บทที่ 79 ถูกรังเกียจแล้ว

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

หลินจือไม่อยากจะยุ่งอะไรกับเทาเท่ที่เมาแล้ว แต่เทาเท่ก็ยังคงกอดเอวของเธอเอาไว้ไม่ปล่อย และยังบีบบังคับถามเธออย่างไม่ยอมปล่อยไปง่ายอีกด้วย : “คุณยังไม่ได้ให้เหตุผลกับผม”

หลินจือเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่อยู่ใกล้ตรงหน้า ดวงตากลมนั้นมองเจาะลึกเข้าไป

ยุ่งกับคนอื่นไม่ยอมเลิกรา และอีกฝ่ายยังเป็นเธอที่เป็นอดีตภรรยาคนนี้อีก นี่ไม่ใช่สไตล์ของเทาเท่เลย

ก้นบึ้งแววตาของเทาเท่นั้นลึกซึ้งและมืดมน หลินจือมองความคิดของเขาไม่ออก จึงสามารถสรุปพฤติกรรมนี้ของเขาได้ว่า : เขาเมาแล้ว

“คุณต้องการเหตุผล?” เธอจ้องมองไปยังเทาเท่แล้วเอ่ยพูดขึ้นนิ่งๆ “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกคุณให้”

เทาเท่ทำท่าตั้งใจฟัง หลินจือมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง : “ฉันไม่อยากมีการติดต่อที่นอกเหนือจากเรื่องงานกับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกว่าเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีwe chatกัน”

เนื่องจากว่าไม่ได้รู้ถึงเรื่องผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว ดังนั้นเทาเท่จึงไม่สามารถควบคุมได้ พลางเอ่ยขึ้นอย่างหยาบคาย : “แม่งใครกันวะผู้ชายที่แต่งงานแล้ว?”

หลินจือยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มนิ่งๆให้เขา ความหมายที่พูดถึงนี้ก็คือคุณนั่นแหล่ะ

สองสามวันนี้ซูซีไปทั้งร้านชุดแต่งงานและร้านอัญมณี ขึ้นเป็นการค้นหายอดนิยมแล้ว เขาไม่รู้เลยอย่างนั้นใช่ไหม?

ประกอบกับข่าวที่ว่าใกล้จะถึงช่วงวิวาห์ นี่ไม่ชัดเจนว่าจะแต่งงานแล้วหรอกเหรอ?

แต่ซูซีกลับไม่รู้ว่าแสดงออกมาแบบไหน ตอนที่เจอกับนักข่าวที่มาแสดงความยินดีกับเธอ กลับเอ่ยพูดว่าเพียงแค่เป็นการไปเดินช้อปปิ้งไปเรื่อยๆด้วยใบหน้าที่เย็นชา ไม่ได้เกี่ยวกับเทาเท่ และยิ่งไม่ใช่เพราะการเตรียมตัวเพื่อการแต่งงาน

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ซูซีก็จะยอมรับด้วยใบหน้าที่หวานชื่นตั้งแต่แรก

แต่ถึงแม้ว่าซูซีไม่ได้ปฏิเสธ แต่สำหรับโลกข้างนอกนั้น ก็ดูเป็นการอยากจะปกปิดแต่กลับกลายเป็นทำให้โลกรู้ไปแล้ว

ใครจะไปว่างถึงขนาดเดินช้อปปิ้งในร้านชุดแต่งงานและร้านอัญมณีกัน?

มือที่โอบอยู่ที่เอวของหลินจือนั้นเพิ่มแรงขึ้น ใบหน้าที่เย็นชาของเขากำลังทำให้ความจริงของตัวเองกระจ่าง : “คุณใช้ตาไหนมองถึงเห็นว่าผมแต่งงานกับเธอแล้ว?”

หลินจือยังคงนิ่งต่อไป : “ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นแต่งงานกันแบบนั้น แต่ในใจของคุณก็มีคนที่คุณรักอยู่แล้ว สำหรับฉันก็นับว่าเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว”

เทาเท่ยังไม่ทันได้หายใจออกมา ก็เกือบจะโมโหตายเพราะคำพูดของเธอแล้ว

นี่เธอเอาคำพูดเหลวไหลที่ไหนมากัน?

เรื่องราวยังไม่ทันได้เกิดขึ้นเลย เธอก็ให้ชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีภรรยาไปแล้ว?

อยากจะพูดอะไรออกมา ก็เห็นหลินจือที่จู่ๆก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง : “ดูแล้วผู้ชายของตระกูลฟอเรนาอย่างพวกคุณ จะชอบเหยียบเรือสองแคมกันสินะคะ”

หลินจือไม่เข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาของคุณท่าน ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา

แต่ไกอาบิดาของเทาเท่ ที่ไม่กี่ปีก่อนนอกใจไปมีชู้ และพอมาถึงเทาเท่ ตอนที่อยู่ระหว่างช่วงที่แต่งงานกับเธอ ก็มักจะมีข่าวอื้อฉาวกับซูซีอยู่บ่อยๆ

ตอนนี้ทั้งๆที่กำลังจะถึงวันแต่งงานกับซูซี แต่กลับมาฉุดกระชากลากจูงกับอดีตภรรยาอย่างเธอ ไม่ใช่ว่าพ่อลูกสองคนเหยียบเรือสองแคมแล้วจะคืออะไรกัน?

คำพูดประโยคนี้ของหลินจือ ทำให้เทาเท่ได้สติขึ้นมา มือที่อยู่ตรงเอวของเธอนั้นอดที่จะคลายออกมาเองไม่ได้

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลินจือจะใช้ประเด็นนี้มาโจมตีเขา เคยมีเพียงเขาที่รู้สึกรังเกียจพ่อกับพี่ชายของเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เธอเองก็จะมาเป็นเธอที่มารังเกียจครอบครัวของเขาแล้วเช่นกัน

เรื่องของไกอาพ่อของเขา ทำให้เขารู้สึกเปิดปากออกมาได้ยากอยู่จริงๆ

หลินจืออาศัยช่วงที่เทาเท่ใจลอย ผลักเขาออกอย่างไม่มีความเกรงใจ แล้วหันกลับเข้าไปนั่งในรถ

เธอรู้ ว่าตอนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วโจมตีเรื่องของพ่อแม่อีกฝ่ายนั้น การกระทำแบบนี้ไม่สมควรเป็นอย่างมาก แต่เมื่อครู่นี้เธอเองก็รู้สึกโมโหเสียจนเลือกคำพูดออกมาไม่ถูก

เธอโมโหกับความแปลกประหลาดของเทาเท่ โมโหกับความเห็นแก่ตัวของเทาเท่

เขามาฉุดกระชากลากจูงกับเธออยู่แบบนี้ จะวางเธอเอาไว้ตรงไหนกัน?

ถ้าหากซูซีรู้เข้า ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะกลายเป็นชู้ที่ทำลายความรักของพวกเขา

ถึงแม้ซูซีจะเคยแสดงบทบาทนี้ตอนช่วงการแต่งงานของเธอ แต่หลินจือก็รู้สึกดูถูกมาก ดังนั้นเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องมากลายเป็นคนแบบนี้อย่างเด็ดขาด

เพราะฉะนั้น หลังจากที่เธอหย่าแล้วจึงต้องรักษาระยะห่างที่แทบจะไม่สามารถจะห่างได้อีกแบบนี้กับเทาเท่เอาไว้

แต่การกระทำของเทาเท่เมื่อครู่นี้ เป็นไปได้มากที่จะทำให้ทุกอย่างที่เธอทำมาล้มเหลวลงทั้งหมด

เทาเท่มองรถแท็กซี่คันสีเขียวขับออกไปจากตรงหน้าของเขาเอง ดวงตามืดมนลงมาก

หลังจากที่ถึงบ้านแล้วหลินจือก็ประคองควีนเข้ามายังห้องนอน และคิดว่าจะลุกไปยังห้องครัวเพื่อทำยาแก้เมาค้างให้เธอ แต่จู่ๆควีนก็กอดเธอเอาไว้ แล้วซบลงบนไหล่ของเธอร้องไห้ออกมา

หลินจือรู้สึกตกใจ เนื่องจากว่าตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับเทาเท่และได้มาสัมผัสกับควีน ในสายตาของเธอควีนเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและใจเย็นมีเหตุผลมากคนหนึ่ง

“ควีน เธอเป็นอะไรไปน่ะ?” หลินจือรู้สึกกังวลมาก

ควีนร้องไห้พลางเอ่ยขึ้น : “หลินจือ รักผู้ชายที่อยู่สูงเกินเอื้อม เจ็บปวดมากจริงๆ เจ็บเหลือเกิน…..”

หลินจือดูเหมือนจะถูกแทงใจดำ เธอหลบตาลงแล้วพึมพำตอบควีนกลับไป : “ใช่ เจ็บมากจริงๆ”

ควีนร้องไห้ต่อ น้ำตาเปียกชื้นทะลุเสื้อเชิ้ตตรงหัวไหล่ของหลินจือ ทำให้หลินจือรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเธอ

หลินจือพูดปลอบใจเธอ : “ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึง แต่ถ้าหากเขาเองก็รักเธอ ทางเดินระหว่างพวกเธอก็จะเดินได้ง่ายขึ้นเยอะเลยนะ”

ทั้งสองคนเผชิญหน้าด้วยกัน มักจะดีกว่าที่ตัวเองทุ่มเทด้วยความจริงใจแต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย

แล้วจู่ๆควีนก็หัวเราะขึ้นมา : “เขารักฉัน?”

“เป็นไปได้ยังไงที่เขาจะรักฉัน?”คำพูดของควีนนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยตัวเองและความเศร้าสลด “เขาก็แค่หยอกฉันเล่นๆเท่านั้นเอง”

หลินจือถอนหายใจเบาๆ : “เธอนอนก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปทำอะไรที่แก้สร่างเมามาให้เธอ”

หลินจือไม่ได้เอ่ยถามว่าผู้ชายคนที่อยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึงที่ควีนรักนั้นคือใครกันแน่ ในเมื่อทำให้ควีนเจ็บปวดแบบนี้แล้ว นั่นก็ไม่ถามจะดีกว่า เลี่ยงที่จะเกิดความรู้สึกทำตัวไม่ถูกหลังจากที่ควีนสร่างเมาแล้ว

มิน่าล่ะควีนที่นิ่งมาโดยตลอดคืนนี้ถึงได้ดื่มมากขนาดนี้ แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะความรักนี่เอง

มีเพียงแค่ความรัก ถึงสามารถทำให้ร้องไห้ทั้งรอยยิ้ม และยิ้มทั้งน้ำตาได้แบบนี้

เพิ่งจะปลอบประโลมควีนได้ไม่นาน หลินจือก็ได้รับการโทรวีดิโอคอลจากนานิ

นานิที่อยู่ทางปลายสายนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห : “เธอเห็นที่ลีวายนั่นโพสต์ลงในweiboแล้วหรือยัง?”

“ยังเลย ทำไมหรอ?”เวลาส่วนใหญ่ของหลินจือนั้นล้วนแต่ทำงานอยู่ เธอเองก็ไม่ได้มีความเคยชินที่จะดูweiboนัก

นานิเอ่ยขึ้นมา : “เธอส่งต่อคลิปหนึ่งมา เป็นเนื้อหาที่เธอได้รับการสัมภาษณ์หนึ่ง ในนั้นเธอบอกว่าทุกๆอาชีพล้วนแต่มีด้านมืดมากมากด้วยกันทั้งนั้น และอาชีพของนักเขียนบทก็เหมือนกัน บอกว่าทั้งๆที่เป็นวงการที่อาศัยความสามารถและฝีมือในการหาเลี้ยงชีพ ก็ดันมีบางคนที่อาศัยหน้าตาขึ้นตำแหน่งมา นี่เห็นชัดๆเลยนะว่าหมายถึงเธอด้วย!”

หลินจือนิ่งกว่านานิมาก : “เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเสียหน่อย เธอจะโมโหขนาดนี้ทำไม”

นานิเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ : “ถ้ากล้าเอ่ยชื่อ ฉันคนแรกจะไปฉีกหน้ามันซะ!”

หลินจือหัวเราะ : “วันๆเธออย่ามัวแต่จะไปฉีกคนนั้นคนนี้อยู่เลย พูดจาให้ระวังๆหน่อยสิ”

นานิเป็นคนมีน้ำใจมากมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องของเธอ หลินจือก็รู้

แต่พฤติกรรมอย่างที่พูดถึงแต่คนอื่นอย่างลีวายแบบนี้ พวกเธอเองก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้ไม่ใช่เหรอ?

พวกเธอเองก็คงจะไม่เลียนแบบลีวาย ไปพูดถึงลีวายบนweiboแบบนั้นเหมือนกันหรอกมั้ง?

กับการไปโต้เถียงกับพวกคนบนโลกออนไลน์แบบนั้น สู้เธอเขียนให้มากหน่อย เพื่อให้บทละครดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้นไม่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ

นานิเอ่ยขึ้นอีกครั้ง : “ฉันรู้สึกว่าหล่อนจะเริ่มเล่นงานเธอแล้วนะ เธอต้องระวังตัวหน่อยแล้ว”

“อืม ฉันจะพยายามไม่เข้าไปสนิทสนม แล้วก็จะไม่ไปปะทะกับหล่อนก็แล้วกันนะ” หลินจือเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ลึกลับซับซ้อนมากพอแล้ว อยู่ในอาชีพนี้มีสี่ปีกว่าถึงได้เขียนบทละครหลักเป็นครั้งแรก ลีวายอิจฉาอะไรเธอกันแน่?

เป็นเพราะว่าลีวายอยากจะทำบทละครนี้ แต่เจเทาวน์กลับให้เธอ ลีวายก็ไม่โอเคแล้วอย่างนั้นหรือ?