ตอนที่ 1804 เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของอวิ๋นลั่วเฟิง (1)
“เรื่องนี้…” ฉีซูลังเล “การผลิตน้ำยาสมุนไพรพลังฌานค่อนข้างท้าทายดังนั้นขอให้ท่านให้เวลาข้าน้อยตัดสินใจก่อนได้หรือไม่ขอรับ” เขาไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้และจำเป็นต้องไปปรึกษากับอวิ๋นลั่วเฟิงก่อน ดังนั้นฉีซูจึงไม่ได้ตอบรับคำขอทันที
“ได้อยู่แล้ว ข้าจะอยู่ที่นครเฟิงหลิงอีกสองสามวัน ถ้าท่านตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็ส่งคนมาบอกข้าก็แล้วกัน” พี่รองฉียิ้มและเหลือบมองฉีมั่ว “แน่นอนว่า ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าช่วย ข้าก็ยินดีช่วยเป็นอย่างยิ่ง”
“ท่านไม่จำเป็นต้องลำบากหรอกขอรับ ข้าน้อยจะจัดการเรื่องภายในครอบครัวเอง ข้าน้อยไม่ขอรบกวนนายท่านรองฉีหรอกขอรับ”
“ก็ได้ ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น” นายท่านรองฉีพยักหน้าแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้วกัน ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า” หลังจากพูดจบนายท่านรองฉีก็หันหลังจากไปและยอดฝีมือสองสามคนก็ติดตามเข้าออกไปพร้อมกัน
ตอนที่นายท่านรองฉีเหลือบมองฉีมั่วก่อนหน้านี้ ฉีมั่วก็รู้สึกหายใจลำบากและพึ่งได้ผ่อนคลายหลังจากที่คุณชายรองฉีกลับไปแล้ว
“ฉีซู ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะยอมมอบตำรับน้ำยาสมุนไพรมาดีๆ หรือไม่ อย่าลืมว่าอาจารย์เจ้า อวิ๋นเยว่ชิง เป็นกาฝากอยู่ในตระกูลพวกเราเป็นสิบปีและท่านพ่อก็ไม่เก็บเงินจากนางสักแดงเดียว! คิดซะว่าข้ารับเอาตำรับน้ำยานี้มาเป็นค่าใช้จ่ายก็แล้วกัน”
เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่เขาตั้งใจจะพูดก่อนหน้านี้ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาทันที
ฉีซูหัวเราะด้วยความโกรธ “ฉีมั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อสิบปีก่อนตระกูลฉีเป็นอย่างไร อาจารย์ของข้าไม่ได้ให้เงินตระกูลฉีสักแดงเดียวแต่แนวเทือกเขาสองสามลูกที่ตระกูลฉีเป็นเจ้าของนางก็เป็นคนไปพิชิตมา ท่านพ่อผ่านด่านมาถึงขั้นปัจจุบันได้ก็เพราะมีนางช่วย เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือว่านางเป็นกาฝากเกาะตระกูลฉีมาเป็นสิบปี”
พูดจบดวงตาของฉีซูก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล ฝูงชนโดยรอบก็ขุ่นเคืองกับข้ออ้างหน้าไม่อายของฉีมั่ว
“สรุปก็คือ ตระกูลฉีหน้าไม่อายนี่เอง อาศัยอาจารย์ของคนอื่นเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จแต่กล้าพูดว่าอาจารย์ของพวกเขาเป็นกาฝากเกาะตระกูลตัวเอง”
“ถ้าข้าเป็นอาจารย์ของนายน้อยตระกูลฉี ข้าไม่มีทางช่วยตระกูลฉีที่มีหัวใจของหมาป่าและมีปอดของสุนัข[1]หรอก”
“เหอะ เรื่องนี้จะโทษอาจารย์ของเขาก็ไม่ถูกหรอก ข้าได้ยินมาว่าตอนที่อาจารย์ของเขายังอยู่ ตระกูลฉีสร้างภาพบิดาและบุตรที่มีจิตใจเมตตาทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ฉีมั่วเองก็เอาใจใส่ฉีซูในทุกเรื่อง ไม่คิดเลยว่าแค่อาจารย์ของคุณชายรองตระกูลฉีหายตัวไปสามปี พวกเขาก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้ว”
อาณาจักรหลิวเฟิงมีพื้นที่กว้างใหญ่แต่ทุกคนก็รู้เรื่องอื้อฉาวของตระกูลฉีและขณะเดียวกันก็เหยียดหยามพวกเขา เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดออกมา จนกระทั่งนายท่านรองฉีเริ่มเปิดประเด็นเป็นคนแรกทำให้พวกเขากล้าที่จะแสดงความคิดภายในใจออกมา
ใบหน้าของฉีมั่วเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นแดง จากแดงเป็นขาวราวกับถูกสีต่างๆ ทาบนใบหน้า
เขาจ้องหน้าฉีซูอย่างดุร้าย “ฉีซู เจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปพาท่านพ่อมาหาเจ้า เจ้ากล้าเก็บตำรับน้ำยาสมุนไพรโดยไม่ให้แม้ว่าท่านพ่อจะขอหรือไม่เล่า ถ้าเจ้าไม่ยอมยกตำรับยาให้เขา เจ้าก็จะกลายเป็นคนอกตัญญู!”
“ข้าโดนไล่ออกจากตระกูลฉีแล้ว” คำพูดของเขาหมายถึงว่าในเมื่อเขาโดนไล่ออกมาจากตระกูลฉี พวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอีกต่อไป
ฉีมั่วส่งเสียงขึ้นจมูกและเดินนำผู้ติดตามของตระกูลฉีออกไปนอกโถงโอสถ
ถึงอย่างไร ไม่ช้าก็เร็วตำรับน้ำยาสมุนไพรพลังฌานนี้ก็กลายเป็นตระกูลฉีอยู่ดี แล้วตระกูลก็จะมอบมันให้เขาอีกที ดังนั้นเขาก็อดทนรอได้ เมื่อฉีซูไม่มีตระกูลฉีหนุนหลัง ฉีซูก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!
“ท่านพี่เจ้าคะ…” หลังจากที่ฉีหลิงเห็นฉีมั่วจากไปแล้ว นางก็เดินออกมาจากด้านหลังลุงจ้าวแล้วเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของฉีซูด้วยท่าทางวิตกกังวล
ฉีซูคุกเข่าลงแล้วลูบศีรษะของฉีหลิง “เสี่ยวหลิง ทุกอย่างจบแล้ว พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าแน่”
“อื้อ เสี่ยวหลิงเชื่อในตัวท่านพี่…” รอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉีหลิง
บนโลกใบนี้ นอกจากท่านป้าอวิ๋น นางก็เชื่อพี่ชายของนางมากที่สุด
[1] สำนวนจีน หมายถึง คนที่จิตใจโหดร้าย ชั่วช้า ไร้ศีลธรรม
…………………………
ตอนที่ 1805 เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของอวิ๋นลั่วเฟิง (2)
แต่ว่าตอนนี้ก็มีอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยอีกคน…
ฉีหลิงตัวน้อยไม่มีทางลืมว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นคนให้น้ำยาสมุนไพรพลังฌานกับพี่ชายของนางและช่วยเหลือพวกนางเอาไว้ เมื่อเร็วๆ นี้หัวใจดวงน้อยๆ ของนางรับหญิงสาวคนนี้มาเป็นหนึ่งในคนสนิทแล้ว …
ตอนนี้อวิ๋นลั่วเฟิงก็กำลังนั่งถือหนังสืออยู่ในศาลาภายในสวน นางเอนหลังพิงเสาอย่างเกียจคร้านโดยมีแสงอาทิตย์สาดส่องกระทบใบหน้าจนเกิดเป็นภาพที่งดงามจับตาและน่าหลงใหล
ซืออวี่กำลังยืนรอฉีซูอยู่ไม่ไกลและเหลือบมองอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นพักๆ
ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันชี้ชะตาว่าฉีหลิงจะถูกขายออกไปหรือไม่ แต่ว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงทำตัวไร้ความกังวลขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยก็เป็นคนช่วยชีวิตนางไว้ นางสมควรจะเป็นห่วงพวกเขาไม่ใช่หรือ
อย่างที่คิด นางเป็นคนที่ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับตัวเองก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!
ซืออวี่กัดปากแน่น นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดนายน้อยถึงยอมให้คนไร้ค่าอย่างสตรีผู้นี้อยู่ที่นี่
ขณะที่ซืออวี่กำลังก่นด่าอวิ๋นลั่วเฟิงภายในใจ นางก็เห็นร่างที่คุ้นตาสองร่างที่ทำให้นางตื่นเต้นดีใจ
“นายน้อย คุณหนู พวกท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“พี่หญิงอวิ๋น” ฉีหลิงที่สังเกตเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงที่กำลังอ่านคัมภีร์อยู่ก็เผยสีหน้าสดใส นางยกขาสั้นๆ ของนางแล้ววิ่งเข้าไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยพละกำลังทั้งหมดย่างมีชีวิตชีวา
นางวิ่งตรงไปข้างหน้าราวกับว่าไม่เห็นซืออวี่แม้แต่นิดเดียว สีหน้าของซืออวี่แข็งค้างขณะที่พยายามระงับความโกรธ
ทั้งนายน้อยและคุณหนูก็เหมือนกัน นางไม่รู้จริงๆ ว่าคนนอกผู้นี้มีเสน่ห์อะไรมาดึงดูดทั้งคู่ ที่สำคัญ…คุณหนูที่เคยชอบมาเล่นกับนาง ตอนนี้ก็มุ่งความสนใจไปที่สตรีผู้นี้คนเดียวตั้งแต่ที่นางปรากฏขึ้นมา
“พี่หญิงอวิ๋น ข้าไม่ถูกตระกูลฉีขายออกไปแล้วเจ้าค่ะ!” รอยยิ้มสว่างสดใสที่ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กและบอบบางของฉีหลิง
อวิ๋นลั่วเฟิงค่อยๆ วางคัมภีร์ลงและมองฉีหลิงที่กำลังหัวเราะอย่างร่าเริง รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าทรงเสน่ห์
อวิ๋นลั่วเฟิงยกมือขึ้นแล้วลูบศีรษะฉีหลิงเบาๆ ขณะที่ดวงตาสีดำสนิทของนางเป็นประกายสุกสว่าง
“อย่างนั้นหรือ…ข้ายินดีกับเจ้าทั้งคู่ด้วย” ฉีหลิงที่ตอนแรกตั้งใจจะพูดว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือของอวิ๋นลั่วเฟิงก็กลืนคำพูดลงไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าซืออวี่อยู่ที่นี่
ถึงแม้ว่าซืออวี่จะเป็นคนของท่านป้าอวิ๋นแต่พี่หญิงอวิ๋นก็บอกไว้แล้วนอกจากตัวพวกเขาทั้งสองคนก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้นรวมถึงผู้ติดตามของพี่ชายนางด้วย!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉีหลิงก็ทำหน้ามุ่ย “พี่หญิงอวิ๋น ท่านจะอยู่ที่ตระกูลฉีตลอดไปเลยหรือไม่เจ้าคะ”
ในเมื่อปัญหาเรื่องของนางถูกแก้แล้วไม่แน่…พี่หญิงอวิ๋นก็อาจจะจากไปก็ได้
มือของอวิ๋นลั่วเฟิงที่วางอยู่บนศีรษะของฉีหลิงก็ชะงักไป ก่อนนางจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “หลังจากที่ข้าหาคนที่ต้องการพบแล้ว ข้าก็จะไป”
“อ้อ…” ฉีหลิงก้มหน้าอย่างผิดหวัง ถึงแม้ว่านางจะไม่อยากให้พี่หญิงอวิ๋นจากตระกูลฉีไปแต่นางก็ยังอยากให้อวิ๋นลั่วเฟิงได้พบกับคนที่นางรักให้เร็วที่สุด
ฉีซูมองเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ในศาลาเงียบๆ ก่อนจะหันไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง ความอ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
หลายปีมานี้ นอกจากตัวเขาและอาจารย์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเสี่ยวหลิงพึ่งพาใครแบบนี้ แม้แต่กับมารดา นางก็ไม่เคยแสดงออกแบบนี้
“ซืออวี่ ตอนนี้เจ้าออกไปก่อน” เมื่อฉีซูนึกถึงข้อเสนอของพี่รองฉี เขาขมวดคิ้วแล้วเหลือบมองซืออวี่ขณะที่พูดขึ้นอย่างเฉยชา
ซืออวี่ตัวแข็งโดยที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง นางกัดริมฝีปากแล้วก้มหน้าอย่างเสียใจ “เจ้าค่ะ นายน้อย”