หลินจือพูดถึงความสงสัยของตัวเองกับนานิแล้ว นานิก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ : “ถูก บางคนจิตใจแคบยิ่งกว่าเข็มเสียอีก พวกนั้นจะจงเกลียดจงชังคนหนึ่งคน และเล่นงานคนหนึ่งคนเพียงเพราะเรื่องเล็กๆเท่านั้น”
“ลีวายนั่นก็มีคุณสมบัติที่แย่อยู่แล้ว บทละครเจเทาวน์ให้เธอเป็นคนทำ เธอมีความสามารถก็ไปบังคับเจเทาวน์สิ?” นานิเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ : “ตัวเองไม่มีความสามารถ แล้วยังมากล่าวโทษว่าความเก่งของคนอื่นอีก น่าสนุกดีนี่”
นานิเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง : “ใช่สิ เธอยังไม่รู้ใช่ไหม? ได้ยินมาว่าลีวายแอบรักเจเทาวน์ด้วยล่ะ คาดว่าคงจะเป็นเพราะเรื่องนี้ถึงได้ดูไม่ค่อยถูกชะตาเธอนัก”
“แอบรักประธานเจเทาวน์?” หลินจือรู้สึกตกใจมากจริงๆ
“ใช่ ฉันเองก็ไปได้ยินคนอื่นซุบซิบนินทามาเหมือนกัน” นานิพูดจบก็แขวะลีวายขึ้นมาอีกครั้ง “หล่อนก็ไม่ได้ดูตัวหล่อนเองเลยนะว่าพฤติกรรมเป็นแบบไหน ไม่พูดถึงหน้าตาหล่อนหรอกนะ โจมตีรูปร่างหน้าตาของคนอื่นนั่นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่กับการพูดจายุยง ทำร้ายคนอื่นแบบหล่อนนั่น เจเทาวน์จะชอบหล่อนได้ยังไง?”
นี่ไม่ใช่ว่านานิตั้งใจจะใส่ร้ายป้ายสีลีวาย แต่ไม่ว่าลีวายคนนี้จะอยู่ในวงการนักเขียน หรือในวงการบทละคร ชื่อเสียงก็ล้วนแต่ไม่ดีทั้งนั้น
จากที่ว่าหนังสือสองสามเล่มที่เคยดังนั้น มีแฟนคลับบางคน วันทั้งวันก็เอาแต่ยุยงเหยียบย่ำคนอื่น จะว่าน่ารังเกียจก็ใช่
หลินจือรู้ว่าลีวายเป็นคนที่แย่มาก แต่เธอรู้สึกมาโดยตลอดว่าเรื่องปากหวานก้นเปรี้ยวแบบนี้จะอยู่ห่างจากตัวเองมาก
ตอนแรกที่ครูสปฏิเสธลีวายแล้วรับเธอมาเป็นลูกศิษย์ เธอก็รู้สึกได้ถึงเจตนาที่ลีวายมีต่อเธอ
แต่ในตอนนั้นความคิดของเธอนั้นยังคงวางเอาไว้อยู่ที่ครอบครัวและเทาเท่ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจลีวาย ดูแล้วตอนนั้นเธอจะใช้ชีวิตแบบพระมากเกินไป
คิดมาถึงตรงนี้แล้วหลินจือก็เอ่ยพูดกับนานิ : “ดูแล้วฉันจะเข้าในสังคมนี้ ไม่เพียงแค่ความสามารถในการทำงานเท่านั้นสินะ รับมือกับพวกปากหวานก้นเปรี้ยวก็ต้องมีความสามารถด้วยสินะถึงจะถูก”
นานิให้กำลังเธออย่างตื่นเต้น : “อย่ายอมแพ้นะ หลินจือ!”
หลินจือถูกเธอหยอกเสียจนหัวเราะออกมา
เช้าวันรุ่งขึ้น ควีนตื่นขึ้นมาจากอาการสร่างเมา
หลินจือทำข้าวต้มรสอ่อนๆให้เธอ หลังจากที่หลินจือนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก : “เมื่อคืนนี้ฉัน…..ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีออกไปใช่ไหม?”
“ไม่มีหรอก” หลินจือหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณภาพเหล้าดีมากเลยนะ กลับมาเธอก็หลับไปเลย”
“อืม…..” ควีนมีท่าทางโล่งใจขึ้น
ฐานะอย่างเธอนี้ แอบรักผู้ชายที่อยู่สูงจนเกินเอื้อมถึง ถึงแม้จะให้หลินจือรู้ เธอเองก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน
เธอเก็บซ่อนเรื่องของตัวเองมาตลอด อยากจะให้มันกลายเป็นเพียงแค่ความลับของตัวเองเท่านั้น
ในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ เธอได้ยินคนหนึ่งเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่าช่วงนี้เขาอาจจะได้รับการจัดการเรื่องงานแต่งงานจากครอบครัว ทันใดนั้นเองหัวใจของเธอก็แตกสลายแล้ว
ถึงแม้ว่าทั้งที่รู้ว่าเลขาอย่างเธออาจจะไม่มีทางได้เขามา แต่ถ้าหากเขาจะต้องแต่งงานจริงๆ เธอก็รู้สึกหมดหนทางแล้ว
แต่งงานแล้ว ก็ไม่มีความเป็นไปได้แล้วจริงๆ
ดังนั้นเธอจึงกลั้นเอาไว้ไม่ได้ จึงดื่มไปมาก
แต่แอลกอฮอล์หมดฤทธิ์ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์เลย หลังจากที่สร่างเมาแล้ว ความเจ็บปวดในใจของเธอก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
หลินจือตักข้าวต้มให้เธอหนึ่งถ้วย ไม่ได้แสดงอาการออกมามากนัก : “ทานข้าวต้มซักหน่อยนะ กระเพาะจะได้รู้สึกสบายขึ้น”
“อืม” ควีนหยุดความเศร้าในดวงตาเอาไว้แล้วก้มหน้าลงกินข้าวต้ม
หลังจากอาหารเช้าแล้วควีนก็ไปทำงาน หลินจือเก็บของแล้วจะทำงานต่อ เจเทาวน์ก็โทรมาหาเธอ : “หลินจือ ตอนนี้คุณมีเวลาไหม?”
หลินจือเอ่ยถามขึ้น : “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เจเทาวน์ชะงักไป : “คุณมาที่บริษัทหน่อยดีกว่า มีคนสองคนมาหาคุณที่บริษัท…..”
“คงไม่ใช่…..พ่อกับพี่ชายฉันใช่ไหม?”ในใจของหลินจือก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏขึ้นมา
“อืม”น้ำเสียงของเจเทาวน์ดูหนักหน่วงอยู่บ้าง : “พวกเขามาเอะอะโวยวายว่าต้องการจะพบคุณ บอกว่าคุณไม่เลี้ยงดูพ่อของคุณ”
หลินจือรู้สึกโมโหเสียจนทั้งร่างกายสั่นเทาไปหมด : “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ”
หลินจือประเมินค่าระดับความเลวและความไร้ยางอายของสองพ่อลูกต่ำเกินไป เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะก่อนเรื่องไปถึงเบลดิ้ง
และนี่ก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีสมองเลยเสียจริงๆ จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือต้องการเงินจากเธอ ถ้าหากก่อเรื่องกันจนเธอไม่มีอะไรแล้ว พวกเขาจะไม่ได้เงินไปเลยไม่ใช่รึไง?
หลังจากที่วางสายแล้วหลินจือก็ไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หลังจากนั้นก็สูดหายใจเข้าเพื่อทำให้ตัวเองสงบลงมา และถึงได้รีบออกจากบ้านไป
เดิมทีเธอวางแผนว่าหลังจากที่ได้ผลตรวจดีเอ็นเอแล้ว ก็จะเป็นฝ่ายไปหาสองพ่อลูกชาร์ลีเพื่อเผยไพ่ในมือนี้ให้ดู
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะใช้เงินสองหมื่นหมดไปเร็วขนาดนี้ อีกทั้งมาขอเงินเธออีกอย่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียวอีกด้วย
อาศัยการดูดเลือดเนื้อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอย่างเธอเพื่อรอกินรอใช้นั้น พวกเขาไม่รู้สึกขายหน้าเลยซักนิดใช่ไหม?
ระหว่างทางไปเบลดิ้งนั้น หลินจือก็โทรหาไวท์ ถามถึงผลตรวจดีเอ็นเอว่าออกมาแล้วหรือยัง
“ผมเพิ่งถามเพื่อนร่วมงานไปเมื่อครู่นี้ เขาบอกว่าคงจะได้รับประมาณช่วงบ่าย” ไวท์บอกแล้วก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง “พวกเขามาก่อเรื่องให้คุณอีกแล้วเหรอครับ?”
“เปล่าค่ะ ฉันถามดูเฉยๆ” หลินจือไม่อยากให้ไวท์รู้เรื่องที่สองพ่อลูกชาร์ลีไปก่อความวุ่นวายถึงที่เบลดิ้ง เธอกลัวว่าไวท์จะบอกกับเทาเท่
ไวท์เอ่ยขึ้นมา : “เปล่าก็ดีแล้วครับ ตอนบ่ายถ้าผมได้รับแล้วจะรีบส่งไปให้คุณทันทีเลย”
“ขอบคุณค่ะ” หลินจือเอ่ยขอบคุณแล้วก็วางสายไป
ตอนที่รีบมายังเบลดิ้งนั้นหลินจือรู้แล้วว่าสองพ่อลูกชาร์ลีถูกเจเทาวน์เรียกเข้าไปในห้องประชุมแล้ว
เธอรีบขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังออฟฟิศของเจเทาวน์ พอดีกับตอนที่ออกมาจากลิฟต์นั้นก็บังเอิญเจอกับลีวายและผู้ช่วยของเธอเข้าพอดี
ผู้ช่วยของลีวายชื่อเมลโล่ หลินจือมาเคยได้ยินชื่อของเธอทีหลัง
หลินจือรีบจะไปจัดการเรื่องสองพ่อลูกชาร์ลี ดังนั้นจึงหลบตาลงเพื่อที่จะเลี่ยงไปจากทั้งสองคนนั้น
แต่ทว่าเธอไม่อยากจะหาเรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะยอมปล่อยเธอไป
เมลโล่ยังคงเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยดูถูก : “บางคน ภายนอกดูแล้วอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วใจดำอำมหิต แม้แต่พ่อแท้ๆของตัวเองก็ไม่เลี้ยงดู”
หลินจือไม่ได้แปลกใจที่พวกเธอรู้เรื่องนี้ สองพ่อลูกชาร์ลีก่อเรื่องได้ขนาดนั้น คนทั้งเบลดิ้งจะต้องรู้เรื่องกันแล้วอย่างแน่นอน
แต่หลินจือต้องยอมารับว่า ลีวายเป็นคนที่มีแผนการลึกซึ้งมากจริงๆ
เรื่องการทำลายกันต่อหน้านั้น เธอไม่เคยต้องเข้าร่วมด้วยตัวเองเลย ล้วนแต่ให้ผู้ช่วยมาเป็นคนคอยรับหน้าแทน
เธอดูเหมือนกับไม่สนใจและแยกตัวออกมา แต่ถ้าหากไม่ได้รับการแนะนำให้ทำ แค่ผู้ช่วยคนหนึ่งจะอวดดีเล่นงานคนอื่นทำให้คนอื่นไม่พอใจได้อย่างไรกัน?
หลินจือที่เดิมทีอารมณ์ไม่ดีเพราะสองพ่อลูกชาร์ลีอยู่แล้ว เมลโล่มาพูดยอกย้อนแบบนี้อีก เธอจึงตัดสินใจตอบโต้ไปทันที
เงยหน้าขึ้นมามองเมลโล่ แล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าท่าทางที่เย็นชา : “บางคน ไม่รู้ความจริงก็มาถากถางแดกดันแบบนี้ ระวังต่อไปจะย้อนกลับมาตีหน้าตัวเองนะ”
“เธอ……”เห็นได้ชัดว่าเมลโล่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินจือจะตอบโต้มานิ่งๆแบบนี้ หาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้
หลินจือไม่ได้สนใจเธออีก แล้วหันกลับเดินออกไป
หลังจากที่เมื่อคืนวางสายจากนานิไปแล้ว หลินจือก็กลับมาพิจารณาตัวเอง
เธอปฏิบัติตามบรรทัดฐานและศีลธรรมอย่างอ่อนโยนมาโดยตลอด ไม่แก่งแย่ง ไม่โวยวายมาโดยตลอดอีกด้วยเช่นกัน แบบนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่การยอมอ่อนข้อให้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรด้วยเช่นกัน
ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่ถูกคนมากลั่นแกล้งรังแกมากมายขนาดนั้น ตั้งแต่เทาเท่ ซูซี จนถึงคนพวกนั้นของตระกูลฟอเรนา และมาถึงสองพ่อลูกชาร์ลี และตอนนี้ยังมีลีวายนี่อีกด้วย
ดังนั้น เธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมาให้ได้
คนอื่นไม่มาหาเรื่องเธอ เธอเองก็จะไม่ไปหาเรื่องคนอื่นเช่นกัน
แต่หากคนอื่นมาหาเรื่องเธอ เธอเองก็จะไม่ทนต่อไปอีกแล้วเช่นกัน