บทที่ 455 เช็กบิล

บทที่ 455 เช็กบิล

ด้วยอุปกรณ์สวมใส่ ณ ปัจจุบัน มันทำให้เซียวเฟิงเลือกที่จะปลดชุดแฟชั่นที่สวมมาอย่างยาวนานและเผยให้เห็นชิ้นส่วนกระดูกอันแหลมคมที่มาจากชุดเกราะมังกร ควบคู่ไปกับแสงไฟจากดวงตาภายใต้รูปลักษณ์ของหน้ากากกระโหลก ภาพลักษณ์อันแพรวพราวและสง่างามอันแฝงไปด้วยความน่ากลัวเช่นนี้ มันทำให้เฉียนโตวโตวและซือเยี่ยจิ๋งไม่สามารถละสายตาได้เลย

“ฉันต้องไปเอาของที่กิลด์ซับซีโร่ก่อน”

ซือเยี่ยจิ๋งเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมาก่อน เธอหันหน้ากลับแล้วเดินจากไป แม้ครั้งหนึ่งเธอจะเคยครอบครองชุดเกราะมังกรนี้ แต่ตอนนี้เธอก็ไม่ได้มีท่าทีหลงใหลมันอีก ต้องยอมรับเลยว่าชุดเกราะนี้ทรงพลังจริง ๆ สำหรับเธอ แต่น้อยครั้งมากที่เธอจะสามารถดึงพลังของมันออกมาใช้ได้ทั้งหมด

ตามปกติแล้วซือเยี่ยจิ๋งถนัดที่จะใช้อาวุธและอุปกรณ์ของตนเองมากกว่า ชุดเกราะมังกรจะใช้ดีสำหรับเธอก็ต่อเมื่อต้องลงดันเจี้ยนระดับสูงเท่านั้น

“พี่เซียว ที่นี่ก็เหลือเราแค่สองคนแล้วน้า…” หลังจากที่ซือเยี่ยจิ๋งเดินออกไป เฉียนโตวโตวก็โผเข้ามากอดแขนเขาไว้อีกครั้งแต่แน่นกว่าเดิมมาก ๆ เด็กสาวใช้หน้าอกที่ไม่มั่นใจว่ามีหรือเปล่านั้นกดทับลงไปที่แขนของเซียวเฟิงและถูไปมา

ทว่าก่อนที่เซียวเฟิงจะได้ผลักเธอออก เธอก็เป็นฝ่ายผละตนเองออกเพื่อไปรับโทรศัพท์แทนเสียก่อน

“ว่ายังไงนะ? เกิดอะไรขึ้นกับไป๋เจี่ยวเฉิง?” ไม่แน่ใจว่าหญิงสาวกำลังคุยโทรศัพท์เรื่องอะไร แต่สีหน้าของเฉียนโตวโตวเปลี่ยนไปอย่างมากเลยทีเดียว

“เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?” เซียวเฟิงถามขึ้นมาหลังจากที่เธอวางสายไปแล้ว

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่ถ้าพี่เซียวอยากจะช่วย ไว้เดี๋ยวฉันจะบอกอีกทีนะ” เฉียนโตวโตวฝืนยิ้มและกอดแขนเซียวเฟิงทิ้งท้าย “ถ้างั้น พี่เซียว ฉันคงต้องไปจัดการงานของฉันก่อน อย่าลืมโหวตให้ฉันด้วยล่ะ!”

ถึงแม้ว่าตัวเธอจะยังไม่ได้ลืมเรื่องที่จะฝากให้เซียวเฟิงโหวตให้ แต่จากท่าทีเร่งรีบนั้น เฉียนโตวโตวหายวับไปก่อนที่เซียวเฟิงจะได้พูดอะไรเสียอีก

เซียวเฟิงได้แต่ส่ายหน้าและไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเกิดปัญหาที่ว่านั่นมันใหญ่เกินตัวเธอ เดี๋ยวท้ายสุดเธอก็ต้องมาบอกเขาอยู่ดี

แน่นอนว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดหากเธอสามารถจัดการปัญหานั้นเองได้ หากเป็นเช่นนั้นเซียวเฟิงก็จะไม่ต้องกังวลอะไรด้วย ด้วยสถานะของเธอในตอนนี้ มันไม่ปัญหาไม่กี่ปัญหาเท่านั้นที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ในเมื่อทุกคนก็ไปหมดแล้ว เซียวเฟิงเองก็เดินกลับไปยังเขตที่อยู่อาศัยของขุนนางด้วย เขาส่งข้อความหาหลิวเฉียงเหว่ยเพื่อนัดเธอมาพบที่นี่ เพราะก่อนหน้านี้เธอและเขาเคยคุยกันเรื่อง NPC ทหารยามสำหรับเมืองแห่งความโศกเศร้าค้างเอาไว้

ในตอนนั้นเซียวเฟิงยังไม่ได้สั่งเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้เพราะคิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์ถ้าเลเวลของทหารยามที่จ้างมาได้นั้นมันต่ำเกินไป แต่ตอนนี้เห็นทีจะต้องถึงเวลาสั่งเปิดใช้งานแล้ว

ภายในปราสาทขุนนางแห่งนี้ มีเพียงผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางประจำเมืองแห่งความโศกเศร้าเท่านั้นถึงจะเข้ามาที่นี่ได้ เพราะงั้นมันจึงไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเซียวเฟิงเองจนกว่าหลิวเฉียงเหว่ยจะมาถึง

นักบวชหนุ่มนั่งว่างอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อนึกถึงเรื่องโหวตให้เฉียนโตวโตวขึ้นมาได้ เขาก็เปิดหน้าต่างโหวดเทพธิดาประจำเขตฮัวเซียที่อยู่ในฟอรั่มขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา

เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ หลังจากที่ซือเยี่ยจิ๋งเข้ามาอยู่ในอันดับเทพธิดานี้ เหล่าคนอื่น ๆ ที่เคยได้ขึ้นอันดับอยู่แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกันแทบทั้งหมด แม้ 3 อันดับแรกจะยังคงไว้ด้วย หลิวเฉียงเหว่ย ชูเมิ่งอิ๋ง และซางกวนซีเฟย แต่อันดับที่ 4 ในตอนนี้ก็แทนที่ด้วยซือเยี่ยจิ๋งไปแล้ว!

การมาของซือเยี่ยจิ๋งทำให้อีก 7 อันดับที่เหลือต้องขยับตาม ๆ กันไป และผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดดันตกไปอยู่ที่เฉียนโตวโตวผู้ที่ซึ่งเคยอยู่อันดับ 10 เธอตกลงมาเป็นอันดับที่ 11 ไปโดยปริยาย เช่นนั้นแล้วการที่เธอมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเซียวเฟิงคงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร…

เขาส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อนึกถึงภาพนั้นก่อนจะหันไปอ่านกฎการโหวตต่อ กฎระบุไว้ว่า ผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับตั๋วสำหรับโหวตเดือนละหนึ่งใบและจะไม่สามารถสะสมได้ นั่นหมายถึง ตอนนี้เซียวเฟิงมีตั๋วสำหรับโหวตเพียงใบเดียวในมือเท่านั้น

มองไปยังผลโหวตของเฉียนโตวโตวที่มีมากถึงสิบล้านเสียงขั้นต่ำ จากนั้นก็มองตั๋วโหวตเพียงหนึ่งใบในมือของเขา เซียวเฟิงคิดไม่ออกจริง ๆ ว่ามันจะช่วยอะไรได้กับเสียงเพียงหนึ่งเสียงของเขา เพราะจากที่ดูตอนนี้ เฉียนโตวโตวกับผู้ที่อยู่หน้าเธอนั้นมีคะแนนโหวตห่างกันเกือบพันโหวตเลย เช่นนั้นแล้วหนึ่งโหวตของเขาจะช่วยทำให้เธอตีตื้นพันกว่าโหวตนั้นได้อย่างไรกัน ต่อให้เขาจะโหวตให้เธอจริง ๆ มันก็ช่วยอะไรมากไม่ได้หรอก

ด้วยเหตุนี้ เซียวเฟิงจึงครุ่นคิดเรื่องนี้ทบทวนซ้ำอยู่อีกหลายรอบสลับกับอ่านกฎซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาลูบคางตนเองก่อนจะหารูปของเซียวหลิงและอัปโหลดมันขึ้นไปพร้อมกับโหวตให้เซียวหลิงด้วย

สิ่งนี้ถือว่าทำได้ตามกฎการโหวต ผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับหนึ่งโหวตต่อหนึ่งเดือน และหนึ่งโหวตนี้จะสามารถโหวตให้ผู้เล่นหญิงคนไหนก็ได้ หากผู้เล่นหญิงคนนั้นปรากฏชื่ออยู่ในอันดับแล้ว ผู้เล่นจะสามารถโหวตให้เธอได้โดยตรง แต่ถ้าหากผู้เล่นหญิงคนดังกล่าว ยังไม่ถูกเสนอชื่อขึ้นในกระดานอันดับ ผู้เล่นสามารถอัปโหลดภาพของผู้เล่นหญิงคนนั้นและโหวตให้แก่เธอได้ จากนั้นชื่อของเธอจะปรากฏในกระดานอันดับหลังได้รับการโหวตแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น ชื่อของซือเยี่ยจิ๋งในกระดานอันดับที่ถูกสร้างขึ้นโดยหานเฟิงเช่นเดียวกับโหวตแรกเองก็มาจากเขา ทันทีที่ภาพของซือเยี่ยจิ๋งถูกอัปโหลดขึ้นพร้อมกับโหวตแรก มันก็เตะตาผู้เล่นอีกมากมายที่เข้ามาเยี่ยมชมอันดับเทพธิดาประจำเขตฮัวเซียนี้ ด้วยผลบุญอันแรงกล้านั้นเอง มันก็ทำให้เธอถูกโหวตอย่างหนักหน่วงจนไต่ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ในอันดับเทพธิดาได้ไม่อยากหลังจากได้รับความนิยมอันมหาศาลจากอีเวนต์เซิร์ฟเวอร์ชิงชัย!

ตอนนี้เซียวเฟิงเองก็กำลังทำแบบเดียวกัน เขามองไปยังภาพของเซียวหลิงที่ตนเพิ่งจะอัปโหลดและโหวตไปเมื่อครู่ แม้ในตอนนี้จะมีคะแนนโหวตเพียงแค่ของเขาคนเดียว แต่มันก็ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกพึงพอใจมาก เขาพยักหน้าให้กับสิ่งนี้และยิ้มเจือจางบนใบหน้าน้อย ๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ปิดหน้าลงคะแนนโหวตให้เหล่าเทพธิดาลงไปแล้ว เซียวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงใครบางคนมาอยู่ด้านหลัง

และเมื่อหันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้ที่มาอยู่ด้านหลังนั้นคือ หลิวเฉียงเหว่ยที่เหมือนจะมาได้สักพักแล้ว เธอคนนั้นมองเขาเงียบ ๆ อยู่ด้านหลัง บางทีเธอน่าจะเห็นที่เขาเพิ่มเซียวหลิงเข้าไปในอันดับเทพธิดานั้นด้วย หลิวเฉียงเหว่ยไม่พูดไม่จา เธอเพียงแค่มองเขาพลางบ่นมุบมิบอยู่คนเดียวด้วย

“ฉันอธิบายได้นะ…” เซียวเฟิงรู้สึกกระโตกกระตากขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ช่างมัน” หลิวเฉียงเหว่ยหันมองไปทางอื่นแล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา

“ฉันอธิบายได้จริง ๆ นะ…” ยิ่งโดนกระทำเช่นนั้นเซียวเฟิงยิ่งสูญเสียความมั่นใจลงไป

เห็นได้ชัดว่าหลิวเฉียงเหว่ยไม่อยากจะฟังเขาพูดเลย เธอเดินนำเซียวเฟิงไปยังด้านหลังของปราสาทเจ้าเมืองที่ซึ่งถือเป็นใจกลางเมืองแห่งความโศกเศร้าด้วย

เมืองหลักแต่ละเมืองจะถูกแบ่งเป็นเมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน เมืองชั้นนอกจะยกให้เป็นของส่วนค้าขายหรือทำธุรกิจต่าง ๆ จุดเทเลพอร์ต จุดฟื้นคืนชีพ โถงเปลี่ยนคลาส ร้านค้าระบบและพื้นที่กิจกรรมสำหรับผู้เล่นต่าง ๆ นานา ในขณะที่ตัวเมืองชั้นในจะถือเป็นหัวใจหลักของเมืองที่ประกอบไปด้วย โถงหลัก ค่ายทหาร อาคารระบบต่าง ๆ หน่วยงานใดที่เมืองหลักอื่น ๆ มี เมืองแห่งความโศกเศร้าก็มีเหมือนกันหมด

ที่ด้านหลังปราสาทเจ้าเมืองหลังนี้ เป็นที่ตั้งของค่ายทหารประจำเมืองแห่งความโศกเศร้า ที่ที่ซึ่งเหล่า NPC จะรับสมัครหรือฝึกฝนทหารใหม่ ๆ เซียวเฟิงเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ตัวเขาไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชั่นทางการทหารเอาไว้ เพราะทหารประจำเมืองหลักนั้น จะมีเลเวลเท่ากับเลเวลของเจ้าเมืองเท่านั้น มันทำให้เซียวเฟิงที่มองว่าตนเองยังเลเวลน้อยมาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะไม่สนใจที่จะนำทรัพยากรจำนวนมากมาทุ่มเพื่อให้ได้มาซึ่งกองทหารเลเวลต่ำ ทว่าในเวลานี้ เขาใกล้จะเลเวล 50 เข้าไปทุกทีแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เมืองแห่งความโศกเศร้าจะมีทหารประจำการเสียที

“เท่าที่ฉันศึกษามา…เผ่าพันธุ์ของทหารประจำเมืองหลักจะอิงตามเขตแดนของเมืองนั้น ๆ หรือเปล่า?” หลิวเฉียงเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะกำลังลังเลนิดหน่อยขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าค่ายทหารนี้

ไม่แปลกหากเธอจะรู้สึกเช่นนั้น นั่นเพราะค่ายทหารของเมืองแห่งความโศกเศร้านี้มืดมาก เรียกได้ว่าเหมือนเป็นหุบเหวนรกเลยก็ว่าได้ สภาพของมันมีหน้าตาเหมือนหลุมศพคนตายเสียมากกว่าค่ายทหารเสียอีก มองจากนอกกำแพงเมืองก็ยังไม่สามารถลบความน่ากลัวนี้ได้ เธอไม่สามารถจินตนาการออกเลยว่า หากที่แห่งนี้สามารถสร้างทหารที่เป็นมนุษย์ขึ้นมาได้จริง ๆ แม้แต่ตัวทหารที่สร้างออกมาจากที่นี่ จะหวาดกลัวที่แห่งนี้ด้วยหรือเปล่า

“ใช่ ทหารประจำเมืองนั้นจะมีเผ่าพันธุ์เดียวกับเขตแดนที่เมืองหลักนั้น ๆ ตั้งอยู่”

เซียวเฟิงเองก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน ด้วยต้นกำเนิดของเมืองแห่งความโศกเศร้าแล้ว ทหารของเมืองนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นเผ่าอันเดดทั้งหมดเลย เฉกเช่นทหารยามของเมืองหลักเขตแดนมนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ และถ้าเป็นทหารยามของเมือกหลักเขตแดนออร์คก็จะเป็นเขตแดนออร์ค

“เมืองหลักของพวกเรามีทั้งวิหารแห่งแสง แล้วไหนจะยังมีความใกล้ชิดกับจักรวรรดิของมนุษย์อีก ขืนเราสร้างเผ่าพันธุ์แห่งความมืดมาเป็นทหาร มันจะไม่เป็นผลเสียเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยมองไปยังเซียวเฟิง น้ำเสียงของเธอไม่ได้หนักแน่นนักเพราะรู้ดีว่าสองกองกำลังขนาดใหญ่ที่สนับสนุนอิทธิพลของเซียวเฟิงภายในเกมนี้ก็คือ วิหารแห่งแสงและจักรวรรดิของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เธอเลยกังวลว่าหากเมืองแห่งความโศกเศร้าสร้างทัพแห่งความมืดขึ้นมาเป็นทหารประจำเมือง มันอาจจะกระทบกับชื่อเสียงของเซียวเฟิงก็ได้

“ทัพแห่งความมืดไม่เหมาะกับการนำมาใช้งานจริง ๆ นั่นแหละ แต่บางทีมันอาจจะสร้างเผ่าพันธุ์อื่นได้ ถ้ายังไงเธอลองหาทัพที่พอจะสร้างได้ก่อน เลือกเอาสักนิดหน่อยมาไว้ป้องกันเมือง ยังไงซะฉันก็ยังต้องเก็บเลเวลอีก 3 เลเวลถึงจะ 50 ไม่ต้องรีบร้อนมากก็ได้”

เซียวเฟิงลูบคางคิด ตัวเขาไม่ได้กังวลเรื่องชื่อเสียงของตนเองที่จะสั่นคลอนเพราะการสร้างทัพแห่งความมืดมาใช้งานนักหรอก เหตุผลหลักที่ทำให้เขากังวลน่ะ ก็เพราะสกิลบัฟและฟื้นฟูพลังชีวิตของเขานั้นไม่สามารถใช้ในทางที่ดีกับทัพแห่งความมืดได้ เผ่าพันธุ์พวกนี้อยู่ขั้วตรงข้ามกับเขา ไม่เว้นแม้แต่ทัพเหล่านี้จะเป็นทัพที่เขาสร้างมันขึ้นมาก็ตาม ผลกระทบที่ตามมามันยิ่งใหญ่เกินกว่าเซียวเฟิงจะแบกรับความเสี่ยงไว้ได้

“อืม เข้าใจแล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับหลังได้ยินเช่นนั้น ทว่าเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็พบว่าเซียวเฟิงเตรียมจะออกจากที่นี่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะกล่าวถามอย่างรวดเร็ว “นายจะไปไหนต่อ?”

“เช็กบิล” เซียวเฟิงไม่ได้หันกลับมามอง เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชานิดหน่อย และหลังจากที่มอบสิทธิ์ในการใช้ค่ายทหารให้หลิวเฉียงเหว่ยเรียบร้อยแล้ว เขาก็เตรียมจะออกจากที่นี่เลย

“ระวังตัวด้วยนะ…แล้วนายจะกลับมาเฉิงไห่เมื่อไหร่?” หลิวเฉียงเหว่ยพยักหน้าแล้วถามต่อ

“ตอนนี้ฉันอยู่ระหว่างทางกลับแล้ว น่าจะถึงพรุ่งนี้” เซียวเฟิงตอบกลับไปอีกครั้งหลังคำนวณเวลาเดินทางเสร็จ

“อื้อ”

หลังจากที่หลิวเฉียงเหว่ยรับทราบ เธอก็หันหน้าไปทางอื่นและไม่ได้ใส่ใจเซียวเฟิงเช่นเดียวกับที่เซียวเฟิงก็ไม่ได้หยุดเดินต่อ

การแบ่งเขตแดนของดินแดนแห่งพระเจ้านี้ บางส่วนก็ค้ลาย ๆ กับการแบ่งเขตแดนในอาณาจักรฮั่วเซย ฝั่งตะวันตกยังคงเป็นทิศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และประกอบด้วยพื้นที่ราบเต็มไปหมด สถานที่ที่เซียวเฟิงเทเลพอร์ตไปนั้นก็คือเมืองซีฉู ที่นี่เป็นเมืองหลักของระบบที่อยู่ใกล้กับที่ตั้งของกิลด์กางเขนเหล็กมากที่สุด

ใช่แล้ว เช็กบิลที่เซียวเฟิงพูดถึง ก็หมายถึง กิลด์กางเขนเหล็ก ที่เป็นยักษ์ใหญ่แห่งเขตฮัวเซียตะวันตกเนี่ยแหละ!

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ครั้งหนึ่งกิลด์นี้เคยโลภมากอยากได้เมืองแห่งความโศกเศร้า หรือโลภอยากได้หลิวเฉียงเหว่ย หรือจะเป็นการที่พวกเขาเคยฆ่าเซียวหลิงในโลกของเกมไป เพียงแค่หนึ่งในสามเหตุผลนี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้เซียวเฟิงร่างสัญญาแค้นขึ้นไว้ในอกตั้งแต่รู้เรื่อง!

ข้อมูลต่าง ๆ ของกิลด์กางเขนเหล็กถูกส่งเข้ามายังกล่องจดหมายของเซียวเฟิง เริ่มตั้งแต่ที่ตั้งแคมป์ที่อยู่บริเวณที่ราบขนาดใหญ่ด้านนอกเมืองซีฉู ซึ่งในตอนนี้ได้พัฒนาขนาดแคมป์จนเทียบเท่าเมืองหลักระดับ 3 ได้แล้ว แต่ยังไม่เป็นเมืองที่พร้อมสำหรับการค้า เป็นเพียงเมืองที่มีทรัพยากรเยอะเท่านั้น ตัวแคมป์หลักนี้ยังไม่เปิดให้บุคคลภายนอกกิลด์กางเขนเหล็กเข้า ดังนั้นแล้วมันจึงไม่มีจุดเทเลพอร์ตสาธารณะอยู่ภายในเมืองนี้

แต่เซียวเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ด้วยความเร็วของเสี่ยวเสวีย เขาสามารถเดินทางไปยังแคมป์ของกางเขนเหล็กได้ในเวลาอย่างมากก็สิบกว่านาทีเทานั้น

[ประกาศจากทั่วเมืองซีฉู : ชินห่าว! ฉันรู้นะว่าแกอยู่ในเมืองนี้! รีบ ๆ โผล่หัวออกมาซะ! กินข้าวกินปลาฝีมือแม่แกให้เรียบร้อย! แล้วก็ลูบพุงลูก ๆ กางเขนเหล็กของแกไว้ด้วย! ฉันคนนี้จะรอแกอยู่ที่ประตูทิศตะวันออกของเมืองซีฉู! ถ้าแกไม่มา แกมันก็แค่ไอ้ลูกหมา! – หานเฟิง]

ทันใดนั้นเอง เสียงประกาศเมืองก็ดังกังวาลไปทั่วในจังหวะที่เซียวเฟิงเพิ่งจะออกมาจากเมืองซีฉูพอดี เขาตั้งใจจะมุ่งหน้าตรงไปยังแคมป์ของกางเขนเหล็กโดยตรง แต่ด้วยประกาศนั้น มันก็ทำให้เซียวเฟิงต้องชะงักความคิดไปชั่วขณะ

ฮีลเลอร์หนุ่มคิดทบทวนเรื่องนี้ก่อนจะเปิดรายชื่อเพื่อนแล้วหาชื่อของหานเฟิงและกดโทรอย่างไม่ลังเล

“โอ้ พระเจ้า! พี่ใหญ่! พี่กลับมาแล้ว! อ๊ะ ๆๆ เรื่องทั้งหมดมันเป็นการเข้าใจผิดนะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เซียวหลิงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง ๆ !”

ทันทีที่หานเฟิงรู้ว่าเซียวเฟิงโทรมา เขาก็รีบรับและตอบกลับด้วยเสียงกระวนกระวายทันที แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสั่นเครือขนาดไหน แต่นักธนูหนุ่มก็จำเป็นต้องพูดออกไป เพราะไม่งั้นแล้วละก็ หากปล่อยให้ความเข้าใจผิดนี้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ปัญหาของเขามันได้กลายเป็นเรื่องบานปลายแน่

“ฉันไม่สนข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ใครก็ตามที่ทำให้เซียวหลิงได้รับบาดเจ็บในโลกของเกม ฉันจะชำระแค้นให้หมดทุกคนเลย ไม่สนด้วยว่ามันจะเป็นใครยิ่งใหญ่ขนาดไหน”

น้ำเสียงของเซียวเฟิงยังคงซึ่งความเยือกเย็น แล้วยิ่งบางประโยคในคำพูดนั้นมันก็ทำเอาหานเฟิงถึงกับช็อกแข็งไปทั้งตัวเลยด้วย

“ตอนนี้นายอยู่ที่ประตูทิศตะวันออกของเมืองซีฉูหรือเปล่า?” ขณะที่ถามออกไปเช่นนั้น เซียวเฟิงก็เหลือบมองทุกคนที่อยู่ที่ประตูทิศตะวันออกของเมืองไปด้วยผ่านการที่เสี่ยวเสวียทะยานผ่านน่านฟ้าเมืองนั้นไป แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับมีเพียงกลุ่มผู้เล่นของกางเขนเหล็กที่กำลังเข้าใกล้ประตูเมืองฟากนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่นะ ฉันไม่ได้อยู่ในเมืองซีฉูเลยด้วยซ้ำ พี่อยู่ที่นั่นเหรอ?” หานเฟิงชะงัก เขาประหลาดใจว่าทำไมเซียวเฟิงถึงถามเช่นนั้น ก่อนจะครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรตนหรือเปล่า

“…”

คำตอบนั้นทำเอาเซียวเฟิงเงียบไปพักใหญ่ เขานึกถึงสิ่งที่ประกาศเมืองบ่งบอกเมื่อครู่ ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่หานเฟิงถูกจัดว่าเป็นตัวเกรียนในอันดับคนดัง ทันใดนั้นเซียวเฟิงก็ล้มเลิกความคิดที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายต่อทันใด

“เดี๋ยวนะ! นายท่านกำลังจะไปจัดการพวกกางเขนเหล็กเหรอ? นายท่าน…พาฉันไปด้วยนะ!” หานเฟิงเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเซียวเฟิงต้องการอะไร เขารีบตะโกนบอก

ทว่าเซียวเฟิงไม่ได้สนใจคนคนนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะงั้นเขาจึงตัดสายไปแล้วมุ่งหน้าทำตามแผนเดิม