“ฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟัง นายเดินๆอยู่แล้วเห็นเค้กที่น่ากินมากๆอยู่ในตู้กระจก นายชอบมันมาก แต่ไม่มีเงินเลยซื้อไม่ได้ ทุกครั้งที่นายผ่านร้านนั้นก็จะมองแล้วมองอีก รู้สึกว่ามันตกแต่งได้น่ากินมาก วันหนึ่งนายมีเงินแล้วก็รีบพุ่งไปซื้อเค้กที่นายใฝ่ฝันมานานชิ้นนั้น พอกินเข้าไปหนึ่งคำนายกลับพบว่า นายไม่ได้ชอบมากมายขนาดนั้น ถึงขนาดที่รู้สึกว่ามันเลี่ยนมากด้วยซ้ำ แล้วทำไมก่อนหน้านี้นายถึงได้หลงรักมันมาก? เพราะนายไม่ได้หลงรักเค้ก แต่มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ความหมายในเชิงสัญลักษณ์ของเค้กนั่นก็เช่น ชีวิตที่สงบสุข วัตถุที่มั่นคง เค้กมันอยู่ตรงนั้นเสมอ พอมาเปรียบกับคนก็ คนบางคนแค่ชอบความรู้สึกที่ได้หลงรักอะไรสักอย่าง แสร้งทำเหมือนตัวเองได้ทุ่มเทให้กับบางสิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่ถูกเขา ‘หลงรัก’ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น มันก็แค่ความหมายในเชิงสัญลักษณ์ นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของคนที่แอบรักจำนวน95% แต่ก็ไม่ตัดคนอีก5%ทิ้งนะ มันก็มีคนที่กัดเข้าไปคำแรกแล้วชอบจริงๆ”
เสี่ยวเชี่ยนยกตัวอย่างง่ายๆมาเปรียบเทียบการแอบรัก ถ้าจะให้เธอวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยา เธอสามารถพูดได้ถึงสองชั่วโมง ศัพท์เฉพาะมากมาย การวิเคราะห์ในแต่ละแบบ แต่จะพูดทฤษฎีมากมายกับไห่เจาก็ใช่เรื่อง ไม่สู้เปรียบเทียบให้เห็นภาพดีกว่า
“แต่ว่าเค้กชิ้นนั้นพอเห็นผมก็หลบ ถ้าผมไม่ไปลองจะรู้ได้ไงว่าเขาเหมากับผมหรือเปล่า?”
ตอนนี้ไห่เจาทุกข์ใจมาก ช่วงเวลาเมื่อครู่นี้เหมือนเขาสูญเสียโลกไปทั้งใบ
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน คุณเคยลิ้มลองรสชาติการแอบรักไหม? ผมได้มอบความรู้สึกที่ดีที่สุดในช่วงวัยรุ่นให้เขาไปหมดแล้ว ช่วงหลายปีมานี้ผมคิดถึงแต่เขา แต่เขากลับไม่ให้โอกาสผมเลยสักครั้ง ผมยอมให้เขาปฏิเสธตรงๆดีกว่าใช้วิธีโหดร้ายแบบนี้กับผม มัน…”
“ถ้าใจของนายปล่อยวางมันไม่ได้จริงๆล่ะก็ งั้นฉันจะเห็นแก่ที่กินข้าวร้านนายมาหลายปี วิเคราะห์ความรู้สึกที่นายมีให้เขาแล้วกัน”
“ว่ามาเลย!” ไห่เจาไม่ยอมแพ้ เขาไม่ยอมรับที่เสี่ยวเชี่ยนพูดว่าเขาไม่ได้รักเสี่ยวซีจริงๆ
“นายทำสมองให้โล่งๆก่อน ทิ้งความรู้สึกทุกอย่างไปให้หมด ไม่คิดถึงความทุกข์ ไม่คิดถึงเขา ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แล้วฟังฉัน ตอบคำถามฉันตามความรู้สึกของนาย”
เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาไม่กี่นาทีช่วยดึงไห่เจาออกจากความรู้สึกที่หนักอึ้งนั้น พอถึงจุดที่เขาไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเธอจึงเริ่มบทสนทนาอย่างเป็นทางการ
“ในความทรงจำของนาย ตอนไหนที่อวี๋หมิงซีทำให้หัวใจของนายหวั่นไหว ตอบตามความรู้สึกจริง ไม่ต้องคิด สาม สอง หนึ่ง ตอบ!”
“ผมชอบตอนเขายืนอยู่บนเวที ร้องเพลงทหารอย่างตั้งใจ คุณรู้ไหม เสียงของเขาเพราะมาก ชุดทหารสีขาวของคณะการแสดงพอมาอยู่บนตัวเขามันเท่ห์มากจริงๆ”
ไห่เจาตอบไปตามความรู้สึกจริง
“เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“การแสดงในค่ายทหารตอนที่เขาเพิ่งเริ่มเข้าไปอยู่ในกองทัพ เขาขึ้นเวทีไปร้องเพลง”
“…พี่เสี่ยวซีเป็นทหารสันทนาการ อายุสิบสามสิบสี่ก็เข้าไปอยู่แล้วหรือเปล่า?”
หมอนี่ไม่ใช่แค่แอบรัก ยังริอาจมีรักตั้งแต่เด็กด้วย?
“ผมไม่ได้เริ่มตามจีบตั้งแต่เด็กนะ!” ไห่เจาแก้ตัว เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่
“อันนี้ฉันเชื่อ ขนาดตอนนี้นายยังไม่กล้าไปสารภาพรักกับเขาเลย”
“ไม่ขยี้แผลคนอื่นจะนอนไม่หลับหรือไง?” ไห่เจาชักโมโห
“ก็ได้ เข้าใจแล้ว พอกลับบ้านไปนายลองเอารูปนักแสดงโชว์ผู้หญิงสักคนแปะที่หัวเตียง แปะไว้สองวัน นั่งจ้องทุกวันโดยเฉพาะก่อนนอน ลองดูว่าความรู้สึกที่มีต่ออวี๋หมิงซีลดลงหรือเปล่า ถ้าไม่ลดลงก็เปลี่ยนไปติดรูปดารา จะดาราประเภทไหนก็ได้ติดให้ทั่ว หรือถ้านายจะชอบแนวเอวีก็ไม่ว่ากัน”
ไห่เจาถูกเสี่ยวเชี่ยนทำฟ้าผ่าใส่จนเกรียม
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ล้อกันเล่นเหรอ?”
นี่มันวิธีบ้าบออะไรกัน?
“ฉันช่วยวิเคราะห์ให้นายอย่างจริงจังแล้วนะ ถ้านายติดรูปไปแล้วหนึ่งเดือนก็ยังคิดถึงอวี๋หมิงซียังชอบเขาอยู่ ฉันจะใช้วิธีบำบัดแบบโมริตะ หลักการของมันก็คืออยู่กับอารมณ์ หลังรักษาวิธีนี้แล้วถ้านายยังรู้สึกเหมือนเดิมงั้นก็ตัดทิ้งเรื่องที่นายแค่ชอบเขาธรรมดาไปได้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่านายรักอวี๋หมิงซี พอถึงวันนั้นฉันจะให้คำแนะนำขั้นต่อไป”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน คุณช่วยผมได้จริงๆเหรอ?” ไห่เจารู้สึกว่าวิธีของเสี่ยวเชี่ยนมันพิสดาร แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีใครที่จะให้ขอความช่วยเหลือได้เลย ทำได้แค่มองเสี่ยวเชี่ยนอย่างคนจนตรอก
“มีคนเคยกล่าวไว้ว่า เชื่อประธานเชี่ยนไม่ผิดแน่ ถ้านายอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขก็ทำตามที่ฉันบอก ฉันรับประกันได้ว่าไม่ว่าคู่ชีวิตของนายในอนาคตจะใช่อวี๋หมิงซีหรือไม่ นายก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่มีทางที่อยู่มาวันหนึ่งถูกใครไม่รู้เตะน้องชายจนแข็งขึ้นมาไม่ได้อีก”
“ว่าไงนะ?”
ประโยคสุดท้ายไห่เจาได้ยินไม่ชัด หรือเขาหูแว่ว?
เสี่ยวเชี่ยนขยิบตา “นายฟังผิดแล้ว”
“อ่อ แล้วใครเหรอที่พูดแบบนี้ไว้?”
“อวี๋หมิงหลาง”
“…” ก็ได้ เธอชนะ!
หลังแยกกับไห่เจา คนขับรถของผู้บัญชาการก็มาหาเสี่ยวเชี่ยน เธอต้องนั่งรถของผู้บัญชาการกลับเมืองหลิน เสี่ยวเชี่ยนดูนาฬิกาแล้วยังพอมีเวลา เธอจึงโทรหาอวี๋หมิงซี
“เขาร้องไห้” เสี่ยวเชี่ยนแน่ใจ ตอนที่เสี่ยวซีทำร้ายจิตใจไห่เจา เขาร้องไห้จริงๆ
เพียงแต่เขารีบหันหลัง เก็บน้ำตาไว้ให้ตัวเองเห็นคนเดียว
“อ่อ แล้วยื่นกระดาษทิชชู่ให้เขาหรือเปล่าล่ะ?”
น้ำเสียงของอวี๋หมิงซีราบเรียบมาก ฟังไม่ออกว่าเศร้าหรือสุข เธอเก็บซ่อนความรู้สึกเก่งเหลือเกิน
“ฉันไม่ได้ยื่นกระดาษให้ แต่แนะนำสาวๆให้เขา ยังไงไห่เจาก็เป็นถึงระดับเถ้าแก่ ฐานะใช่ย่อย พี่ไม่เอาเพชรสีเขียวนั่น มีสาวๆอีกเป็นกองที่อยากได้”
ปลายสายเงียบไปสามวินาที เพียงแต่มันเป็นสามวินาทีที่ผิดจากปกติ ทำให้เสี่ยวเชี่ยนแน่ใจได้เรื่องหนึ่ง
อวี๋หมิงซีไม่ใช่ไม่แคร์ไห่เจาเลยแม้แต่น้อย
แต่การแคร์ของเธอนั้นจะอยู่ในรูปแบบของเพื่อนหรือคนที่ชอบ เสี่ยวเชี่ยนไม่กล้าฟันธง
“แนะนำไปเลย ก็เป็นอิสระนี่ เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันวางนะ” ผ่านไปสามวินาทีอวี๋หมิงซีถึงตอบเสี่ยวเชี่ยนด้วยน้ำเสียงแบบเดิม
“เดี๋ยวก่อนพี่เสี่ยวซี ฉันมีคำถามที่อยากถามพี่มาตลอด”
“ถ้าอยากจะช่วยพูดแทนเขาก็ไม่ต้องหรอก เรื่องความรักมันฝืนกันไม่ได้ ฉันต้องขอโทษเขาที่มารักผู้หญิงใจแข็งเหมือนหินแบบฉัน แต่เรื่องที่ฉันไม่ชอบก็ไม่มีใครมาบังคับฉันได้ ถ้าเขาเป็นแบบนี้ต่อไปก็เท่ากับเป็นการรบกวนการใช้ชีวิตของฉัน”
“ฉันจะไม่ช่วยพูดแทนไห่เจา ฉันอยากถามพี่อยู่เรื่อง เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่พี่นอนไม่ค่อยหลับแถมยังฝันบ่อยๆ แล้วฉันเป็นคนรักษาพี่ จำได้ไหมคะ?”
“จำได้”
“ยังจำงูที่ถูกพี่จับในฝันได้ไหมคะ?”
“แน่นอน พอมาเจอเธอฉันก็ค่อยๆเลิกฝันแบบนั้น”
“งู หากมาปรากฏในฝันของผู้หญิงมันตีความได้หลายแบบ ตอนนั้นฉันสงสัยมากว่าทำไมพี่ถึงได้ปิดกั้นตัวเองเรื่องความรักนัก ในที่สุดตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้ว”
ครั้งแรกที่เสี่ยวเชี่ยนเจออวี๋หมิงซีก็ได้ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับให้ ตอนนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็สงสัยอยู่ว่าฝันนั้นของอวี๋หมิงซีมันหมายถึงตัวเธอปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง เธอพยายามเก็บซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด
วันนี้ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็ได้คำตอบ
“เข้าใจอะไร? เรื่องที่แม้แต่ตัวฉันยังไม่รู้เธอจะรู้เหรอ?”
“ฉันรู้ คุณอวี๋หมิงซีคะ กรุณาให้ฉันถามอย่างเป็นทางการในฐานะจิตแพทย์ที่ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับให้คุณ หมิงซี ผู้ชายคนที่อยู่ในใจของคุณเขาเป็นใคร?”