บทที่ 22 ครูถัง[รีไรท์] EnjoyBook
**ในบทนี้การจัดบรรทัดจะแปลกไป เนื่องจากมีปัญหาทางเทคนิค หากทางเราสามารถแก้ไขได้แล้วจะกลับมาแก้ไขให้นะคะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ**
บทที่ 22 ครูถัง[รีไรท์]
วันถัดมา ขณะนี้บรรยากาศภายในเรือนกำลังคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย โม่หยูถังใช้จ่ายเงินจำนวนมาก จ้างคนงานหลายคนให้มาปรับปรุงและซ่อมแซมทุก ๆ ส่วนภายในเรือนทั้งหมด
7 วันต่อมา เรือนตระกูลหลิงก็ปรับปรุงแล้วเสร็จจนเหมือนใหม่
พื้นที่ทรุดโทรมทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมและผนังที่สกปรกได้ถูกทำความสะอาด พื้นหินชนวนได้ถูกปูทั่วทั้งลาน
หากจ้าวเหมิงลู่ได้มาเห็นสภาพของลานกลางเรือนในเวลานี้ นางคงคิดขอบคุณสวรรค์ในความโชคยังดีของนางที่ในตอนที่นางได้รับการ ‘ชี้แนะ’ จากหลิงตู้ฉิงในเวลานั้นลานกลางเรือนยังไม่ได้ถูกปูพื้นด้วยหินชนวน ไม่อย่างนั้นหากในตอนนั้นพื้นได้ถูกปูปรับปรุงใหม่ไปแล้ว ชะตากรรมของนางคงอนาถกว่าเดิมหลายเท่าตัว
นอกเหนือจากลานกลางเรือนที่ได้รับการปรับปรุง ส่วนอื่น ๆ เช่นภายในห้องพักแต่ละห้องยังได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมดให้ดูหรูหราขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูราวกับว่าพวกเขาได้อยู่อาศัยในห้องของคฤหาสน์ราคาแพง
กระบวนการปรับปรุงเรือนทั้งหมด 7 วัน หลิงตู้ฉิงไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย
จิตใจของเขายังคงจดจ่ออยู่กับบรรดาบุตรชายหญิงของเขา
เนื่องจากเขาไม่สามารถสอนเด็ก ๆ ที่ลานกลางเรือนได้ชั่วคราวเขาจึงตัดสินใจเรียกหลิงยู่ชานมาที่ห้องโถงเพื่อฝึกออกหมัด จากนั้นก็นำหลิงไช่หยุนและหลิงฟ่างหัวมาที่ห้องโถงเพื่อฝึกฝนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของบรรดาคนงานที่ลอบสังเกตการฝึกของลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง พวกเขาเข้าใจได้เพียงแค่หลิงยู่ชานนั้นฝึกออกหมัดธรรมดา ๆ ราวกับว่าเขาเป็นหุ่นยนต์และการฝึกฝนของหลิงฟ่างหัวและหลิงไช่หยุนก็ไม่ต่างจากการเล่นกันของเด็ก ๆ
เมื่อภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหล่านี้พบเห็นโดยคนนอกหลายคน เรื่องนี้จึงได้รู้เข้าไปถึงหูของใครบางคนที่อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
ณ คฤหาสน์ตระกูลเจิ้นในเมืองฟินิกซ์
ขณะนี้เจิ้นสีชวงและเจิ้นป่าเจ่า ผู้เป็นพี่ชายของเขากำลังนั่งปรึกษากันอยู่ในห้องทำงาน
“ไอ้เด็กเวรนั่นมันสามารถบ่มเพาะได้ยังไง? มันไม่มีรากฐานทางจิตวิญญานไม่ใช่เหรอ?” เจิ้นสีชวงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
เจิ้นป่าเจ่ามองไปยังเจิ้นสีชวงและถามขึ้นด้วยความสับสน “ข้าได้ยินมาว่า ในวันการทดสอบเข้าสำนักหงส์เพลิง หลิงตู้ฉิงได้ลองกดมือลงไปที่เสาทดสอบแต่ผลกลับไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ ขึ้นเลยกับเสา แต่แล้วทำไมเขาถึงกลับสามารถระเบิดพลังวิญญาณทำร้ายเจ้าได้กัน? หรือว่าไอ้เสาทดสอบนั่นมันจะชำรุดจริง ๆ?”
เจิ้นสีชวงตอบอย่างไม่แน่ใจ “ท่านพี่ แต่ก่อนหน้าที่หลิงตู้ฉิงจะทดสอบ เสาทดสอบมันก็ทดสอบเด็กคนอื่นได้ปกติดีนะท่านพี่”
เจิ้นป่าเจ่าสงสัย “ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่า ไอ้เจ้าคนแซ่หลิงใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างกับเสาทดสอบหรือไม่ก็วิชาที่มันฝึกไม่ได้ใช้รากฐานทางจิตวิญญาณในการบ่มเพาะ?”
ในตอนนี้บุคคลที่เสาทดสอบตรวจไม่พบรากฐานทางจิตวิญญาณกลับกลายเป็นผู้บ่มเพาะไปแล้ว ทำให้พวกเขาสองพี่น้องไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
เจิ้นสีชวงคิดอยู่นานก็ส่ายหัว “ช่างหัวมันก็แล้วกัน ไม่ว่ามันจะบ่มเพาะได้หรือบ่มเพาะไม่ได้ แต่ไอ้คนแซ่หลิงนั่นดูถูกข้าต่อหน้าผู้คนมากมายในวันทดสอบเข้าสำนักหงส์เพลิง และมันยังเป็นต้นเหตุทำให้ตู้เหลยโตวไล่ข้าออกจากสภาบันหงส์เพลิง แค้นนี้ยังไงข้าต้องชำระกับมันแน่นอน!”
เจิ้นป่าเจ่าพยักหน้า “เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าเป็นน้องชายของข้า ข้าไม่ยอมให้ไอ้คนที่มารังแกเจ้าต้องลอยนวลไปได้แน่นอน ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของตระกูลเรามานานแล้ว ข้าจะใช้โอกาสนี้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่ว่าใครที่กล้าล่วงเกินตระกูลเรามันผู้นั้นจะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถ ตอนนี้แค่ขับไล่ไอ้พวกเด็กกำพร้าพวกนั้นและตัดหนทางหาเงินของพวกมันนั้น มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ข้าจะทำให้พวกมันไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนในเมืองฟินิกซ์อีกต่อไป”
เจิ้นสีชวงยังพูดอย่างดุเดือด “ท่านพี่แล้วเราจะเอายังไงกับไอ้พวกตระกูลมี่กันดี พวกมันไม่ยอมตอบรับข้อเสนอของเราแถมข้ายังได้ข่าวว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ มี่ไล ได้เดินทางไปยังเรือนหลิงด้วยตัวเองเพื่อมอบเงินและสิ่งของให้กับหลิงตู้ฉิงอีกต่างหาก!”
เจิ้นป่าเจ่าพูดว่า “ไม่เป็นไร ในเมื่อตระกูลมี่ต้องการรับบทเป็นคนดี ข้าก็จะให้รางวัลสนองกับการทำตัวเป็นแม่พระของพวกมันสักหน่อย ข้าจะแจ้งหอการค้าต่าง ๆ ให้พวกเขาร่วมมือกันเพื่อทำลายล้างหอการค้ามี่ตั้วตั้ว ข้าจะใช้ความพินาศของตระกูลมี่เป็นตัวอย่างให้กับตระกูลอื่น ๆ ได้เห็นว่าการตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรามันคือสิ่งต้องห้าม!”
จากนั้น เจิ้นป่าเจ่าจึงเรียกผู้ส่งสาส์นของเขาเข้ามา และให้นำคำสั่งของเขาออกไปเพื่อแจ้งหอการค้าต่าง ๆ เพื่อจัดการกับตระกูลมี่
เมื่อส่งผู้ส่งสานส์ออกไปเสร็จ เจิ้นป่าเจ่าหันไปพูดกับน้องชายของเขาว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ก็เหลือแค่รอเวลาให้พวกมันมาคุกเข่าอ้อนวอนแทบเท้าเราเท่านั้น!”
เจิ้นสีชวงที่ยังรู้สึกไม่พอใจเขาพูดขึ้นว่า “จะว่าไปแล้ว ท่านพี่ ข้ารู้สึกเหมือนว่าสวรรค์ยังมีตา ข้านึกไม่ถึงเลยหลังจากที่ข้าถูกไอ้คนแซ่หลิงทำให้บาดเจ็บ เมื่อข้าตื่นขึ้นมาระดับการบ่มเพาะของข้ากลับทะลุทะลวงมาจนถึงขอบเขตประสานทะเลปราณได้อย่างน่าฉงนใจ ข้าตั้งใจว่าหลังจากนี้ข้าจะต้องไปตอบแทนมันสักหน่อยที่ทำให้ข้าทะลวงระดับได้จนน่าตื่นตะลึง”
“หากเจ้าไป เจ้าต้องนำผู้เชี่ยวชาญของเราไปด้วยเผื่อเกิดอะไรแปลก ๆ ขึ้นเจ้าจะได้มีคนไว้คอยสนับสนุน” เจิ้นป่าเจ่ากล่าวตอบ
“ข้าทราบแล้วท่านพี่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง แต่คืนนี้ท่านไม่ต้องรอข้ากลับมานะ ข้าวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากข้าแก้แค้นเสร็จ ข้าจะไปที่หอมรกตแดงสักหน่อย ผู้จัดการของนี่พึ่งส่งข่าวมาให้ข้าว่าตอนนี้มีสาว ๆ หน้าใหม่รอให้ข้าไปเลือกชมเชยอยู่จำนวนมากเลยล่ะ” เจิ้นสีชวงหัวเราะ
ในด้านของเรือนหลิง
ขณะนี้ที่หน้าประตูเรือนหลิงก็ได้ต้อนรับแขกอีกครั้ง ผู้คนที่มาในครั้งนี้ยังคงเป็นมี่ไลและหวงยี่เฟย
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้สภาพของหวงยี่เฟยเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เขาสระผมและหวีจัดทรงอย่างเรียบร้อย นอกจากทรงผมที่ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น การแต่งตัวของเขายังดูหรูหราฟู่ฟ่าไม่เหมือนเดิม
สาเหตุที่เขาทำทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขารอบที่แล้วที่เขามาหาหลิงตู้ฉิง เขาถูกตำหนิโดยหลิงตู้ฉิงท่ามกลางสายตาของเด็กจำนวนมากจนถึงจุดที่เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
นอกจากนี้เขาได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงอย่างชัดเจนในครั้งที่แล้ว หากเขาไม่ทำความสะอาดตัวเอง เขาจะไม่ได้ย่างเท้าเข้าเรือนหลิงอีกในครั้งต่อไป
ส่วนมี่ไลนั้นต่างจากหวงยี่เฟย วันนี้นางใส่ชุดที่ดูเคร่งขรึมเป็นทางการ ทุกสิ่งถูกวางแผนโดยผู้ฝึกมารยาทของตระกูลมี่ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องบุคคลิกภาพของนางแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับครั้งล่าสุดที่มี่ไลและหวงยี่เฟยมาที่เรือนหลิง พวกเขาปล่อยให้ผู้คุ้มกันรออยู่ด้านนอก ขณะที่พวกเขาเคาะประตูเรือนหลิง นอกจากนี้ วันนี้พวกเขายังมีสมาชิกเป็นหญิงวัยกลางคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
โม่หยูถังเป็นผู้เปิดประตูอีกเช่นเดิม เมื่อโม่หยูถึงเปิดประตูออกและได้เห็นว่าเป็นกลุ่มของมี่ไลที่ยืนรอหน้าประตู เขาจึงพาทั้งสามเข้ามาในเรือนเพื่อพบกับหลิงตู้ฉิงโดยไม่ได้ไต่ถามถึงจุดประสงค์การมาใด ๆ
หลิงตู้ฉิงเหลือบตามองพวกเขาทั้งสามโดยเฉพาะที่ร่างของหวงยี่เฟย
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงมองมาที่เขา หวงยี่เฟยยิ้มอย่างประจบประแจง
หลังจากมองไปยังหวงยี่เฟยที่ส่งรอยยิ้มแปลกประหลาดมาให้เขาอยู่ชั่วครู่ สายตาของหลิงตู้ฉิงก็เบนไปที่ใบหน้าของมี่ไล
มี่ไลเมื่อเห้นว่าหลิงตู้ฉิงมองมาที่นาง นางพยักหน้าและยิ้ม “ท่านหลิงนี่คือ อาจารย์ถัง ชื่อเต็มของนางคือ ถังชี่หยุน นางเป็นครูสอนพิเศษที่เราจ้างมาเพื่อสอนบุตรสาวและบุตรชายของท่าน อาจารย์ถังเป็นผู้มีความรู้ นักเรียนของนางแต่ละคนล้วนแต่…”
หลิงตู้ฉิงโบกมือขัดจังหวะแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องแนะนำ ข้ารู้แล้วว่านางมีความสามารถเป็นครูสอนลูก ๆ ของข้าได้ แต่ข้าต้องการจะรู้ก่อนว่านางสามารถยอมรับเงื่อนไขของข้าที่ต้องการให้นางอยู่กินที่เรือนหลิงตลอดเวลาได้หรือเปล่า หรือว่านางต้องการเดินทางไปกลับทุกวัน”
ถังชี่หยุนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะทำตามการจัดการของท่านหลิง!”
หลิงตู้ฉิงจึงพูด “เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง ข้าจะให้เจ้าอยู่กินในเรือนหลิงของข้า ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เดี๋ยวเจ้ากับข้าเราค่อยคุยกันในภายหลัง เอาล่ะมี่ไล เจ้าสามารถกลับไปได้แล้วตอนนี้”
มี่ไลพยักหน้าและยิ้ม “หากท่านหลิงมีอะไรที่ต้องการอีกท่านสามารถส่งพ่อบ้านมาบอกกับข้าได้ทุกเมื่อ วันนี้ข้าขอลา”
เมื่อพูดจบมี่ไลหันหลังกลับและจากไปโดยไม่เรียกหวงยี่เฟย
เมื่อเห็นว่ามี่ไลออกไปแล้วโดยไม่เรียกเขา หวงยี่เฟยก็พูดขึ้นว่า “ท่านปรมาจารย์หลิง ข้าอยากจะขอให้ท่านชี้แนะให้ข้าที…”
หลิงตู้ฉิงเหล่ตามองไปยังหวงยี่เฟยและพูดว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่ว่าง แต่ถ้าเจ้าต้องการจะรอจนข้าว่าง เจ้าห้ามรออยู่เฉย ๆ เรือนของข้าเพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่และบางส่วนของตัวเรือนยังคงไม่เรียบร้อย ถ้าเจ้ามีเวลาก็ไปจัดเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยแทนพ่อบ้านของข้าก่อน อ๋อใช่แล้ว! ข้าเพิ่งปลูกต้นไผ่สวรรค์ไว้ที่สวนหลังบ้านเมื่อเจ้าเก็บกวาดเรือนของข้าเสร็จ เจ้าจงไปดูแลมันอย่างระมัดระวัง อย่าปล่อยให้แมลงต่าง ๆ มารบกวนต้นไผ่ของข้าเป็นอันขาด หากเจ้ารู้จักต้นไผ่สวรรค์ เจ้าควรจะรู้ว่ามันจะตายทันทีที่เจอแมลง”
หวงยี่เฟยพูดด้วยในหน้าที่บูดบึ้ง “ได้ ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งทันที”
หลังจากหวงยี่เฟยออกจากลานไปหลิงตู้ฉิงบอกให้หลิงว่านถิงนำเก้าอี้มาให้เขาและเชิญถังชี่หยุนให้มานั่งคุย
“ครูถังเจ้าแต่งงานแล้วหรือยัง? และเจ้ามีลูกไหม?” หลิงตู้ฉิงถาม