ตอนที่ 420 ฉากจูบ
“ฮัดชิ้ว”

ซูฉิงหัวเราะและตอบกลับว่า “แอลเปิ้ลปลอกเปลือกเสร็จแล้ว และฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”

ฮ่อหยุนเฉิงอยู่ในอาการนิ่งงันเมื่อรู้ตัวว่าโดนซูฉิงหลอก

“แล้วเธอตะโกนเสียงดังออกมาทำไมล่ะ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วง” ขณะที่พูดเขาก็ปล่อยมือซูฉิงลงและกลับไปทำงานต่อ

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังโกรธ เพราะเมื่อสักครู่ฮ่อหยุนเฉิงแสดงความเป็นห่วงเธอแต่เธอกลับหัวเราะขำซะอย่างนั้น!

ยิ่งเอาความเป็นห่วงของเขามาล้อเล่น เป็นใครใครก็โกรธ

หยุนเฉิง?

“ฮ่อหยุนเฉิง ทำไมนายไม่สนใจฉันล่ะ? นายโกรธฉันเหรอ?”

ฮ่อหยุนเฉิงเพิกเฉยต่อเสียงร้องเรียกของซูฉิง แน่นอนว่าเขาโกรธเธอที่เธอล้อเล่นกับความกังวลและเป็นห่วงของเขา!

ซูฉิงมองมาที่ฮ่อหยุนเฉิงและส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“ทำไมฉันรู้สึกว่านายโกรธเหมือนเด็กน้อยเลยนะ?”

“ฉันไม่ล้อนายเล่นแล้วก็ได้ พอดีฉันเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าต้องกลับไปที่บริษัท นายกลับไปที่นั่นเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ซูฉิงส่งเสียงออดอ้อนแสนหวานเพื่อหวังจะง้องอนชายตรงหน้า แต่ฝ่ายชายกลับไม่สนใจเธอแม้แต่นิดเดียว

“ทำไมนายไม่สนใจฉันเลยล่ะ? ถ้านายไม่ไปฉันจะไปคนเดียวแล้วนะ”

ซูฉิงเดินไปที่ประตูและเปลี่ยนรองเท้าเพื่อเตรียมออกไป “หยุนเฉิง ฉันจะออกไปคนเดียวแล้วนะ นายแน่ใจใช่ไหมว่าจะไม่ไปกับฉัน?”

ฮ่อหยุนเฉิงเพิกเฉยและยังคงจ้องมองจอคอมพิวเตอร์ต่อไปอย่างไม่ลดสายตา

“ฉันจะไปจริงๆแล้วนะ”

ซูฉิงแสร้งทำเป็นหันหลังเพื่อเปิดประตู แต่ฮ่อหยุนเฉิงก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา ซูฉิงมองกลับมามองชายหนุ่มเพียงชั่วครู่ แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่

“หยุนเฉิง ฉันจะออกไปจริงๆแล้วนะ”

เมื่อเห็นว่าฮ่อหยุนเฉิงไม่สนใจ ซูฉิงจึงเปิดประตูออกไปและเดินจากไปด้วยความงอน

เมื่อฮ่อหยุนเฉิงเห็นว่าซูฉิงจะกลับไปที่บริษัทเพียงคนเดียวจริงๆ เขาก็ไม่อาจทนนั่งอีกต่อไปได้ ร่างสูงลุกขึ้นและวิ่งออกไปทันที และเมื่อเขาเปิดประตูออกมา จึงได้พบว่าเขาถูกหญิงสาวหลอกอีกครั้ง เพราะเขาได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ที่มักจะอยู่บนร่างของซูฉิง

ทันใดนั้นก็มีมือคู่หนึ่งยื่นออกมาโอบกอดเอวของเขาไว้

“ฉันรู้ว่านายไม่ยอมปล่อยให้ฉันออกไปไหนคนเดียวตอนกลางคืนแน่ๆ”

“อ๊ะ! ฮ่อหยุนเฉิง ทำอะไรน่ะ ฉันเจ็บนะ!”

ฮ่อหยุนเฉิงจับมือซูฉิงและบีบมือเล็กเพียงเล็กน้อย เขาดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนและลดศีรษะลงมาประกบริมฝีปากหนาเข้ากับริมฝีปากแดงนิ่มของหญิงสาวตรงหน้า

“อืม อืม อืม พอแล้ว…” ซูฉิงคิดกลับไปถ้าสักครู่เธอจะไม่ยั่วโมโหเขา เขาคงไม่ลงโทษเธอแบบในตอนนี้

ระหว่างทางที่ฮ่อหยุนเฉิงส่งซูฉิงกลับไปบริษัท

“วันหยุดนี้เธอกับฉันกลับไปที่บ้านเก่ากันสักรอบ และเราก็ไปคุยเรื่องหมั้นกับคุณปู่กันเถอะ” ฮ่อหยุนเฉิงกล่าว

ซูฉิงเอ่ยปฏิเสธออกมาโดยไม่คิด “ไม่ได้นะ”

ฮ่อหยุนเฉิงหันศีรษะและชำเลืองมองซูฉิงอย่างเย็นชา “เธอกำลังปฏิเสธฉัน?”

“ใช่ ฉันปฎิเสธนายไม่ได้หรือไง?” ซูฉิงตอบกลับอีกฝ่ายอย่างติดตลก

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฮ่อหยุนเฉิงเริ่มนิ่งขรึมขึ้น เธอจึงพูดแก้ตัวออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความนิ่งเฉยนั้นลง “โอเค โอเค ฉันล้อเล่น”

“ฉันจะไปปารีสเพื่อแข่งขันการออกแบบเครื่องแต่งกาย และฉันจะกลับมาอย่างเร็วที่สุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นงานหมั้นคงจะต้องถูกเลื่อนออกไปสักหน่อย”

ฮ่อหยุนเฉิงเหยียบเบรกอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างของซูฉิงไหลตามแรงโน้มถ่วงไปข้างหน้า จากนั้นร่างของเธอก็ถูกเขาดึงเข้ามาชิดใกล้

“อืม~”

ซูฉิงถูกบดจูบอย่างรุนแรง

“ฮ่อหยุนเฉิง นายทำอะไรเนี่ย!”

“เหยียบเบรกให้มันดีดีหน่อยได้ไหม!”

ซูฉิงเริ่มแสดงอารมณ์โกรธแต่กลับกันอารมณ์ของฮ่อหยุนเฉิงนั้นดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเอื้อมมือมาหยิกแก้มนุ่มของซูฉิง “ไม่ว่ายังไงเรื่องแต่งงานต้องสำคัญที่สุด”

“โอเค…” ซูฉิงพูดอะไรไม่ออก “งั้นนายก็รอฉันกลับจากปารีสแล้วกัน”

…………

โรงพยาบาล

“ฉันรู้จักร่างกายของฉันดี คุณไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวฉัน”

เฉินจุนเหยียนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง และด้านล่างตึกมีบรรดานักข่าวบันเทิงจำนวนมากกำลังสาดแฟลชและกล้องมาเพื่อเก็บภาพเขาไปทำข่าว

“แต่ถ้าพี่ซูฉิงรู้…” สีหน้าของผู้ช่วยร่างเล็กเต็มไปด้วยความกังวลและอึดอัด แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากห้ามเขา

เมื่อได้ยินชื่อของซูฉิง ดวงตาของเฉินจุนเหยียนก็วูบวาบราวกับไฟคบเพลิง “เธอทำในสิ่งที่ควรจะทำเถอะ”

เขาเอ่ยปากเตือนสติผู้ช่วยร่างเล็กให้เธอรู้ว่าเธอเป็นคนของใครและควรเชื่อฟังคำสั่งของใคร

เฉินจุนเหยียนสวมหน้ากากและแว่นกันแดดเพื่อปกปิดใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาไว้จนหมด

พวกเขาพยายามหาทางเลี่ยงหลบบรรดานักข่าวบันเทิงที่มาออกันอยู่บริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล จุดหมายของเขาคือการไปยังที่จอดรถด้านล่าง

คนขับรถมีอาการลังเลเมื่อมองไปที่เฉินจุนเหยียนที่หนีออกจากโรงพยาบาลและกระโจนขึ้นรถที่จอดเตรียมไว้อย่างว่องไว แต่ท้ายที่สุดคนขับรถก็ต้องพาเขาไปยังสตูดิโอ

ผู้ช่วยร่างเล็กถือโทรศัพท์ไว้ข้างๆ อย่างใจจดใจจ่อ พลางมองดูบาดแผลบนร่างกายของเฉินจุนเหยียน “ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถเกลี้ยกล่อมคุณได้ แต่แผลของคุณตอนนี้กำลังเป็นรอยซ้ำ ตอนนี้คุณยืนกรานที่จะออกจากโรงพยาบาล ฉะนั้นในขณะที่กำลังถ่ายทำนั้นคุณจะต้องระวังบาดแผลของคุณให้ดี”

เฉินจุนเหยียนทอดสายตาผ่านแว่นกันแดดไปมองผู้ช่วยของตน เขากัดริมฝีปากตัวเองไว้เบาๆและพยักหน้าตอบรับคำเตือนจากผู้ช่วยร่างเล็ก

ผู้คนในกองถ่ายรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าเฉินจุนเหยียนออกจากโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว

ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ต่างตื่นตระหนกและต่างเข้ามาถามไถ่

“โอโห คุณเฉิน คุณเพิ่งเข้าโรงพยาบาลไปได้ไม่กี่วันแล้ว แผลก็ยังไม่หายดี ทำไมคุณถึงกลับมากองถ่ายเร็วขนาดนี้ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะคุณจะทำอย่างไร?”

ผู้กำกับลำบากใจมาก ครั้งล่าสุดที่เฉินจุนเหยียนประสบอุบัติเหตุเขาก็โดนแฟนคลับของนักแสดงหนุ่มก่นด่ามากมาย ถ้าครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นอีก เขาจะโดนยกเลิกไม่ให้ถ่ายละครเรื่องนี้หรือเปล่า?

“ใช่!” ผู้ช่วยกองถ่ายต่างก็พากันพูดว่า “ตอนนี้เราเปลี่ยนไปถ่ายบทของตัวประกอบอื่นๆก่อน ในส่วนของคุณเราย้ายไปไว้ถ่ายตอนสุดท้าย คุณสามารถกลับไปพักฟื้นร่างกายให้หายดีก่อนแล้วค่อยกลับมาถ่ายทำหลังจากที่ร่างกายคุณอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดก็ได้”

เฉินจุนเหยียนมองดูคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาพูดประสานเสียงกันและพยายามห้ามปรามให้เขากลับไปพักรักษาตัวต่อ แต่เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้จิตใจของเขามันว้าวุ่นเกินกว่าจะนอนนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาต้องหาอะไรทำเพื่อให้เลิกคิดเรื่องฟุ้งซ่านต่างๆที่กำลังรบกวนหัวใจของเขาอยู่ในขณะนี้

“ผู้กำกับกับโปรดิวเซอร์ไม่ต้องห่วง ถ้าฉันมาถ่ายทำได้ก็หมายความว่าร่างกายฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”

เฉินจุนเหยียนยืนยันที่จะถ่ายทำละครต่อโดยไม่กลับไปรักษาตัว ทำให้ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ต่างมองหน้ากัน และท้ายที่สุดพวกเขาทำได้เพียงกลั้นไว้และคิดว่าควรจัดการดูแลเฉินจุนเหยียนให้ดี

“งั้นฉันจะเรียกช่างแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้คุณ”

ผู้กำกับทักทายผู้จัดการภาคสนาม และเมื่อผู้จัดการภาคสนามมา เขาก็รีบพาเฉินจุนเหยียนไปที่ห้องแต่งตัวทันที

หลิวเสี่ยวหนิงเองก็กำลังแต่งหน้าอยู่ในห้องแต่งตัว เธอกำลังนั่งอ่านบทโดยก้มหน้าลงและเมื่อหญิงสาวรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่กำลังเคลือบคลานเข้ามาเธอจึงรีบหันไปดู

เมื่อเธอเห็นเฉินจุนเหยียนดวงตาของเธอก็สว่างวาบขึ้นทันที “คุณเฉิน คุณกลับมาแล้ว!”

“อืม”

เฉินจุนเหยียนถอดแว่นกันแดดออกแล้วนั่งลง พยักหน้าเล็กน้อยให้หลินเสี่ยวหนิงเพียงเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่านักแสดงชายสุดฮอตยังคงทำตัวเหินห่างกับตัวเองเช่นเคย หลิวเสี่ยวหนิงก็ถอนสายตาด้วยความหงุดหงิดและมองดูตัวเองในกระจกด้วยความท้อแท้

ผู้จัดการภาคสนามเดินเข้ามาทักทายช่างแต่งหน้าให้แต่งหน้าให้เฉินจุนเหยียน และแจ้งเกี่ยวกับการถ่ายทำฉากในวันนี้ให้เฉินจุนเหยียนและหลิวเสี่ยวหนิงรับทราบ

“เราจะเปลี่ยนเนื้อหาการถ่ายทำไปถ่ายตอนที่ 346 ดังนั้นขอให้ทั้งสองคนอ่านเนื้อหาสคริปต์ของตนเองด้วย”

ผู้จัดการภาคสนามพูดจบก็รีบออกไปทำงานอย่างอื่นต่อ

หลิวเสี่ยวหนิงก้มศีรษะและก้มลงอ่านบทอย่างรวดเร็ว เธอจำได้ชัดเจนมากว่าเนื้อหาของตอนที่ 346 นั้นเป็นตอนที่…

“ว้าว!” ช่างแต่งหน้าข้างๆ เธอยิ้ม “ฉากนี้มันเป็นฉากจูบ ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาทดสอบฝีมือการแสดงของทั้งสองคนแล้วนะ”

ช่างแต่งหน้ายิ้มให้หลินเสี่ยวหลิงขณะพูดด้วยท่าทางที่คลุมเครือ

หูของหลิวเสี่ยวหนิงแดงและร้อนขึ้นในทันที เธอก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นอ่านบท

เธอประหม่าแทบตาย แต่เธอก็ตั้งตารอปฏิกิริยาของเฉินจุนเหยียนหลังจากได้ยินเรื่องนี้

น่าเสียดายที่เฉินจุนเหยียนยังคงไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น จวบจนเขาแต่งหน้าเสร็จ ซึ่งนั่นทำให้หลิวเสี่ยวหนิงผิดหวังเป็นอย่างมาก

ฉากจูบในวันนี้ต้องให้นักแสดงนำชายและนักแสดงนำหญิงแลกจูบกันในคืนฤดูร้อน ทีมงานจึงนำหิ่งห้อยจำนวนมากไปปล่อยไว้รอบๆ เพื่อให้ได้เอฟเฟกต์การถ่ายทำที่สวยงาม

บนหญ้าเขียวขจี ลมยามเย็นพัดช้าๆ ชายหนุ่มรูปงามและสาวขี้อายนั่งบนตอไม้ใต้ต้นไม้งาม รอบกายทั้งสองล้อมรอบด้วยหิ่งห้อยที่เปล่งประกายแสงสวยราวกับแสงดาว ซึ่งถือเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมาก

หลิวเสี่ยวหนิงนั่งลงข้างเฉินจุนเหยียนที่แต่งกายด้วยชุดสีขาว เธอปิดเปลือกตาลงอย่างเขินอายหลังจากได้ฟังคำสารภาพรักจากปากของเฉินจุนเหยียน เธอคิดว่าริมฝีปากของเธอจะสัมผัสได้ถึงความชื้นจากริมฝีปากหนาของเฉินจุนเหยียน แต่จนแล้วจนเล่าเธอกลับไม่รู้สึกถึงสัมผัสที่วางฝันไว้เลย