กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 551
ทุกคนอยู่ไม่เป็นสุขเมื่อมองแผ่นหลังที่จากไปของพวกเขา

เอาอย่างนี้เลยหรือ…

ทอดทิ้งพวกเขาทั้งหมดไว้แบบนี้น่ะหรือ

สาระสำคัญของการชุมนุมแบ่งปันยาอายุวัฒนะครั้งนี้คือการกลั่นยาอายุวัฒนะดีๆ มาแบ่งปันและปล่อยให้ทุกคนร่วมการประมูล หรือว่าเพื่อเข้าไปที่เขตหวงห้ามกันแน่

ตอนที่พวกเขาได้สติกลับมา ผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว ตอนนี้ทุกคนฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ผู้นำแห่งหุบเขาน่าหลาน

ทุกคนแย่งกันพูด “ผู้นำหุบเขาน่าหลาน จุดประสงค์ของการชุมนุมคือการประมูลยาอายุวัฒนะมิใช่รึ ท่านจะยกเลิกการประมูลไม่ได้นะ”

“ใช่ๆ เราเดินทางมาไกลเป็นพันลี้จนมาถึงที่นี่ คงไม่ใช่แค่มาดูเฉยๆ หรอกนะว่าพวกท่านกลั่นยาดีๆ ได้อย่างไร นั่นมันจะน่าเศร้าเกินไปแล้ว”

“พวกท่านอย่าเพิ่งใจร้อน การประมูลจะจัดขึ้นตามกำหนดและจะไม่มีมีการยกเลิกใดๆ ทั้งสิ้น”

ทุกคนดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นจึงพยายามประจบเอาใจผู้นำแห่งหุบเขาน่าหลาน

เหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหานเขม่นมองอย่างครุ่นคิด

เหตุใดกู้ชูหน่วนจึงต้องรีบร้อนไปยังเขตหวงห้ามขนาดนั้น

หรือว่ามีอะไรอยู่ในเขตหวงห้าม

ก่อนหน้านี้นางก็เป็นคนพบไข่มุกมังกรลูกที่ห้า หรือว่าคราวนี้ไข่มุกมังกรลูกที่หกจะอยู่ในเขตหวงห้าม

ยิ่งคิดทั้งสองคนก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้

พวกเขากวาดสายตาไปรอบๆ ลานแสดงยุทธ์ ก้มหน้าบอกบางอย่างกับข้ารับใช้ จากนั้นจึงหาเหตุผลเพื่อลากลับไป

ก่อนที่พวกเขาจะจากไป พวกเขาพบว่าจอมมารหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ คิดว่าน่าจะตามกู้ชูหน่วนไปแล้ว

ฮวาฉี่หลัวกล่าวว่า “ท่านพี่ไป๋จิ่น ท่านพี่กู้ไปแล้ว เราจะตามไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋จิ่นยิ้มอย่างงดงามและกล่าวเสียงดังว่า “ท่านผู้นำแห่งหุบเขาน่าหลาน พวกเราเผ่าน้ำแข็งไม่สนใจเรื่องการประมูลยาอายุวัฒนะ ในเมื่อพวกท่านเริ่มจัดการประมูลแล้ว เราต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนละ”

“ได้ๆๆ เช่นนั้นข้าจะให้คนไปส่งพวกท่านกลับ”

ใบหน้าของผู้นำหุบเขาน่าหลานมีรอยยิ้ม ทว่าในใจกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ที่เยี่ยจิ่งหานกับเหวินเส่าอี๋กลับไปก็ว่าแปลกแล้ว แต่เหตุใดเผ่าน้ำแข็งจึงกลับไปด้วย

แม้แต่จอมมารก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เผ่าใหญ่เหล่านี้เห็นยาอายุวัฒนะเป็นของธรรมดามากงั้นหรือ

ยังคิดในใจไม่ทันจบ อันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างสีชิ่นก็ส่งยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “หออันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างพวกเรามุ่งเน้นไปที่การบำเพ็ญฌานด้วยตนเอง น้อยนักที่จะพึ่งยาอายุวัฒนะเช่นนี้ เราไม่สนใจการประมูลนี้เลย ดังนั้นต้องขอตัวลา”

ผู้อาวุโสเจ็ดลุกขึ้นอย่างซวนเซ เขาหยิบไหสุราที่ว่างเปล่าขึ้นมาแล้วพึมพำอย่างเลื่อนลอยว่า “สุราหมดแล้ว ข้าขอตัวไปหาสุราที่อื่นก่อนละ”

เอ่อ…

ในที่สุดตันหุยกู่ของพวกเขาก็กลั่นยาจนได้ยาชั้นดีขนาดนี้

พวกเขาไม่สนใจเลยสักนิดจริงๆ หรือ

เดิมทีผู้นำแห่งหุบเขาน่าหลานเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง ทว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ มากมาย

ดวงตาของน่าหลานหลิงลั่วกลอกกลิ้งไปมา

เขากำหมัดแน่นและบอกว่า “ท่านพ่อเลี้ยง ตระกูลใหญ่เหล่านี้ออกไปก่อนกำหนด ลูกจะไปจัดการดูแลพวกเขา ไม่ให้พวกเขาคิดว่าตันหุยกู่ของพวกเราไม่ให้ความสำคัญ”

ยังไม่ทันที่ผู้นำแห่งหุบเขาน่าหลานจะตอบรับ น่าหลานหลิงลั่วก็จากไปแล้ว

เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจของเขา แต่น่าเสียดายที่ผู้คนมากมายกำลังโอบล้อมเขาไว้และพูดนั่นพูดนี่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาคิดว่าทำไมคนพวกนั้นจึงจากไปก่อนกำหนด

หน้าเขตหวงห้าม

ผู้อาวุโสสูงสุดชี้ไปที่หุบเขาทรงกระบี่ด้านหน้า เขาลูบเคราสีดอกเลาและเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่คือเขตหวงห้ามของพวกเราตันหุยกู่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี”

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ท่านโปรดเปิดประตูให้ข้าน้อยเข้าไปด้วยเถิด”

“แม่นางอาหน่วน ท่านไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในเขตหวงห้ามใช่หรือไม่”

“ไม่รู้เจ้าค่ะ”

“ในเขตหวงห้ามมีค่ายกลพิฆาตโบราณ เป็นค่ายกลที่รุนแรงและซับซ้อน นับเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ไม่มีใครในตันหุยกู่ทำลายมันได้ ถ้าท่านเขาไปและไม่ระวังตัว ท่านอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ที่นั่น”

ค่ายกลพิฆาตโบราณงั้นหรือ นางเคยเจอค่ายกลที่จวนอ๋องของเยี่ยจิ่งหานมาแล้วครั้งหนึ่ง และมันก็รุนแรงมากจริงๆ

แต่ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร

“ท่านผู้อาวุโสอย่าได้กังวลไปเลย คนชั่วมักอายุยืนยาวเป็นพันปี นอกจากนี้ข้ายังอยากจะทำลายตันหุยกู่อีก ข้าไม่คิดจะตายเร็วขนาดนั้น”

ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี “อยากไปก็จงไปเถิด แต่อย่าได้ไปไหนมั่วซั่ว โดยเฉพาะค่ายกลตรงกลาง บรรพบุรุษของเราได้บุกเบิกเส้นทางไว้แล้ว ในเขตหวงห้ามมีจุดชี้ทางบอกอยู่ หากท่านเดินไปตามทางนั้น ท่านจะได้เรียนรู้เคล็ดลับการกลั่นยาที่สำคัญมากมาย หากโชคดีอาจจะได้เรียนรู้วิทยายุทธขั้นสูงอีกมาก”

ครืนคราน…

ประตูเขตหวงห้ามเปิดออก

กู้ชูหน่วนเข้าไปในเขตหวงห้ามเพียงลำพังภายใต้การแนะนำของผู้อาวุโสสูงสุด

เขตหวงห้ามนั้นลึกมาก กู้ชูหน่วนเดินเข้ามาเกือบครึ่งชั่วยามจึงจะมาถึงแท่นหินกว้าง

มีทางแยกสามทางอยู่ที่แท่นหินนั้น

ที่ด้านซ้ายมีป้ายบอกทางอยู่ และผู้อาวุโสสูงสุดได้กำชับนางไว้แล้วว่าเมื่อมาถึงแท่นหินให้เดินไปทางซ้ายเท่านั้น ห้ามไปตรงกลางหรือทางขวา

แต่กู้ชูหน่วนกลับหยุดอยู่บนแท่นหินอย่างไม่อยากจะเดินไปทางซ้าย

นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก

ตามคำแนะนำของผู้อาวุโสสูงสุด หากนางไปทางซ้าย นางอาจจะได้เรียนรู้เคล็ดลับการกลั่นยาขั้นสูงหรือไม่ก็วิทยายุทธอันสูงส่ง

หากกุญแจรูปดาวอยู่ทางซ้าย ผู้อาวุโสสูงสุดคงไม่เตือนนางอย่างนั้นแน่นอน นอกจากนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ตันหุยกู่จะยอมให้สาวกเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้าม

หากต้องการค้นหากุญแจรูปดาว นางอาจจะต้องไปตรงกลางหรือทางขวาเท่านั้น

แต่ตอนนี้นางต้องไปตรงกลางหรือว่าทางขวาล่ะ

กู้ชูหน่วนหยิบเหรียญกษาปณ์ออกมาจากวงแหวนอวกาศ จากนั้นจึงโยนขึ้นฟ้าและปล่อยให้หล่นกลิ้งลงมาบนพื้น เหรียญออกด้านหัว

นางใช้มือขวาหยิบเหรียญกษาปณ์ขึ้นมา รอยยิ้มที่สวยหยาดเยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก จากนั้นนางจึงเดินไปตรงกลาง

เอาละ ถือว่าเสียงดวงก็แล้วกัน ถ้าเลือกถูก กุญแจรูปดาวก็จะตกเป็นของนาง

ถ้าเลือกผิด… ฮึ… นางก็ไม่คิดจะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่อยู่ดี

หลังจากเดินไปตามเส้นทางตรงกลางได้ระยะหนึ่ง ตรงหน้าก็มีทางแยกอีกสามทาง และกู้ชูหน่วนก็เลือกตรงกลางอย่างไม่ลังเล

สิ่งที่ทำให้นางต้องขมวดคิ้วก็คือที่ด้านหน้าไม่ไกลนักยังมีทางแยกซ้ายขวาอีกสองทาง ซึ่งคราวนี้กู้ชูหน่วนกัดฟันเลือกเดินไปทางขวา

นางคิดว่าแค่เจอทางแยกสองสามครั้ง ที่นี่ก็ดูน่างุนงงพอแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีทางแยกอยู่ตลอดทาง เส้นทางคดเคี้ยวจนไม่รู้ว่าจะพาไปที่ไหน

นางทำได้เพียงต้องอิงจากทางเลือกแรกเริ่ม นั่นคือเมื่อมีทางแยกสามทางนางจะเลือกตรงกลาง แต่ถ้ามีสองนางจะเลือกทางขวา

ทางแยกทุกทางในเขตหวงห้ามมีหน้าตาเหมือนกันทุกประการจนไม่มีทางแยกออกว่าเดินผ่านไปหรือยัง ดังนั้นกู้ชูหน่วนจึงทำเครื่องหมายไว้ตรงทุกทางแยก ทว่าที่น่าเสียดายก็คือนางเดินวนไปวนมาอยู่เป็นนานจนเกือบจะเป็นลม แต่นางก็ยังไม่พบเครื่องหมายที่นางทำทิ้งไว้เลยสักจุด

“หรือว่าในเขตหวงห้ามจะมีค่ายกลเขาวงกตขนาดใหญ่อยู่ด้วย”

กู้ชูหน่วนสังเกตทางซ้ายและขวาอย่างละเอียด พยายามจะแก้ปริศนาเขาวงกตนี้ให้ได้

แต่ไม่ว่าจะพยายามสังเกตอย่างไรนางก็ไม่เห็นค่ายกลใดๆ เลย ราวกับว่าทางแยกเหล่านี้เป็นของจริงอย่างไรอย่างนั้น

ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสสูงสุดจึงต้องบอกครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้นางเดินไปตามเส้นทางที่บอกไว้

ไม่ว่าใครก็หลงทางได้ง่ายๆ เมื่อมาอยู่ในเขาวงกตที่ซับซ้อนเช่นนี้

หลังจากเดินวนไปวนมาจนเหงื่อเม็ดโตผุดพราย กู้ชูหน่วนก็ยังหาทางออกไปไม่ได้

ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังแว่วๆ เหมือนมีคนกำลังร้องไห้อยู่ในเขาวงกต

เสียงร้องนั้นเหมือนจะดังมาจากสมัยโบราณกาล แฝงไปด้วยความผันผวนของชีวิต ความคับข้องแค้นเคืองไร้การช่วยเหลือ เป็นเสียงที่ทำให้หัวใจแตกสลาย

กู้ชูหน่วนอยากจะตามเสียงร้องนั้นไป แต่นางกลัวว่าถ้าตามเสียงไป ตนเองอาจจะหลงทางอยู่ในเขตหวงห้ามนี้จนสิ้นไร้หนทางจริงๆ

นางทำได้เพียงระงับความสงสัยเอาไว้และเดินหน้าต่อไป

ขณะที่กู้ชูหน่วนเกือบจะสิ้นหวัง นางก็หาทางออกได้ในที่สุด

ที่นี่คือแท่นหินขนาดใหญ่

บนแท่นหินมีดาบคมขนาดใหญ่หนึ่งเล่ม ฝักดาบเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ปลายดาบชี้ขึ้นด้านบนราวกับจะแทงทะลุท้องฟ้า นอกจากนี้ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันชั่วร้าย

ตรงกลางดาบมีโซ่เหล็กอยู่เก้าเส้น ห่วงโซ่ทุกเส้นนับจากบนลงล่างมีอักษรรูนสลักไว้เต็มไปหมด อักขระแต่ละตัวมีอายุเป็นพันๆ ปีแต่กลับยังคมชัดแจ่มใสจนน่าสะพรึงกลัว

กู้ชูหน่วนมีความรู้สึกบางอย่าง

อักษรรูนบนห่วงโซ่ทั้งเก้าเส้นไม่ใช่ของธรรมดา เพราะอักขระเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเปล่งแสงสีทองออกมา แต่มันยังเคลื่อนไหวได้อีกด้วย