ฟางฉีก้มลงหยิบไอเทมต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เขาส่งหนังสือทักษะให้เสี่ยวหยูและซูเหยา “ของพวกเจ้า!”
“ข้าต้องการหนังสื่อคาถาสะกดเกราะศักดิ์สิทธิ์!” เจียงเสี่ยวหยูรับหนังสือจากมือเขา แค่ฟังชื่อก็ดูยิ่งใหญ่แล้ว!
ซูเหยาเป็นคนขี้อาย เธอรับหนังสือทักษะการรักษาแบบกลุ่มด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ” เธอตอบเหนียมอาย
“ใครต้องการแสงมนตร์เสน่ห์?”
“มอบให้ซียื่อสิ” รวนหนิงกล่าว ตั้งแต่เธอกับซูจิมีกำแพงไฟและเปลวไฟระเบิดตามเลเวล มีแต่ซียื่อในตอนนี้ที่ใช้สองสกิลนั้นไม่ถนัดเท่าพวกเธอ
หลังจากเจียงเสี่ยวหยูได้เรียนรู้คาถาสะกดเกราะศักดิ์สิทธิ์แล้ว เธอลองยิงอักษรรูนออกมาพร้อมเปลวไฟ เธอดึงตัวอักษรในบันทึกรูนโบราณขึ้นมาแสงไฟปรากฏขึ้นบนอากาศราวกับงูเต้นระบำ
ทุกคนรู้ว่าบันทึกรูนโบราณนั้นมีพลังลึกลับ เมื่อตัวอักษรโบราณปรากฏขึ้นในอากาศ ดูเหมือนพวกเขาในเวลานี้ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของเปลวไฟสีส้มจางๆ แถมพวกเขายังสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษที่แนบชิดมากับร่างกายของพวกเขา!
ด้วยพลังนี้พวกเขารู้สึกเหมือนว่าร่างกายอยู่ยังคงกระพันไม่ว่าสัตว์ร้ายจะโจมตีเข้าใส่ก็ไม่เกิดผล!
“ทรงพลังมาก!” พวกเขาอุทานเมื่อรู้สึกถึงพลังพิเศษ
“เอ่อ ..” ฟางฉีมองดูตัวอักษรที่สง่างาม “นั่นคืออักษรจีนที่เขียนว่าคุ้มกันใช่มั้ย?”
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นตัวอักษรคาถาที่แสดงถึงจิตวิญญาณ ไม่นานนักซูเหยาลองใช้คาถารักษาแบบกลุ่มโดยสาระสำคัญทางจิตวิญญาณของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นคลื่นแสงกระจัดกระจาย มันค่อยๆ รักษาบาดแผลของทุกคนที่พวกเขาได้รับจากการฆ่าเจ้าราชายักษ์
“นี่มันยอดมาก!” สาวๆ ร้องอุทานอีกครั้ง ท้ายที่สุดพวกเขาไม่เคยเห็นคาถาจิตวิญญาณที่สามารถรักษาคนกลุ่มใหญ่มาก่อน!
“ว่าแต่ .. แสงมนตร์เสน่ห์คืออะไร?” หนังจากอ่านหนังสือทักษะจบ ซียื่อก็ยิงแสงมนตร์เสน่ห์เข้าหาสัตว์ประหลาดที่อยู่ห่างออกไป คลื่นของพลังงานแตกออกกลายเป็นสายฟ้ารูปร่างประหลาดร่อยลงกลางหัวสัตว์ประหลาด แต่ .. มันไม่มีผลกระทบใดๆ แถมพวกสัตว์ประหลาดนั้นยังเพิกเฉย
ซียื่อรู้สึกท้อแท้และสงสัยว่าคาถาของเธอคงไร้ประโยชน์ ขณะที่คาถาของคนอื่นๆ นั้นทรงพลัง
เธอยิงแสงทนตร์เสน่ห์อีกครั้ง .. สัตว์ประหลาดก็ยังคงนิ่งไม่ตอบสนองด้วยความโมโห เธอกระทืบเท้าปึงปังไปพร้อมยิงแสงไปเกือบสิบครั้งแต่ผลลัพท์ก็ออกมาเช่นเดิม
จนในที่สุดเธอรู้สึกยอมแพ้ เธอกัดฟันและโยนอาวุธลงพื้นด้วยความโกรธ “ทักษะขยะ!”
“คาถานี้มีคำอธิบายหรือไม่?” เจียงเสี่ยวหยูถามด้วยความสงสัย “มันต้องใช้ได้สิถึงพลังจะยังอ่อน!”
“มันบอกว่าสามารถใช้เรียกสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังราวกับเรียกคนรับใช้!” ซียื่อบ่น “มันฟังดูมีพลัง แต่ไม่เห็นว่าข้าจะใช้เรียกสัตว์ประหลาดที่อ่อนแอได้สักนิด!”
…
ขณะที่ทีมของฟางฉีได้กำจัดราชายักษ์เสร็จสิ้น ฝั่งทหารสำรวจของทีมราชวงศ์ก็ทำงานอย่างหนักเพื่อนตรวจสอบหลุมร้างในเมืองบีจี้
หลังจากฆ่าสัตว์ประหลาดไปสามวันพวกเชาทั้งหมดอยู่ในระดับยี่สิบโดยคนที่สูงสุดอยู่ในระดับยี่สิบห้า แม้แต่สมาชิกทีมล่าทองเองก็ใกล้ระดับยี่สิบเข้าไปทุกที
“กัปตันยู เจ้ามีข่าวจากผู้คนในอาณาจักรทะเลดวงดาวบ้างมั้ย?” จีวูถามนักรบผู้รับใช้ของเขา
“ท่านจักรพรรดิ” ยูกล่าวเสียงเรียบ “คนเหล่านั้นกำลังยุ่งอยู่กับการฆ่าสัตว์ประหลาดในถ้ำโครงกระดูกและป่าวิลมะ ข้าได้ยินมาว่าเกมนี้เป็นเกมเดียวที่มีที่นั้น!”
“บ้านนอกจริง” จีวูตะโกน “แล้วพวกเขาเจออะไรบ้างหรือยังไ?”
“ยังขอรับ”
จีวูขมวดคิ้วครุ่นคิด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกเขาฆ่าซอมบี้จำนวนมากและได้รับหนังสือทักษะจำนวนมาก ทั้งหนังสือสายฟ้า, ตัวอักษรรูนไฟและเทคนิคดาบสังหาร อย่างไรก็ตามทักษะอย่างกำแพงไฟและเปลวไฟระเบิดที่สูงกว่าระดับยี่สิบนั้นหายากยิ่งนัก!
สำหรับตอนนี้พวกเขายังไม่เห็นอะไรเลยที่ทำรู้สึกว่าการเล่นเกมนี้มันคุ้มค่า!
แน่นอนในตอนนี้สำหรับองค์หญิงจียูและคนอื่นๆ มันถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเนื่องจากความแข็งแกร่งในการเพาะปลูกของพวกเขาที่ไม่สูงในตอนนี้พวกเขาได้รับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วกว่าการฝึกฝนในหอศิลป์
แต่สำหรับจีวูแล้วไม่ว่าเขาจะเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเพาะปลูกได้เร็วแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถพัฒนาโดยใช้เวลาอันรวดเร็วได้แบบวัยรุ่น นอกจากนี้แม้ว่าความแข็งแกร่งด้านการเพาะปลูกของเขาจะเพิ่มขึ้นแต่โดยใจหลักตัวเขาแล้วเขาต้องการความก้าวหน้าในการเข้าถึงอาณาจักรที่สูงขึ้นมากกว่า
ตัวอย่างเช่ความแข็งแกร่งในการฝึกฝนของผู้เฒ่าฟูนั้นสูงพอแต่เนื่องจากความเป็นธรรมชาติของร่างกายในตอนนี้เขาจึงไปถึงแค่อาณาจักรนักรบเท่านั้น
“ไม่!” จีวูส่ายหัว “เกมนี้ไม่ดีเท่าที่ควร”
ขณะที่อันหูเว้ยเองได้แตะถึงระดับยี่สิบ ในสุสานออคทอมพร้อมกลุ่มผู้พิทักษ์ของจิวหัว ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางไปยังถ้ำตะขาบในหุบเขามรณะเม้งชง
หุบเขามรณะเม้งชงมีขนาดใหญ่มาก สาวกระดับสูงของกองกำลังขนาดใหญ่อย่างหลิวหยุนและกลุ่มโอเชียนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ในตอนนี้
ขณะที่อันหูเว้ยสั่งให้กองกำลังของจิวหัวนั้นกำจัดอสูรอยู่ เขาก็ซื้อกล่องขนมแท่งรสเผ็ดกินฆ่าเวลาไปพลางๆ อันหูเว้ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตะโกนขึ้น “มากินกันก่อน เล่นมากก็เริ่มเบื่อ!” เขากล่าวขณะหยิบเข้าปาก
“ขนมรสเผ็ด!” ผู้นำจากกลุ่มอื่นๆ โน้มตัวลงมาหยิบ “นี่อันหูเว้ยเจ้าได้ไอเทมเด็ดๆ บ้างหรือยัง?” เย้ซงเต๋าหัวหน้ากลุ่มโอเชียนถาม
“ลืมมันไปก่อน” เขาตอบขณะหยิบขนม อันหูเว้ยเฝ้าดูเหล่ากองทัพของเขาที่กำลังกำจัดอสูรบนหน้าจอ “เกมนี้เป็นเกมที่ดีสำหรับการฝึกฝนทหาร แต่ข้าว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ!”
“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน!” ผู้อาวุโสจากวังหลิวหยุนตอบพลางเอื้อมมือมาหยิบขนม เขาเองหยุดพักจากการต่อสู้ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับความแข็งแกร่งแต่เมื่อเข้าสู่โหมดความเป้นจริงแล้วความแข็งแกร่งที่สะสมเข้าสู่ร่างกายพวกเขามันก็ไม่ได้มากเท่ากับคนอื่นๆ ในตอนนี้
อันหูเว้ยยังคงนั่งบนเก้าอี้และจับจ้องไปทางคนของเขาที่กำลังฆ่าอสูรอย่างเมามัน เขาแสดงความเห็นต่อ “เกมนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าเซียนกระบี่พิชิตมารเท่าไร แถมการใช้ลูกไฟนั้นคืออะไร? แหวนต้านไฟ?”
“ใช่ ข้ามีสมบัติทางจิตวิญญาณที่ป้องกันอยู่เช่นกัน แต่ข้าไม่ได้สนใจมันเท่าไรนัก” ผู้อาวุโสพูดต่อ “ข้าไม่ได้เรียนรู้คาถาเวทย์มนตร์จากเกมนี้เท่าไร แต่เกมให้ข้าใช้คาถาลูกไฟ ข้าต้องเรียนรู้มั้ย?”
“ข้าว่าคาถาอะไรก็ดูไร้ประโยชน์สำหัรบเรา” อันหูเว้ยส่ายหัว
พวกเขานั่งเล่นบนเก้าอี้และพูดคุยพลางเคี้ยวตุ้ยวนไป