เมื่อครู่ก่อนเสี่ยวเฉียงเดินออกมาได้ส่งสายตาไปบอกเสี่ยวเชี่ยนว่าให้จัดการไปตามสมควร เขาจะไม่มีทางเข้าข้างลูกน้องตัวเองเด็ดขาด
เพื่อตอบแทนความไว้ใจของเขา เสี่ยวเชี่ยนวางมาดนิ่งตลอด ช่วงเช้าตอนร่วมถกปัญหากับทีมเสี่ยวเชี่ยนก็ให้ความร่วมมือตลอด ไม่ได้ทำตัวเกินหน้าเกินตา เมื่อเจอกับคำถามของอาเพียวที่ยิงมาที่เธอบ้าง เธอก็แสดงความคิดเห็นของตัวเอง
แค่ตอนช่วงเช้า สองในสี่ของทีมก็ยอมสยบให้กับความสามารถของเสี่ยวเชี่ยนแล้ว อีกคนหนึ่งยังวางตัวเป็นกลาง ส่วนอาเพียวยังคงมีท่าทีไม่พอใจเสี่ยวเชี่ยนเหมือนเดิม
แต่ในเมื่อเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ทำตัวหาเรื่องอะไร เขาก็ไม่จ้องจับผิด ก็เหมือนกับที่อวี๋หมิงหลางพูดไว้ อาเพียวไม่ได้ไม่พอใจในตัวเสี่ยวเชี่ยน แค่ไม่พอใจที่ให้คนนอกเข้ามาร่วมทีมของเขา
เนื่องจากต้องวุ่นกับการดูประวัติของผู้ต้องหาคนนี้ คนอื่นๆในทีมจึงไม่มีใครไปโรงอาหาร กำลังเตรียมจะส่งคนไปเอาข้าวมา ยังไม่ทันจะได้ส่งใครไปก็มีทหารมาเคาะประตูส่งข้าวให้พวกเขา
“พอมีคนเพิ่มเข้ามาก็ไม่เหมือนเดิม ฉันทำงานที่นี่มาตั้งนานนี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้รับเกียรติแบบนี้” อาเพียวพูดขึ้น
ดูก็รู้ว่าหัวหน้าใหญ่เป็นคนให้เอามาส่ง
เสี่ยวเชี่ยนกำลังแจกข้าวให้ทุกคน พอได้ยินอาเพียวพูดแบบนั้นก็ชักมือที่กำลังจะยื่นข้าวให้อาเพียวกลับ จากนั้นก็เปิดกล่องข้าวของอาเพียวแล้วถุยน้ำลายลงบนนั้นด้วยท่าทางที่งามสง่า
ทุกคนเบิกตาโพลงตกใจสุดขีด
“เก่งนักก็อย่ากินอาหารสิทธิพิเศษแบบนี้!”
ท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนดูผู้ดีมาก ถ้าทุกคนไม่ได้เห็นกับตาก็ยากจะเชื่อว่าจะมีคนถุยน้ำลายด้วยท่าทางแบบนั้น เธอถุยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ดูป่าเถื่อนหรือหยาบคายใดๆ
อาเพียวเองก็อึ้ง
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไปสักพัก จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะลั่น
สองคนที่นิสัยร่าเริงซึ่งก็คือคนที่ยอมรับเสี่ยวเชี่ยนก่อน หัวเราะอย่างสนุกสนาน ส่วนคนที่วางตัวเป็นกลางหัวเราะเล็กน้อย
“คุณ คุณ คุณมันไร้มารยาท!” อาเพียวชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยน เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี
“คุณ คุณ คุณมันขี้อิจฉา!” เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่ยอม พูดเลียนแบบน้ำเสียงของอาเพียว
คนอย่างอาเพียวถ้าจับไปไว้สมัยก่อน นิสัยแบบนี้มันพวกบัณฑิตที่ความคิดล้าหลังจิตใจคับแคบชัดๆ
หนึ่งในคนที่หัวเราะเสียงดังรีบหยิบข้าวอีกกล่องที่เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ได้แตะเอามาวางไว้หน้าอาเพียว
“ลูกพี่ งานพวกเรามันหนัก อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาทำให้งานช้าลงเลยนะ”
ด้วยความโมโหอาเพียวจึงเบือนหน้าหนี “ฉันจะไปห้องน้ำ!”
“ไปหาอะไรกินในห้องน้ำแล้วค่อยกลับมาเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนแกล้งแซว
อาเพียวโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยน สองคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้นมาอีกรอบ
โอ๊ย ดูหัวหน้าปะทะฝีปากกับหมอเฉินมันช่างบันเทิงอะไรขนาดนี้
“สีหน้าของคุณบอกฉันว่า เวลานี้อะดรีนาลีนของคุณพุ่งสูงปรี๊ด ยังหนุ่มยังแน่น อารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้ไม่กลัวเส้นเลือดในสมองแตกเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนประเภทที่ว่าอีกฝ่ายโกรธเธอไม่โกรธ ทำอาเพียวโมโหแบบไม่ไหวแล้ว แต่เธอกลับยังมีท่าทางใจเย็นวางมาดงามสง่าเหมือนเดิม
อาเพียวออกไปพร้อมปิดประตูเสียงดัง สองคนที่หัวเราะเสียงดังรีบพูดกับเสี่ยวเชี่ยน
“หมอเฉิน ลูกพี่ของพวกเราไม่ใช่คนเลว นิสัยเขาก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ใช่ๆ ปากไม่ดี ตอนอยู่หน่วยเก่าก็พูดจาล่วงเกินคนไปไม่น้อย กว่าจะได้ย้ายมาหน่วยเสินเจี้ยนแทบขาดใจ เขาเองก็ลำบาก ถ้าเขาพูดจาไม่ดีไปบ้างก็อย่าถือสาเลยนะครับ”
“ฉันหน้าเหมือนคนชอบเอาความแค้นส่วนตัวมาลงกับงานเหรอ หรือรักษาการหัวหน้าใหญ่ของพวกคุณเหมือนคนไม่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว?”
เสี่ยวเชี่ยนพูดติดตลก เธอพูดตรง สองคนนั้นก็ตอบตรง
“พวกเรากลัวว่าคุณจะไปเป่าหูหัวหน้าใหญ่ นิสัยอย่างลูกพี่ผมไปที่ไหนก็ไม่ค่อยมีใครอยากคบหาด้วย แต่ผมเห็นหมอเฉินเป็นคนใจกว้าง ไม่เหมือนคนที่ชอบทำเรื่องแบบนั้น”
“ใช่ครับ!”
ทั้งสองคนรับส่งกันเป็นอย่างดี เสี่ยวเชี่ยนแค่ยิ้มๆไม่พูดอะไร
สองคนนี้ทำเหมือนพูดล้อเล่นกับเธอ แต่จริงๆแล้วก็เป็นห่วงอาเพียวคนนิสัยแย่ วิธีของพวกเขาสุภาพอ่อนโยนแต่จุดประสงค์ชัดเจน
ดูจากช่วงเช้าที่ทำงานร่วมกันเสี่ยวเชี่ยนเองก็มองออก ถึงอาเพียวจะเป็นคนจิตใจคับแคบ แต่ก็มีความสามารถ ก็แค่เรียนอยู่ในโรงเรียนทหารนานไปหน่อยจนถึงปริญญาเอก สมองก็เลยไม่ค่อยได้สัมผัสกับโลกภายนอก ไม่มีศิลปะในการพูด พูดจาตรงเกินไป
คนทั่วไปถ้ารู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นภรรยาของอวี๋หมิงหลาง ต่อให้ไม่พอใจก็จะไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้
อาเพียวเป็นคนอย่างที่เขาว่ากันว่าเก่งแต่ซื่อบื้อ
เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้รังเกียจคนแบบนี้ คนที่เป็นนักวิชาการก็ควรมีนิสัยแบบนี้อยู่บ้าง อวี๋หมิงหลางได้เขามาเป็นลูกน้องก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
ถ้าคนทำงานที่ใช้วิชาชีพเฉพาะทางแบบนี้ไม่ตั้งใจทำงาน วันๆเอาแต่ยุ่งเรื่องคนอื่น คิดแต่ประจบเจ้านาย นินทาคนอื่นไปทั่ว แบบนั้นสิน่าปวดหัว
“คุณทำแบบนี้ไม่กลัวอีกหน่อยหัวหน้าของพวกเราจะหาเรื่องคุณจนทำงานได้ช้าลงเหรอ?” คนที่วางตัวเป็นกลางมาตลอดพูดขึ้น
การมาของเสี่ยวเชี่ยน เขาไม่ได้ยินดี แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ ทำตัวเป็นคนนอกที่มองเสี่ยวเชี่ยนอยู่ห่างๆ
เสี่ยวเชี่ยนหันมองเขา เธอจำได้ว่าคนนี้มีฉายาว่าหมอตี๋ น่าจะเป็นคนที่เก่งรองลงมาจากอาเพียว เขาพูดไม่เยอะแต่เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงความสำคัญของเขาในทีม บางครั้งเวลาที่อาเพียวเสนอความคิดอะไรก็จะรอความเห็นของเขาก่อน รู้สึกได้ว่าคนๆนี้สิถึงจะเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงของทีม
“ไม่หรอกค่ะ นิสัยของอาเพียวจัดอยู่ในคนที่มีบุคลิกแบบที่หก นักตั้งคำถาม ในโลกของเขาจะมีจุดเด่นตรงที่ชอบคิดในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน การที่เขาตั้งแง่กับผู้ช่วยที่ถูกส่งมาจากภายนอกอย่างฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก หากฉันแสดงความสามารถให้เขายอมรับได้ เขาก็จะค่อยๆเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฉันไปเอง ขอแค่ฉันแสดงความเก่งออกมา เขาก็จะยอมรับในตัวฉันค่ะ”
ต่อไปก็จะยอมเชื่อฟังเธอเพราะรู้สึกผิดในใจ ฮ่าๆๆ
คำพูดนี้ของเสี่ยวเชี่ยนทำให้สามคนที่เหลือในห้องนั้นพากันหยุดสีหน้าร่าเริง ไม่มีใครคาดคิดว่าหมอเฉินจะวิเคราะห์นิสัยของอาเพียวออกมาได้อย่างแม่นยำ
“แค่ร่วมงานกันเมื่อช่วงเช้าก็วิเคราะห์นิสัยของอาเพียวได้เลยเหรอ?” หมอตี๋ถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสนใจ
“แค่ช่วงเช้าก็มองออกหลายเรื่องค่ะ ฉันเห็นความจริงจังในหน้าที่การงานของคนๆนี้จากการที่เขาทำงานอย่างรอบคอบ ถึงความคิดของเขาจะค่อนข้างหัวโบราณ แต่เป็นคนที่ซื่อตรง เขาถนัดเรื่องจินตนาการใช้ความคิด เอาการมาของฉันสร้างความคิดในแง่ลบเป็นวงกว้าง แต่กลับเป็นหัวหน้าที่รับฟังทุกคน ตอนประชุมเขาจะตั้งใจฟังความเห็นของทุกคน จากที่ฉันบรรยายมา ฉันคิดว่าคนๆนี้เหมาะแล้วที่จะนั่งตำแหน่งนี้ค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนพูดจบเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาก็แอบยกสองนิ้วในใจ
จิ๊บๆ ตอนที่เจ๊ใหญ่ประธานเชี่ยนล้างสมองคนข้างนอก พวกนายยังนั่งท่องทฤษฎีอยู่เลยมั้ง