บทที่ 90 ทลายแผนลวง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่ในหอกู่หยาก็นำม้าสามสีมาส่งให้ถึงมือเยี่ยนจื่อเฉิน

“อ้าวเสว่ เธอรับม้าสามสีนี่ไป”

เยี่ยนจื่อเฉินที่รับม้าสามสีมาแทบจะไม่ได้มองเลยด้วยซ้ำ เขายัดใส่มือหลินอ้าวเสว่และบอกอย่างใจใหญ่ “ของสะสมหลังจากนี้หากมีชิ้นไหนที่เธอชอบ ฉันจะประมูลมาให้เธอหมดเลย”

พอเห็นว่าเยี่ยนจื่อเฉินแค่อยากเอาใจหลินอ้าวเสว่เท่านั้น ลิ่วหรั่นอีกด้านลอบถอนหายใจ ใจที่ขึ้นมาอยู่ที่คอหอยก็ค่อยๆกลับเข้าไป

“คนบางคนนี่ไม่รู้จะบอกว่าเขาโง่หรือเขาโง่ดี!”

ทว่าน่าเสียดาย ใจของลิ่วหรั่นไม่ทันกลับไปอยู่ที่เดิม เสียงเย้ยหยันแสบหูพลันดังมาจากห้องข้างๆ

ลั่วหรั่นมองไปตามเสียง คนที่พูดนั้นถ้าไม่ใช่เย่เทียนแล้วจะมีใครอีก?

“เสียเงินไปสี่สิบล้านเพื่อซื้อของปลอมสามชิ้นติดแล้วยังทำท่าเหมือนได้ของดีมา น่าสงสารจริงๆ”

เยี่ยนจื่อเฉินขมวดคิ้ว ตะโกนผ่านที่กั้นลมบางๆ “เย่เทียน แกรู้เรื่องของโบราณมั้ย ไม่รู้ก็อย่าซี้ซั้วพูด แกคงไม่ได้อิจฉาฉันใช่มั้ยที่เห็นฉันจ่ายเงินไปมากขนาดนี้”

“เย่เทียน…..” จี้เยียนหรันรีบดึงชายเสื้อเย่เทียนไว้

เบื้องหลังของสถานที่นี้มีคนใหญ่คนโตคุมอยู่ ไม่ใช่ว่าใครก็ก่อเรื่องที่นี่ได้

เย่เทียนที่ตัดสินใจมาแล้วไม่สนใจจี้เยียนหรัน

“อิจฉาหรอ?”

เย่เทียนเหยียดหยัน “เสียไปสี่สิบล้านและได้ของปลอมสามชิ้นที่ต้นทุนรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งพันหยวน ฉันยังไม่ถึงขั้นต้องไปอิจฉาไอ้โง่แบบนี้หรอกนะ!”

เยี่ยนจื่อเฉินฟังแล้วบันดาลโทสะขึ้นมาทันที เขาไม่ชอบหน้าเย่เทียนมาแต่ไหนแต่ไร บัดนี้ยังโดนด่าว่าเป็นไอ้โง่อีก ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!

ตึ้ง!

คิดได้ดังนี้ เยี่ยนจื่อเฉินก็ถีบที่กั้นลมบางๆที่ใช้คั่นจนล้ม และก้าวยาวๆไปหาเย่เทียนด้วยสีหน้าอึมครึม

“เย่เทียน แกพูดแบบนี้หมายความว่าไง?”

เสียงที่เขาทำนั้นไม่เบาเลย ไม่ต้องพูดถึงพวกจี้เจิ้งโก๋ แม้แต่จุดที่เขาเปิดประมูลตรงชั้นล่างยังชะงักลงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้

“ไม่ได้หมายความว่าไงนี่”

เย่เทียนเหลือบมองเยี่ยนจื่อเฉิงที่มีสีหน้าไม่พอใจด้วยท่าทีสบายๆ พูดขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “แค่นับถือพวกละลายสมบัติที่บ้าน ยอมซื้อกระป๋องเน่าๆที่พอจะทำเป็นโถฉี่ได้ กระดาษเส็งเคร็งที่เอามาเช็ดก้นยังแข็งไปด้วยซ้ำ รวมถึงของประดับที่ซื้อจากแผงลอยข้างทางได้ในราคาหนึ่งร้อยหยวนในราคาสูงลิ่วถึงสี่สิบกว่าล้าน เงินเยอะก็ใช่ว่าต้องใช้แบบนี้นี่”

เยี่ยนจื่อเฉินขมวดคิ้ว “แกจะบอกว่าของสะสมสามชิ้นที่ฉันประมูลมาเป็นของปลอมหมดเลยหรอ?”

ลิ่วหรั่นใจกระตุกวูบ รีบลุกขึ้นยืน

“คุณชายเยี่ยนครับ อย่าไปฟังที่ไอ้หนุ่มนี่พูดเหลวไหล ผมอยู่ในแวดวงนี้มาหลายสิบปี ของสามชิ้นนั้นผมไม่มีทางประเมินพลาดหรอกครับ”

ปากพูดไปแบบนั้น แต่ใจเขานั้นหวั่นเหลือเกิน เพราะเขาลิ่วหรั่นรู้ดีกว่าใครว่าของสามชิ้นเมื่อกี้เป็นของเลียนแบบ เป็นของปลอมขนานแท้เลยล่ะ!

เขาเป็นคนจัดหาทั้งสามชิ้นนี้มาด้วยตัวเอง แบ่งกันสามเจ็ดกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่งในงานประมูล ก็เพื่อต้มตุ๋นคุณชายผู้มาจากเมืองจินตรงหน้า หลอกล่อเขามาเหมือนเชือดประหนึ่งว่าเขาเป็นเหยื่ออันโอชะ

ไม่ใช่แค่สามชิ้นนั้น เขาจัดหาของสะสมมาให้งานประมูลนี้ทั้งหมดห้าชิ้น หากขายได้ตามราคาปกติ กำไรขั้นต่ำอยู่ที่แปดสิบล้าน!

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงยุยงให้เยี่ยนจื่อเฉินประมูล เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์มหาศาล ความเสี่ยงแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

เย่เทียนยักไหล่ มองลิ่วหรั่นด้วยรอยยิ้มบางๆ “ของปลอมก็คือของปลอม ไม่ว่าใครจะรับประกันมันก็ยังเป็นของปลอมอยู่ดี”

ลิ่วหรั่นมองจี้เจิ้งโก๋ด้วยสายตายำเกรง และเหลือบมองเยี่ยนจื่อเฉินที่สีหน้าอึมครึมด้วยหางตา แล้วหันไปมองเย่เทียนที่ท่าทางยาจก ไม่น่าจะใช่คนใหญ่คนโตอะไร

จึงปากแข็งต่อ “นายเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ขนยังขึ้นไม่ครบจะไปรู้อะไร นายเป็นผู้ประเมินหรอ? นายมีประกาศนียบัตรการประเมินที่ประเทศมอบให้มั้ย?”

“เรื่องนั้นฉันไม่มีหรอก”

เย่เทียนเบ้ปาก “แต่ ฉันรู้ว่าของสามชิ้นนั้นเป็นของปลอม”

“ไม่มีอะไรสักอย่างแล้วนายยังกล้าพูดอีกหรือว่าของสามชิ้นนั้นเป็นของปลอม”

ลิ่วหรั่นพูดอย่างมีน้ำโห “นายคิดว่าการประเมินของโบราณชิ้นหนึ่งว่าเป็นของจริงหรือของปลอมนั้นง่ายขนาดที่แค่เอาปากพูดก็ได้งั้นหรอ? นายไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ นายไม่รู้ว่าในยุคสมัยนั้นมีพื้นเพยังไง นายมีสิทธิ์อะไรมาพูดโป้ปดแบบนี้”

“นายชื่อลิ่วหรั่นใช่มั้ย?”

เย่เทียนไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เขายิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นส่งของเหล่านี้ไปประเมินพิสูจน์ดูมั้ยล่ะ ถ้าของเหล่านี้เป็นของจริง เงินประมูลสี่สิบกว่าล้านนี้ฉันจะเป็นคนจ่ายเอง แต่ถ้าเป็นของปลอมนายเป็นคนจ่าย แบบนี้เป็นไง”

ลิ่วหรั่นได้ฟังแล้วเหมือนหนูที่โดนเหยียบหาง สีหน้าย่ำแย่ขึ้นมาทันที

แต่จนบัดนี้แล้วเขาไม่เหลือทางให้ถอย จึงแสร้งทำเป็นสงบและหัวเราะเย็นๆ “ฉันคือผู้พิสูจน์ที่ประเทศให้การยอมรับ ไม่จำเป็นต้องนำไปประเมินพิสูจน์ที่ไหนอีก”

“ว่าแต่นายเถอะ ไม่รู้อะไรเลยกลับบังอาจออกความคิดเห็นมั่วซั่ว นายไม่เคยได้ยินคำว่ากินข้าวไปทั่วได้แต่ไม่ควรพูดไปทั่วหรอ?”

“เยี่ยนจื่อเฉิง เอาม้าสามสีตัวนั้นมา ฉันจะพิสูจน์ให้นายว่าเป็นของจริงหรือของปลอม”

เย่เทียนขี้เกียจเถียงกับคนหลอกลวงแบบนี้ เขามองไปที่เยี่ยนจื่อเฉิน

เยี่ยนจื่อเฉินลังเลนิดหน่อย สุดท้ายก็โบกมือให้หลินอ้าวเสว่ที่ถือม้าสามสีอยู่ด้านหลังเดินเข้ามา

“เดี๋ยวครับ คุณชายเยี่ยน….” ลิ่วหรั่นร้อนใจ รีบเอ่ยปากหวังจะหยุดเรื่องนี้

“คุณน่ะหุบปากไปเลย!”

เยี่ยนจื่อเฉินที่สีหน้าอึมครึมแค่นเสียงเย็น “คุณภาวนาให้ของเหล่านี้เป็นของจริงเถอะ ไม่อย่างนั้น หึหึ!”

ลิ่วหรั่นมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาเต็มหน้าผาก ในใจกระสับกระส่ายแทบทนไม่ไหว แต่ก็ไม่มีเหตุผลจะห้าม ได้แต่ยืนมองเยี่ยนจื่อเฉินส่งม้าสามสีไปให้เย่เทียน

เยี่ยนจื่อเฉินส่งม้าสามสีใส่มือเย่เทียน และไม่ลืมเตือน “เย่เทียน แกพิสูจน์ให้ได้แล้วกันว่าที่แกพูดมานั้นไม่ผิด ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”

“แกไม่มีโอกาสนั้นหรอก”

เย่เทียนยักไหล่ วินาทีที่รับม้าสามสีมาก็ยกขึ้นสูงและทำท่าจะโยนลงพื้น!

ภาพที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ทำเอาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจกันหมด รีบพากันออกปากห้าม

“เย่เทียน คุณจะทำอะไร!”

“อย่าวู่วามนะ!”

ตู้ม

สุดท้ายทุกอย่างก็สายเกินไป

หลังจากรับม้าสามสีจากมือของเยี่ยนจื่อเฉินมา เย่เทียนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ก็ทุ่มม้าสามสีลงพื้นอย่างแรงโดยไม่ลังเล

ของสะสมที่ใช้เงินสามสิบล้านในการประมูลมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นเศษชิ้นส่วนที่ไม่มีค่า

สีหน้าเยี่ยนจื่อเฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาตะโกนลั่นใส่เย่เทียน “เย่เทียน ถ้าแกอธิบายไม่ได้ อย่าหวังเลยว่าแกจะได้ออกไปจากที่นี่!”

เย่เทียนไม่สนใจเขาเลยสักนิด เขานั่งยองๆลง เก็บหัวม้าที่ยังไม่แตกขึ้นมา

“หากเป็นวัตถุโบราณที่ขุดขึ้นมาจากดินจริง จะมีสนิมดินซึมเข้าไปในเครื่องใช้ต่างๆ ส่วนสนิมดินที่ทำเลียนแบบขึ้นมา แค่เช็ดถูซ้ำไปซ้ำมาก็จะกำจัดรอยออกไปได้”

ขณะที่พูดอยู่ เย่เทียนเช็ดชิ้นส่วนชิ้นนั้น และเป็นไปตามคาด ประกายบางๆอันเจิดจรัสส่องแสง เห็นได้ชัดว่าเป็นของปลอม!