บทที่ 525 กลายเป็นมิจฉาชีพ
บทที่ 525 กลายเป็นมิจฉาชีพ
“ถ้าคุณยังไม่หยุดพูดฉันจะไปเรียกรปภ. มานะคะ! คนหลอกลวงแบบคุณรู้จักหยุดบ้างจะได้ไหม? คุณอยากจะหลอกเอาเงินผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายหรือไง?!”
พยาบาลสาวกล่าวขณะที่ขมวดคิ้วแน่น
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงฉุนเฉียวนัก
เขากลายเป็นมิจฉาชีพไปเสียแล้ว
เสียงโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ในตึกผู้ป่วยเข้ามา
ตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
แพทย์หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา
“คุณกำลังทำอะไรคะ? คุณพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
เธอได้ยินเสียงดังลั่นของพยาบาลและกล่าวอย่างเยือกเย็น
“คุณหมอเจียง ฉัน…ฉัน…ผู้ชายคนนี้หลอกลวงค่ะ! เขาบอกว่าเขารักษามะเร็งได้”
พยาบาลสาวอึกอักเล็กน้อยในตอนแรก แต่ก็รีบอธิบายและชี้ไปยังผู้ชายข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว
คำพูดเหล่านี้พลันทำให้คุณหมอเจียงขมวดคิ้ว
มิจฉาชีพแบบนี้มีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป หากไม่จับตาดูให้ดีพวกเขาจะหลอกผู้ป่วยรวมถึงสมาชิกในครอบครัวว่ามีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพกว่า และสามารถใช้วิธีการมหัศจรรย์นี้รักษามะเร็งระยะสุดท้ายได้
ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะชิงหนีไปพร้อมกับเงินเหล่านั้น
“คุณรักษาได้เหรอคะ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของเธอก็หรี่ลงเล็กน้อย ขณะที่หันไปมองชายตรงหน้าด้วยความไม่ไว้ใจ
“ไม่มีปัญหา ผมทำได้”
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นแม้แต่น้อยและกล่าวอย่างเฉยชา
“หึ! ฉันบอกเลยว่ามิจฉาชีพยังไงก็เป็นมิจฉาชีพ!”
พยาบาลสาวกล่าวอย่างมีชัยชนะ
เมื่อคุณหมอเจียงได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็เข้าใจถึงสถานการณ์ทันที เธอพยักหน้าและเตรียมไล่อีกฝ่ายออกไปในทันใด
แต่ในตอนนั้นเอง หญิงชราผู้ร้องไห้อยู่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะได้ยินความหวังสุดท้าย
“พ่อหนุ่ม ถ้าเธอรักษาได้ก็รีบเข้าเถอะ อย่าไปฟังหมอพวกนี้เลย ถ้ารักษาลูกสาวฉันได้ฉันก็ยอมให้ทุกอย่าง!”
หญิงชราเริ่มขอร้อง
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ปมที่คิ้วของหมอสาวคลายลงแม้แต่น้อย
บางครั้งคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รับมือง่ายนัก อย่างไรแล้วเมื่อผู้หมดหนทางได้เห็นความหวัง พวกเขาก็ยินดีที่จะเชื่อทุกสิ่ง
ตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนผู้ดูทรุดโทรมก็เดินเข้ามา
“คุณหมอเจียง มีอะไรเหรอ?”
เขามองดูภาพในห้องพักด้วยความงุนงงเล็กน้อย
“มิจฉาชีพค่ะ! เขาทำมาเป็นพูดว่ารักษามะเร็งได้”
คุณหมอเจียงทำหน้าบึ้งและเตรียมตัวโทรเรียกตำรวจ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาได้แต่พึ่งพาการทำงานของตำรวจเท่านั้น
ชายวัยกลางคนคนนั้นไม่สนใจว่าเขาจะเป็นมิจฉาชีพหรือไม่แม้แต่น้อย
“คุณรักษาภรรยาของผมได้จริง ๆ เหรอ?”
เขาเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายตัวสั่นเทิ้ม
“ได้สิ!”
อวี้ฮ่าวหรานตอบสั้น ๆ ได้ใจความ เขาไม่อยากพูดอะไรเยอะอีก
“ฉันขอเตือนนะคะคุณจาง ผู้ชายคนนี้เป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน อย่าหลงเชื่อเขาค่ะ!”
เมื่อคุณหมอเจียงเห็นดังนั้นก็อดปวดหัวไม่ได้ มิจฉาชีพเช่นนี้มักจะฉวยโอกาสจากความประมาทของครอบครัวผู้ป่วย
แน่นอนว่าดวงตาของชายวัยกลางคนนามว่าคุณจางมีประกายความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
“ผมชื่อจางต้าหยง ถ้าคุณรักษาภรรยาของผมได้ผมยอมให้ทุกอย่างเลย! อะไรก็ได้ตามใจคุณเลย!”
ณ จุดนี้ แม้แต่ความหวังที่ผิดก็ยังเป็นความหวัง
จินเสี่ยวผู้นอนอยู่บนเตียงอดเป็นกังวลไม่ได้เมื่อเห็นดังนั้น
“ต้าหยง คุณ…อย่าทำแบบนี้เลย มันเป็นเรื่องหลอกลวง…”
เธอรู้ดีว่าอาการป่วยของตัวเองนั้นไม่อาจรักษาได้
สวี่รุ่ยกับคุณครูหวังต่างก็กระอักกระอ่วน ทั้งสองไม่คาดคิดว่าสิ่งต่าง ๆ จะกลับกลายเป็นแบบนี้
อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ เขารู้ดีถึงความรู้สึกในใจของชายตรงหน้า
“ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ให้ทุกคนออกไปก่อนเถอะ”
การจะใช้พลังจิตวิญญาณกับร่างกายของมนุษย์ทั่วไปได้นั้น จำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ
ตอนนี้จางต้าหยงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายคนนี้
“ทุกคน ออกไปก่อนครับ คุณหมอเจียงกับคุณด้วย…”
ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เขาก็เชิญทุกคนออกไปจากห้องพักอย่างรวดเร็ว
ด้านนอก หมอเจียงยังคงโกรธอยู่
“เขาเป็นใครกัน? ไม่เชื่อโรงพยาบาลดี ๆ แต่ไปเชื่อมิจฉาชีพแบบนั้นเนี่ยนะ!”
เธอรำคาญใจเป็นอย่างมาก
ส่วนคุณครูหวังที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เป็นกังวลอย่างหนัก เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำเช่นนั้น
“สวี่รุ่ย คุณสนิทกับเขามากกว่าฉันนี่ มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
สวี่รุ่ยเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เหตุผลที่มันถูกเรียกว่ามะเร็งระยะสุดท้ายก็เพราะว่ามันไม่อาจรักษาได้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้เธอสับสนไม่น้อย
“ยังไงก็เถอะ เขาไม่น่าจะทำเพื่อหลอกเอาเงินนะ”
เธอมั่นใจเรื่องนี้มาก
แต่ตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนอายุราว 40 ปีพลันเดินเข้ามาพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง เมื่อเหตุสถานการณ์ที่ประตูห้องพัก เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“เสี่ยวเจียง ทำไม่ถึงออกมาอยู่ข้างนอกล่ะ?”
“รองผู้อำนวยการหลี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”
เมื่อคุณหมอเจียงได้ยินดังนั้นก็หันไปมองด้วยความสงสัย
“ผมแค่แวะมาดูน่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
รองผู้อำนวยการหลี่กล่าวอย่างสบาย ๆ
คุณหมอเจียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เขาฟังทันที
“นั่นมันช่าง…”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยเหรอ? หน้าด้านจริง ๆ! ฮึ่ม! รออะไรอยู่ล่ะ? โทรเรียกตำรวจเร็ว!”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลี่ก็สบถอย่างโกรธเกรี้ยว
หมอคนหนึ่งข้างหลังเขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาตำรวจ
เมื่อเห็นว่าพ่อของตัวเองถูกก่นด่า ถวนถวนก็อดสวนกลับไปไม่ได้
“คุณพ่อเป็นคนใจดีช่วยเหลือคนอื่น พวกคุณนั่นแหละโกหก!”
“อะแฮ่ม! เด็กคนนี้ไม่รู้สาจริง ๆ”
เมื่อเห็นดังนั้น คุณหมอเจียงก็รีบดึงถวนถวนกลับมาทันที
แต่รองผู้อำนวยการหลี่ก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“หมอจะบอกให้นะ พ่อของเธอโกหก! ช่วยเหลือคนเหรอ? เขาช่วยคนยังไงล่ะ? ฮึ่ม!”
สวี่รุ่ยรีบกอดถวนถวนไว้แน่นทันที
ในขณะเดียวกันเธอก็หันไปทำหน้าบึ้งใส่อีกฝ่าย เธอไม่คิดว่ารองผู้อำนวจการโรงพยาบาลจะพูดกับเด็กตัวน้อยเช่นนี้
ตาของถวนถวนเริ่มแดงขึ้นหลังจากที่ถูกดุ
“คุณพ่อของหนูไม่ได้โกหก… ฮือออ”
รองผู้อำนวยการหลี่อดหัวเราะเยาะไม่ได้ “ฮะฮะ พ่อของเธอโกหก! เดี๋ยวตำรวจก็มาจับเขาแล้ว!”
หลังจากนั้นเขาก็หันไปเห็นว่าประตูห้องพักถูกปิดและล็อคอย่างหนาแน่น
เข้าไปไม่ได้เลย…!
“ไอ้ผู้ชายคนนี้! ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน โทรหาตำรวจหรือยัง?”
รองผู้อำนวยการหลี่ขมวดคิ้วแน่น
“ผมรายงานไปแล้วครับ พวกเขาบอกว่าจะมาถึงในไม่ช้า”
ในขณะเดียวกัน ภายในห้องผู้ป่วยนั้นเงียบอย่างถึงที่สุด อวี้ฮ่าวหรานวางมือลงบนแขนของอีกฝ่ายและปล่อยพลังจิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเธอทันที
“ฉัน… ฉันหายได้จริง ๆ เหรอ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดที่ออกมาจากร่างกายของเขา จินเสี่ยวก็อดรู้สึกมีความหวังไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงครับ”
อวี้ฮ่าวหรานปลอบเธออย่างใจเย็น
ถัดไปจากเขา จางต้าหยงมองดูอยู่ด้วยความเป็นกังวลและไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ในไม่ช้าพลังจิตวิญญาณก็เข้าไปในร่างกายของเธอและเริ่มกำจัดเซลล์มะเร็งออกไป
“มัน… เจ็บ…”
หน้าผากของจินเสี่ยวเปียกเหงื่อเล็กน้อย ขณะที่เธอรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างกายอย่างไม่มีสาเหตุ
“ไม่เป็นไร ใกล้เสร็จแล้วล่ะ”
พลังจิตวิญญาณที่โจมตีอย่างต่อเนื่องสังหารเซลล์มะเร็งได้อย่างง่ายดาย
แต่อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกได้ในไม่ช้าว่าร่างกายของอีกฝ่ายไม่แข็งแรงนัก และมีเซลล์มะเร็งมากเกินไป
ต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า!