บทที่ 83 อดีตสามีที่ล้มเหลว

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

สิ้นสุดการโทรด้วยการวางสายของหลินจือด้วยความโมโห

สองพ่อลูกชาร์ลีครั้งนี้ผลักเธอให้มาเจอกับความยากลำบาก ทำให้เธอถูกโจมตีจากชาวเน็ตเป็นหมื่นเป็นพันคน ในใจของหลินจือความรักความห่วงใยสุดท้ายที่มีต่อพวกเขานั้นถูกตัดขาดจนหมดสิ้น

ขาดแล้วก็ขาดไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกกับเธอซักนิดเลยอยู่แล้ว พวกเขาใช้ประโยชน์จากเธอมาโดยตลอดเท่านั้น

หลังจากวางสายไปแล้วหลินจือก็สงบลง หลังจากนั้นก็ออกไปหาไวท์ที่โรงพยาบาลเพื่อเอาผลรายงาน

เธอนั่งรถไปยังโรงพยาบาล แล้วขึ้นลิฟต์ไปยังออฟฟิศของไวท์

ในโรงพยาบาลนั้นเต็มไปด้วยผู้คนอยู่ตลอด ตอนที่ขึ้นลิฟต์นั้นเดิมทีหลินจือก็ยืนเงียบๆอยู่ด้านใน แล้วจู่ๆผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆก็จ้องมองมาที่เธอ ปากก็ยังพึมพำกับคนที่มาด้วย : “ผู้หญิงคนนี้ทำไมดูคุ้นๆจัง?”

ผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็ยืนหน้ามามองหลินจือแวบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยพูดเสียงสูงขึ้นมา : “นี่ไม่ใช่ผู้หญิงคนที่ถูกเปิดโปงว่าไม่ยอมเลี้ยงดูพ่อแท้ๆของตัวเองหรอกเหรอ?”

“จริงๆด้วย!”

ทั้งสองคนพูดคุยกันแบบนี้ คนที่อยู่ในลิฟต์ต่างก็พากันหันมามองหลินจือ

หลังจากที่จำเธอได้แล้วนั้นก็เริ่มต่อต้านเธอขึ้นมา คำพูดนั้นฟังดูแย่ก็แย่มากจริงๆ

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และด่าว่าของทุกคน สีหน้าของหลินจือค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างซีดเผือด

ยี่สิบกว่าปีมานี้เธอทำดีกับทุกคนมาโดยตลอด ไม่เคยเจอเรื่องที่จะถูกคนมาชี้หน้าด่าว่าแบบนี้มาก่อน

อีกทั้งเธอคิดไม่ถึงเช่นกันว่าความรุนแรงบนอินเตอร์เน็ตจะขยายมาสู่ความเป็นจริงได้อย่างน่ากลัวขนาดนี้ เมื่อก่อนตอนที่เห็นคำวิพากษ์วิจารณ์แย่ๆเหล่านั้น เธอเพียงแค่รู้สึกโมโห แต่ตอนนี้นอกจากความโมโหแล้ว เธอยังมีความอึดอัด อับอาย และความอัปยศอดสู

เธอรีบหนีออกไปจากลิฟต์ ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ถึงชั้นออฟฟิศของไวท์ก็ตาม

ที่เกินไปมากกว่านั้นก็คือ ตอนที่เธอหันออกมานั้นมีคนผลักเธออย่างแรง ร่างของเธอเซไปจนเกือบจะล้มลงไปที่พื้น รู้สึกโมโหจนตาแดงไปหมด

เธอหันกลับไปด้วยความโมโหและคิดจะเล่นงานกับคนที่ผลักเธอนั้น ประตูลิฟต์ก็ปิดลงเสียก่อน แล้วพาคนพวกนั้นขึ้นไปด้านบน

ไม่กล้าขึ้นลิฟต์อีกแล้ว แล้วก็ไม่กล้าออกไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนแล้วอีกด้วย หลินจือวิ่งเข้าไปตรงบันไดหนีไฟทางด้านข้างด้วยด้วงตาที่แดงก่ำ แล้วโทรออกหาไวท์ ไหว้วานให้เขาช่วยเอารายงานผลมาให้เธอข้างล่าง

ไวท์ที่อยู่ทางปลายสายรู้สึกงุนงง : “ทำไมให้ผมเอาไปให้คุณที่บันไดหนีไฟชั้นห้าล่ะครับ? ทำไมคุณไม่ขึ้นมา?”

“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ คุณช่วยเอาลงมาให้ฉันหน่อยนะ”เสียงของหลินจือสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง ไวท์ฟังออก หลังจากที่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเขาก็เอารายงานลงมาให้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”หลังจากที่ไวท์เจอกับหลินจือแล้วนั้น ก็ดึงเธอออกมาจากมุมมืดตรงบันได แล้วพาเดินออกมาคุยตรงระเบียงที่เงียบๆ

หลินจือหลบตาลงแล้วเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับไวท์ เขารู้สึกโมโหมาก : “ก็เพราะคนพวกนี้ขาดความคิดเป็นของตัวเอง ใครพูดอะไรก็ว่าไปตามนั้นไง ถึงได้เกิดเรื่องที่รุนแรงขึ้นมากมายในอินเตอร์เน็ตแบบนี้!”

ไม่รู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลัง ก็มาด่าว่า แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับตัวบุคคลนั้นเลย?

“ผมไปส่งคุณกลับ” เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไวท์ไม่สามารถให้หลินจือกลับไปเองได้เลย เผื่อระหว่างทางเจอกับคนที่แปลกประหลาดอะไรอีก

ระหว่างทางกลับไปนั้น ไวท์เอ่ยถามหลินจือขึ้นมา : “เรื่องนี้คิดคิดจะรับมือยังไงครับ?”

หลินจือบอกไปตามความจริง : “ประธานเจเทาวน์จะช่วยฉันทำให้ความจริงกระจ่างในนามบริษัทค่ะ”

ในช่วงที่คลิปของชาร์ลีถูกสัมภาษณ์ขึ้นเป็นการค้นหายอดนิยม เจเทาวน์ก็โทรมาหาเธอแล้ว บอกว่าหลังจากที่เธอได้รับผลการตรวจดีเอ็นเอแล้วก็จะช่วยเธอทำให้ความจริงกระจ่างขึ้นมา

แล้วเจเทาวน์ยังบอกอีกด้วยว่า เห็นในรูปถ่ายที่ถูกเปิดเผยออกมาในคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น รูปถ่ายนั้นถ่ายตอนที่เธออยู่ในลิฟต์ ดังนั้นคนที่แอบถ่ายเธอก็คงจะเป็นพนักงานในออฟฟิศในตึกเดียวกันกับเบลดิ้ง และอาจจะเป็นไปได้ที่จะเป็นพนักงานภายในของเบลดิ้งอีกด้วย

ไวท์ไอออกมาเบาๆ : “เจเทาวน์ช่วยคุณทำให้ความจริงกระจ่าง?”

หลินจือไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยาแบบนี้ : “ใช่ค่ะ มีคนเอาฉันออกมาอาจจะเป็นพนักงานของเบลดิ้ง ดังนั้นประธานเจเทาวน์จึงวางแผนไว้ว่าจะช่วยฉันทำให้ความจริงกระจ่างออกมาโดยใช้ชื่อของบริษัท”

“แบบนี้ก็จะค่อนข้างดูมีอำนาจและเป็นทางการอยู่บ้าง”

ไวท์ไร้คำพูดขึ้นมาในขณะนั้น

เจเทาวน์ออกหน้าช่วยเธอแล้ว ถ้าอย่างนั้นเทาเท่จะสามารถแสดงความสามารถออกมาได้ไหม?

จะว่าไปแล้ว ทำไมเทาเท่ถึงไม่ยื่นมือมาช่วยบ้างเลย?

จากความคิดในตอนนี้ของเทาเท่ ครั้งนี้หลินจือเจอกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่ควรที่จะไม่ยื่นมือออกมาช่วยสิ?

ไวท์ไม่รู้เรื่องที่เทาเท่ถูกหลินจือปฏิเสธในการรับเพิ่มเพื่อนในwe chat ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเทาเท่กำลังโกรธอยู่

เขาโกรธที่จะไม่สนใจความเป็นความตายของหลินจืออีก โกรธจึงให้ปล่อยให้เธอเป็นไปตามยถากรรม

ถึงแม้จะมีเรื่องอะไร เขาก็จะรอให้หลินจือเป็นคนมาขอร้องเขาเอง เขาถึงจะยื่นมือออกมาช่วย

เนื่องจากว่ารู้สึกอึดอัดใจ ดังนั้นไวท์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามหลินจือขึ้นมาหนึ่งประโยค : “ทำไมคุณถึงไม่ไปหาเทาเท่ล่ะครับ? ชาร์ลีบอกว่าคุณไม่สนใจความเป็นความตายของเขา เทาเท่มีสิทธิที่จะพูดออกความเห็นได้นะ”

เมื่อไม่กี่ปีก่อนสองพ่อลูกชาร์ลีเอาเงินจากเทาเท่ไปตั้งเท่าไหร่ เทาเท่ไม่ใช่ว่าเห็นแก่หน้าของหลินจือถึงได้ให้พวกเขาไปหรอกเหรอ?

ถ้าหากไม่ใช่หลินจือ เทาเท่จะสนใจพวกเขาไหม?

“หาเทาเท่?” หลินจือส่ายหน้าพลางยิ้มเยาะตัวเอง “เป็นไปได้ยังไงคะที่เขาจะช่วยฉัน? เขาเกลียดฉันขนาดนั้น?”

อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอกับเทาเท่ก็มีเรื่องกันเพราะเรื่องการเพิ่มเพื่อนในwe chat

ไวท์อ้าปากค้าง พูดไม่ออกอีกครั้ง

ไวท์คิดไม่ถึงเลยว่าในใจของหลินจือจะหมกมุ่นคิดว่าเทาเท่เกลียดเธอแบบนี้ ดูแล้วการแต่งงานกับเทาเท่ในช่วงสามปีนั้น ทิ้งเงามืดเอาไว้ในจิตใจของเธอมากจริงๆ

หลังจากที่ส่งหลินจือถึงที่แล้ว เรื่องแรกที่ไวท์ทำก็คือโทรหาเทาเท่

“เมื่อกี้หลินจือมาเอาผลรายงานที่โรงพยาบาล แล้วถูกด่าตอนอยู่ในลิฟต์”หลังจากที่ไวท์โทรติดแล้วนั้นก็เอ่ยพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา

เทาเท่ที่อยู่ทางปลายสายลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที : “อะไรนะ?”

ไวท์เอ่ยพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง : “ฉันไม่ได้หลอกนายนะ เธอหลบอยู่ตรงบันไดหนีไฟไม่กล้าออกมาเลย”

เทาเท่เงียบไปพักหนึ่ง

เขารู้เรื่องที่หลินจือถูกโจมตีบนอินเตอร์เน็ต หลังจากที่คลิปวีดิโอของวีไอพีนั่นขึ้นประเด็นร้อนยอดนิยม ควีนก็บอกเขาในทันที

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะรุนแรงขนาดนี้ รุนแรงถึงขนาดที่ส่งผลกระทบกับชีวิตจริงของเธอ

ประโยคนั้นของไวท์ที่บอกว่าเธอหลบอยู่ตรงบันไดหนีไฟไม่กล้าออกมา เขาได้ยินแล้วในใจเขานั้นรู้สึกไม่สบอารมร์เป็นอย่างมาก

ไวท์เอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง : “เรื่องนี้รุนแรงอยู่นะ เธอบอกว่าเจเทาวน์จะช่วยเธอทำให้ความจริงกระจ่างออกมา”

คำพูดของไวท์ทำให้ความคิดที่อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยหลินจือที่ผุดขึ้นมาในใจนั้นหายไปแล้ว เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ : “ในเมื่อเธอมีวิธีโต้ตอบแล้ว นายจะโทรหาฉันทำอะไรอีก?”

ไวท์เอ่ยขึ้นมาอย่างจนปัญญา : “ตอนที่ฉันคุยกับเธอฉันรู้มาว่า ภาพที่ติดอยู่ในใจที่เธอมีต่อนายไม่ดีเท่าไหร่นัก”

“ที่เธอไม่ได้ไปหานายให้นายช่วยเธอทำให้ความจริงกระจ่าง นั่นเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่านายเกลียดเธอมาก ไม่มีทางยื่นมือออกมาช่วยเธออยู่แล้ว”

สุดท้ายแล้ว ไวท์เลียนแบบน้ำเสียงปกติของเทาเท่พลางเอ่ยขึ้น : “ดูแล้ว….อดีตสามีอย่างนาย ทำได้อย่างล้มเหลวมากเลยนะ”

ไวท์พูดจบแล้วก็วางสายไป เทาเท่รู้สึกโมโหเสียจนเกือบจะโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งไปแล้ว

เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?

เธอไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากออกมาด้วย?

ต่อให้เมื่อก่อนเขาจะแสดงออกมาว่ารังเกียจเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นกับจะเห็นคนตายไม่ยอมช่วยแบบนั้นเหมือนกัน?

ตอนนี้เธอเจอกับเรื่องราวที่รุนแรงแบบนี้ เพียงแค่เธอออกปาก เขาจะต้องช่วยเธออย่างแน่นอน

นั่งอยู่ในออฟฟิศเพียงลำพังพักหนึ่งแล้ว เขาก็โทรเรียกให้ควีนเข้ามา