หลังจากนั้นไม่นานคนงานทั้งห้าร้อยคนหรือมากกว่านั้นก็ถูกไล่ออกไป แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้จากไปไหน ชายที่มีปากแหลมและแก้มเหมือนลิง ยังคงตะโกนเสียงดังว่า“ไม่ต้องกังวล เพื่อนเสี่ยวคนนั้น จะต้องกลับมาร้องไห้และขอให้พวกเรากลับไปทำงานในเร็วๆนี้แน่ หากพวกเขาไม่มีพวกเรา การดำเนินงานทั้งหมดของ หลัวฝาง ก็จะไม่สามารถผลิตสินค้าใดๆได้ พวกเราเป็นคนที่กุมชะตากรรมของ บริษัท อยู่ในมือของพวกเรา พวกเราต้องมีความมั่นใจและมีความกล้าที่จะต่อสู้กับนายทุนเหล่านี้ไปจนสุดทาง!”
แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะมีพลังและเสียงดังมาก แต่คนงานที่เหลือถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เศร้าสลด พวกเขานั่งลงและในใจของเขาเขาก็จมลงสู้ความขมขื่น ตอนนี้พวกเขาสงบลงแล้วพวกเขารู้สึกเหมือนว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ พวกเขามีงานที่ดี ดังนั้นทำไมพวกเขาถึงจะหยุดงานและมาประท้วงแบบนี้ด้วย?
หากพวกเขาซื่อสัตย์กับตัวเองและค่าจ้าง ผลประโยชน์ของพวกเขาย่อมดีกว่าที่พวกเขาได้รับจากโรงงานอื่น อย่างไรก็ตามในที่สุดความโลภที่หยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขามันก็เอาชนะ และพวกเขาก็เลือกที่จะเข้าร่วมการประท้วง หลายคนรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของพวกเขาในตอนนี้
หากพวกเขาถูกไล่ออกจริงๆครอบครัวของพวกเขาจะสูญเสียแหล่งรายได้ บางคนก็มีเด็กทารกที่ต้องดูแล และบางคนก็มีลูกที่ต้องไปโรงเรียน และบางคนผู้ปกครองก็ไม่มีความสามารถในการทำงาน ความอิ่มท้องของคนพวกนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ของพวกเขา แล้วตอนนี้พวกเขาควรจะทำอย่างไร? ขณะที่พวกเขาไตร่ตรองเรื่องนี้คนงานบางคนกำลังสูบบุหรี่และมือที่จับบุหรี่ก็สั่นคลอนอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ในอีกด้านหนึ่งเสี่ยวหลัว ก็สั่งให้ผู้คนขยับโต๊ะและเก้าอี้สี่ตัวเข้ามาใกล้ ชู หยุนเชียง และ จี เซินเจิ้น พวกเขากำลังดื่มชาร้อนอยู่ ตอนนี้พวกเราไม่ได้มีความรู้สึกกังวลใจอะไรเลย
จาง ซูซาน เขาค่อนข้างที่จะไม่สบายใจ เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งเขาจะนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับผู้ประกอบการในตำนานอย่าง ชู หยุนเชียง แบบนี้
เมื่อเทียบกับพวกหัวหน้าแผนกต่างๆของ หลัวฝาง ตอนนี้พวกเขามีความกังวลอย่างมาก พวกเขาทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดัน หากโรงงานแปรรูปขนมปังสูญเสียคนงานไปทั้งหมด เครื่องจักรพวกนั้นก็จะถููกทิ้งร้างและทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะไม่สร้างคุณค่าใดๆแล้ว แต่มันยังทำให้ บริษัท สูญเสียเงิน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่การสูญเสียก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“ประธานเสี่ยว เราไม่สามารถรอเช่นนี้ได้ อย่างน้อยเราก็ควรลองตอบสนองคำขอของพวกเขาดู และขอให้พวกเขากลับมาทำงาน” สวี่ กว่างซ่ง ขมวดคิ้วแน่น เขาพยายามที่จะเกลี้ยกล่อม เสี่ยวหลัว
เสี่ยวหลัวยังคงนิ่งเฉย เขาหันไปมอง จาง ซูซาน และถามว่า“พวกเขาจะมาถึงตอนไหน?”
จาง ซูซาน ตรวจสอบเวลาและตอบว่า“พวกเขาน่าจะมาถึงในไม่ช้านี้”
“จำนวนเท่าไหร่?”
“ประมาณ 320 คน พนักงานทุกคนมาจากโรงงานผลิตขนมปัง พวกเขาสามารถเริ่มทำงานได้เลยทันทีที่มาถึง”
“อืม.”
เสี่ยวหลัวพยักหน้าและจิบน้ำชาอย่างช้าๆ
ด้วยบทสนทนานี้ สวี่ กว่างซ่ง และหัวหน้าแผนกคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง มีคน 320 คนกำลังมางั้นเหรอ? คน 320 คนที่มีประสบการณ์ในการแปรรูปขนมปัง พวกเขาไปหาคนพวกนี้มาจากที่ไหน? มันเป็นไปได้อย่างไร?
ชู หยุนเชียง ก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูกาลที่สำคัญสำหรับการจ้างงาน และการที่สามารถจ้างคนงานกว่า 320 คน มาได้ในครั้งเดียวนั้น มันแปลกและยากที่จะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมา นอกจากนี้ จาง ซูซาน ก็ยังเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ของเสี่ยวหลัวอีกด้วย ดังนั้นมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะมีความสามารถเช่นนี้
จากนั้น เสี่ยวหลัว ก็โบกมือให้กับ ผู้อำนวยการโรงงาน จาง ตงไห่ ให้เขาเข้ามา
“ประธานเสี่ยว คุณมีคำสั่งอะไรครับ” จาง ตงไห่ ถามด้วยรอยยิ้มที่เปล่งประกายอย่างกระตือรือร้น
เสี่ยวหลัว ชี้ไปที่ประตูหลักที่ซึ่ง มีชายคนหนึ่งที่มีปากแหลมและแก้มเหมือนลิง ที่กำลังพยายามปลูกฝังความกล้าหาญและความมั่นใจให้กับเหล่าเพื่อนร่วมงานของเขาอยู่ “ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร?”
“โอ้เขา ชื่อของเขาคือ หวัง ไท่ฮุ่ย” จาง ตงไห่ รีบตอบ
“หลิน เฉาตง เอาไฟล์บุคลากรของเขา มาให้ฉันหน่อย”
“ได้ครับ ท่านประธานเสี่ยว!”
หลิน เฉาตง รู้สึกชื่นชมเสี่ยวหลัว ซึ่งการกระทำก่อนหน้านี้ของเขา มันทำให้เขารู้สึกดีใจมาก ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติตามคำสั่งของเสี่ยวหลัวอย่างไม่มีเงื่อนไข
เสี่ยวหลัว ถูกกลุ่มคนมาประท้วงทันทีหลังจากที่เขาเข้ามานั่งบนเก้าอี้ประธาน เขาต้องการที่จะรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ นอกจากนี้เขาก็คิดได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ความขัดแย้งนี้มันไม่ได้เกิดจากคนงานต้องการที่จะขึ้นเงินเดือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันจะต้องมีคนสุมไฟอยู่เบื้องหลังแน่ และเพื่อค้นหาว่าใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หวัง ไท่ฮุ่ย นี้แหละถึงจะเป็นตัวแปรคนสำคัญ
… …
หนึ่งชั่วโมงต่อมา มันก็มีรถประจำทางขนาดใหญ่ห้าคัน ขับเข้ามาที่หน้าประตูหลักของโรงงาน หลัวฝาง และจอดรถเรียงกันเป็นแถว
“เฮ้ … พวกเขามาแล้ว!”
จาง ซูซาน ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นและเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองดูกลุ่มคนที่กำลังลงมาจากรถประจำทางทั้งห้าคันนั้น ชู หยุนเชียง ก็แปลกใจมากและพูดกับเสี่ยวหลัวว่า “เสี่ยวหลัว เพื่อนของคุณมีความสามารถมาก”
เสี่ยวหลัวยิ้มแล้วตอบว่า“เขารู้ข่าวว่า ประธานของโรงงานผลิตขนมปัง Taste Buds กำลังอยู่ระหว่างการขยายตัว และเจ้าของโรงงานขนมปังเจ้าอื่น ก็ถูกบังคับให้ปิดกิจการ ดังนั้นเขาจึงต้องประกาศล้มละลายและเลิกจ้างพนักงานทั้งหมดของเขา และมันก็บังเอิญที่เราต้องการคนงานอยู่พอดี จาง ซูซาน จึงทำข้อตกลงกับเขา และ เขาก็ส่งคนของเขามาหาเราอย่างรวดเร็ว”
“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินพวกคุณต่ำเกินไปซะแล้ว” จี เซินเจิ้น หัวเราะเมื่อได้ยินคำอธิบายนี้
เสี่ยวหลัวไม่มีอะไรที่จะพูดอีก เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคอนเน็กชั่นของ จาง ซูซาน จะกว้างขวางมากขนาดนี้ นี่มันเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่ จาง ซูซาน พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ สามปีที่เขาทำงานที่ธนาคารมันไม่ได้ไร้ค่า และคอนเน็กชั่นของเขาหลายคนของเขาก็เป็นผู้นำของธุรกิจ ในแง่ของเครือข่ายเขาทำได้ดีกว่า เสี่ยวหลัว อย่างสมบูรณ์
เมื่อพวกคนงานเห็นคนมากกว่า 300 คนหลั่งไหลออกมาจากรถโดยสารประจำทาง ทั้งห้าคัน คนงานดั้งเดิมของ หลัวฝาง ทุกคนต่างก็หน้าซีด แม้แต่ หวัง ไท่ฮุ่ย ที่เป็นผู้นำกลุ่มประท้วงตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
มันเกิดอะไรขึ้น?
ทำไมพวกเขาถึงหาคนงานคนใหม่ มาแทนพวกเขาได้รวดเร็วเช่นนี้?
ไม่! มันไม่ควรเป็นแบบนี้ มันไม่ควรเป็นแบบนี้ นี่มันเป็นงานของพวกเขานะ!
“ประธานเสี่ยว พวกเรารู้ว่าพวกเราผิด และพวกเราขอยอมรับความผิดพลาดของเรา ได้โปรดอย่าไล่พวกเราออกเลย”
“พวกเราจะไม่ประท้วง เราจะไม่ประท้วงอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่คุณไม่ไล่พวกเราออก พวกเราจะเชื่อฟังคำพูดของคุณทุกอย่าง”
“ประธานเสี่ยว ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย!”
เสียงร้องและเสียงร่ำไห้ของการวิงวอนของพวกเขาดังก้องจากประตูหลัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ประตูเหล็กขนาดใหญ่มันก็คงจะถูกคนงานกว่า 500 คน พังทลายเข้ามาแล้ว
“ฉันเข้าใจอารมณ์ของพี่ชายของฉันดี ถ้าเขาบอกว่าเขาจะไล่พวกคุณออก นั่นก็หมายความอย่างที่เขาพูดจริงๆ พวกคุณทุกคนทำตัวเองกันทั้งนั้น พวกคุณหยุดงานและมาประท้วงที่นี่ พวกคุณออกไปซะเถอะและอย่าเข้ามาที่นี่อีก!” จาง ซูซาน ตะโกนใส่พวกเขา
“พี่ใหญ่ ได้โปรดช่วยฉันด้วย ช่วยขอร้องกับประธานเสี่ยวที ครอบครัวของฉันมีกันทั้งหมด 6 คน และพวกเขาทั้งหมดก็อยู่ได้เพราะฉัน ฉันไม่สามารถสูญเสียงานนี้ไปได้ ได้โปรดเถิดฉันขอร้อง” ชายคนหนึ่งอ้อนวอนทั้งน้ำตา เขาคว้าขาของ จาง ซูซาน เข้ามากอดแน่น
จาง ซูซาน ถอนหายใจออกมา“พี่ชาย ฉันเสียใจที่จะต้องพูดพูดแบบนี้ แต่ฉันไม่สามารถทำอะไรให้คุณได้ พี่ชายของฉันตัดสินใจไปแล้ว และมันก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้เลย คุณควรเริ่มหางานใหม่ทำดีกว่านะ”
จาง ซูซาน ผลักชายคนนั้นออกไป จากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก็เริ่มเปิดทางให้คนงานใหม่เข้ามา
“ทุกคนไม่ต้องขอร้องอะไรกับพวกเขาแล้ว!” หวัง ไท่ฮุ่ย ตะโกน “มันยังมีโอกาสอยู่ที่อื่นอีกมาก การดำเนินงานของ หลัวฝาง มันกำลังเผชิญหน้ากับการล่มสลายที่กำลังใกล้เข้ามา หากพวกเรายังคงทำงานที่นี่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก หากพวกเขาต้องการที่จะไล่พวกเราออก ก็ให้พวกเขาไล่ไป พวกเราสามารถไปหางานทำที่อื่นได้!”
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขายังคงสงบปากสงบคำ ด้วยคำพูดเหล่านี้เหล่าคนงานก็ตระหนักได้ว่า การที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันก็เป็นเพราะ หวัง ไท่ฮุ่ย ที่เป็นคนยั่วยุพวกเขา!
“หวัง ไท่ฮุ่ย! ไอสารเลวเอ้ย!”
ชายผู้ที่ร้องไห้กอดเท้าของ จาง ซูซาน เมื่อไม่นานมานี้เช็ดน้ำตาจากบนใบหน้าของเขา เขารีบตรงไปที่ หวัง ไท่ฮุ่ย ด้วยก้อนอิฐแตกซึ่งเขาหยิบขึ้นมาจากพื้นดิน เขายกอิฐขึ้นสูงแล้วทุบมันลงไปบนหัวของ หวัง ไท่ฮุ่ย อย่างรุนแรง
“ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะแก! เพราะคำพูดของแกมันทำให้ฉันต้องตกงาน!”
ความโกรธของฝูงชนปะทุขึ้นมาในทันที พวกเขารีบวิ่งไปที่ หวัง ไท่ฮุ่ย เหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก