าหนูก็ไม่ได้รู้สึกโอเคเท่าไร แต่แล้วจะทำไงได้? ตอนนี้สิ่งที่บ้านเราทำได้ก็แค่ทำให้งานมันดำเนินต่อไปจนจบ งานเลี้ยงฉลองแต่งงานที่ไม่มีเจ้าบ่าว ไม่แน่อาจได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปก็ได้”