ตอนที่ 293 พระราชทานงานแต่งงาน

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 293 พระราชทานงานแต่งงาน
ตอนที่ 293 พระราชทานงานแต่งงาน

ฉีเต๋อหลงมาที่นี่เพื่อขัดความสุขของพวกเขางั้นเหรอ

ฉีเฉิงเฟิงชำเลืองมองฉีเต๋อหลงด้วยท่าทีเฉยเมย “หากมีอะไรก็จงพูดออกมาเร็ว ๆ เถอะ ถ้าเจ้าไม่อยากพูด ก็เชิญออกไปเสีย อย่ามาทำให้ข้าอารมณ์เสียไปมากกว่านี้เลย!”

“น้องสาม เหตุใดเจ้าถึงอารมณ์เสียเช่นนี้?” ฉีเต๋อหลงหัวเราะออกมาเบา ๆ กางราชโองการในมือออกก่อนจะอ่านออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “สวีซูเหนียนฟาง บุตรสาวนายพลซู ตอนนี้มีอายุสิบหกปีแล้ว อีกทั้งไม่ได้แต่งงานออกเรือนแต่อย่างใด ดังนั้นองค์ชายสามกับสวีซูเหนียนฟางมีโชคชะตาต่อกัน จึงได้มอบหมายงานแต่งงานให้ได้โปรดทำตามพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ด้วย!”

นี่เป็นพันธะสัญญาของฉีเฉิงเฟิงที่จะต้องแต่งงานใช่หรือไม่หัวใจของซูหวานหว่านรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา นางมองไปทางฉีเฉิงเฟิงก็พบว่าท่าทีของเขาไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นหัวใจของนางก็ค่อย ๆ สงบลงอีกครั้ง

“น้องสาม เหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ เจ้าไม่มีความสุขหรอกเหรอ? สวีซูเหนียนฟางบุตรสาวของนายพลซูมีรูปโฉมงาม แน่นอนว่านางเหมาะสมกับเจ้ามาก ไม่มีอะไรที่น่ายินดีไปกว่านี้แล้ว”

“โอ้?” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาเบา ๆ และเหลือบไปมองยังฉีเต๋อหลงด้วยรอยยิ้ม “ทำไมพี่รองถึงได้มีความสุขมากขนาดนี้ สงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาเหวินจะยังไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเข้าใจ”

ทันทีที่พูดถึงภูเขาเหวิน ใบหน้าของฉีเต๋อหลงพลันเปลี่ยนไป เผยร่องรอยแห่งความโกรธบนแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เพราะวันนั้นเขาจัดการซูหวานหว่านไม่สำเร็จ ได้ดื่มยาเข้าไป หากไม่มีคนมาช่วยเขาเอาไว้ เขาก็คงตายในบ่อน้ำพุร้อนไปแล้ว!

ฉีเต๋อหลงกล่าวออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นที่ภูเขาเหวินซานเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น! หากเจ้าไม่เข้ามาช่วยซูหวานหว่านคงจะถูกข้าจับไปเป็นนางสนมแล้ว!”

เขายังมีหน้ามาพูดจาเช่นนี้อีกเหรอ

ซูหวานหว่านนึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองโดนวางยาในวันนั้น หญิงสาวกำหมัดแน่นเมื่อเห็นกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ นางแสร้งทำเป็นหยิบขึ้นแล้วทำหกสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของฉีเต๋อหลง

“อ่ะ! ข้าต้องขอโทษองค์ชายรอง ข้าแค่คิดว่าเจ้ากำลังมีความปีติยินดีอยู่ จึงจะรินชาร้อนให้กับเจ้า! ใครจะไปคาดคิดว่าจะมือไม้อ่อนทำกาชาหกจนได้ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าตื่นเต้นมากเกินไป ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ!” ซูหวานหว่านพูดออกมาพร้อมกับนั่งลงอย่างช้า ๆ ด้วยใบหน้าเย็นชา!

เมื่อถูกชาร้อนกระเซ็นใส่ใบหน้า เขาก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองรู้สึกแสบ ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมา ชายหนุ่มซับใบหน้าด้วยแขนเสื้อของตนเอง แล้วจ้องมองไปที่ซูหวานหว่านด้วยความโกรธ และเพื่อไม่ให้ใบหน้าของเขาเกิดรอยแผลเป็น เขาจึงรีบออกไปเพื่อหายามาทา

แต่ก่อนที่เขาจะออกมา ฉีเต๋อหลงก็ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคำพูดหยาบช้า “ซูหวานหว่าน ข้าสามารถทำให้ฝ่าบาทสร้างงานแต่งนี่ขึ้นมาได้ และข้านั้นก็ยังสามารถทำให้ฝ่าบาททำให้งานแต่งงานระหว่างเจ้าเกิดขึ้นมาได้ หึ เจ้าคอยดูได้เลย! หากเจ้าเป็นของข้าเมื่อไรข้าจะเอาคืนเจ้าให้สาสมใจ!”

นางไม่ได้หวาดกลัวในสิ่งที่ฉีเต๋อหลงกล่าว! ซูหวานหว่านจึงตอบกลับไปอย่างเย็นชา “โอ้ องค์ชายรองท่านช่างมีความสามารถจริง ๆ! ข้าจะคอยดูแล้วกัน หึ”

ฉีเต๋อที่กำลังจะเดินออกไปได้ยินคำพูดนี้ของซูหวานหว่านร่างกายของเขาก็สั่นไปด้วยความโกรธ พร้อมกันถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชาแล้วเดินออกไปทันที

เขาได้ทิ้งพระราชโองการเอาไว้บนโต๊ะ ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงยกมันเปิดขึ้นมาเปิดอีกครั้ง ทั้งสองคนแน่ใจในทันทีว่าพระราชโองการนั่นเป็นของจริง แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าฮองเต้ต้องการทำสิ่งนี่เพื่อไปอะไร

คนในโรงเตี๊ยมยกอาหารออกมาวางลงบนโต๊ะ เมื่อพวกเขาจัดการอาหารมื้อนี้เสร็จเรียบร้อยก็กลับบ้านกันทันที ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้เป็นซับซ้อนอะไร ไม่ว่าซูหวานหว่านอยู่ที่ใดที่นั่นก็เปรียบเสมือนบ้านของเขา และเขาก็ไม่เคยกลับไปพักที่ตำหนักของตัวเองเลย

เมื่อกลับถึงบ้านพวกเขาก็นึกถึงสองคนที่มาก่อเรื่องได้ ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปที่ห้องเก็บฟืนเพื่อไปดูซู่ฉิงฉิงและเจียงเส้าปังว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงห้องเก็บฟืน พวกเขาก็เปิดประตูออก ทั้งสองนั่งกอดกันแน่นทำให้เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด ซูหวานหว่านกระแอมออกมา และกล่าวว่า “ซู่ฉิงฉิงเจ้าบอกข้ามาว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ข้าจะปล่อยตัวพวกเจ้าทั้งสองคนออกไป”

ซู่ฉิงฉิงและเจียงเส้าปังยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับกาย ซูหวานหว่านขยับเข้าไปใกล้ นางไม่อยากใช้มือของตัวเองแตะต้องพวกเขา ดังนั้นนางเขี่ยกองฟืนที่ตั้งอยู่ข้างพวกเขาอย่างเบา ๆ จนเกิดเสียงดัง ทำให้ตัวของซู่ฉิงฉิงกลับล้มลงบนพื้น

เมื่อร่างของนางได้ล้มลงนอนลงไปที่พื้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าของซู่ฉิงฉิง ทำให้หญิงสาวเห็นรอยเลือดที่มุมปากของซู่ฉิงฉิง หากเมื่อลองสังเกตเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นว่าที่คอของซู่ฉิงฉิงมีรอยแผลจากของมีคม

เมื่อมองไปที่เจียงเส้าปัง การตายของพวกเขาทั้งสองคนนั้นอยู่ในลักษณะเดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนถูกฆ่าตาย!

ใครกันที่เป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งสองคน? ซูหวานหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฉิงเฟิงเดินไปที่ด้านข้างเพื่อตรวจสอบหน้าต่างและบริเวณรอบ ๆ ห้อง และเขาก็ได้พบกับรอยเท้าที่น่าสงสัย ชายหนุ่มขมวดคิ้วและเอ่ยออกมาว่า “อย่าเพิ่งกระโตกกระตากเรื่องนี้ไป ให้คนมาจัดการเก็บศพพวกนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน”

พูดจบ ทั้งสองคนก็เดินออกไปทันที ซูหวานหว่านได้หยิบพระราชโองการในมือของนางขึ้นมา แล้วก้มมองลงดูอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีความเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน แต่นางก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะมีความรู้สึกแบบไหนกับนางกันแน่

ฉีเฉิงเฟิงคิดว่าซูหวานหว่านกำลังคิดเรื่องสัญญาการแต่งงาน เขาจึงกล่าวออกมาว่า “เรื่องมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร การที่ข้าเป็นองค์ชายสามข้าไม่เป็นแล้วก็ได้ เขาจะทำอะไรข้าได้กัน? คนเดียวที่ข้าต้องการที่จะแต่งงานด้วยคือเจ้า”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูหวานหว่านรู้สึกมีความสุข แต่ว่านางนั้นรู้ดีว่าถึงแม้ฉีเฉิงเฟิงจะพูดออกมาแบบนี้ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาคือองค์ชาย และเรื่องราวส่วนใหญ่เขาไม่สามารถทำตามอำเภอใจตัวเองได้

ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงต้องแยกทางกับนางด้วย

ซูหวานหว่านถอนหายใจออกมาและรู้สึกขมขื่นขึ้นมาภายในใจ หญิงสาวไม่สนใจอะไรฉีเฉิงเฟิง นางเดินตรงไปที่ห้องพักของตัวเองแล้วปิดประตูห้องเสียงดัง ทิ้งให้ฉีเฉิงเฟิงยืนอยู่คนเดียวหน้าประตู

เมื่อรู้เรื่องการแข่งขันกับการค้าของซูหวานหว่านแล้ว ฉีเฉิงเฟิงก็ถอนหายใจออกมา และเดินกลับไปที่พักของตนเอง ชายหนุ่มสั่งให้คนสนิทของตัวเองไปตรวจสอบเรื่องของซู่ฉิงฉิงอย่างเงียบ ๆ

ซูหวานหว่านนั่งอยู่บริเวณข้างหน้าต่าง เท้าคางและมองออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมกับความรู้สึกคับข้องใจที่เกิดขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก

ทันใดนางก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากหน้าห้องตนเอง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

“ข้าไม่อยากพบเจ้าในตอนนี้” ซูหวานหว่านเอ่ยแล้วปิดหน้าต่างลงทันที

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูรู้สึกงงงัน และพูดออกมาว่า “คุณหนู นี่ข้าเอง!”

เสียงนี้เป็นเสียงของพ่อบ้านของนาง

ซูหวานหว่านรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และเดินออกไปเปิดประตูห้องก็เห็นพ่อบ้านยืนซับเหงื่อที่ผุดซึมออกมาตามหน้าผาก และพูดออกมาว่า “คุณหนู ฝ่าบาทเชิญท่านไปที่วัง เพราะฝ่าบาทมีเรื่องสำคัญที่จะหารือกับท่าน”

พ่อบ้านเหลือบมองซ้ายมองขวา และพูดกระซิบออกมาเบา ๆ อีกครั้งว่า “ขันทีไห่กำลังรอท่านอยู่หน้าประตูลานบ้าน แล้วสั่งมาว่าให้ท่านไปแค่คนเดียว”

ฮ่องเต้ต้องการที่จะทำอะไร ซูหวานหว่านครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินออกมาจากห้องทันที

เมื่อเห็นพ่อบ้านกำลังจะปิดประตูห้อง นางจึงถอนหายใจออกมาและบอกพ่อบ้านว่า “ถ้าองค์ชายสามออกมาจากห้องแล้วถามหาข้า ก็บอกว่าข้าออกไปพักผ่อนข้างนอกนะ อย่าบอกว่าเขาเป็นอันเด็ดขาดว่าข้าเข้าไปที่วัง”

“ขอรับ” พ่อบ้านตอบรับและยืนมองดูซูหวานหว่านเดินออกไป

ครึ่งชั่วยามผ่านไปหญิงสาวก็ได้เดินทางมาถึงในวัง และยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่าจะเดินทางถึงตำหนักของฮ่องเต้ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ

เมื่อขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องโถงเห็นซูหวานหว่านเดินมา เขาก็กล่าวออกมาว่า “คุณหนูจ้าว ได้โปรดรอสักครู่ ฝ่าบาทและท่านเสนาบดีกำลังพูดคุยกันอยู่”

“อืม”

ซูหวานหว่านพยักหน้าแล้วยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องโถง ผ่านเวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม ซูหวานหว่านก็เริ่มรู้สึกปวดขามาก หญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นยืนพิงกำแพง

และนางผล็อยหลับไปโดยคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว และไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงถอดจิตเข้าไปในมิติฟาร์มเพื่อดูว่ากระเทียมของนางว่าเติบโตไปถึงไหนแล้ว

แต่ใครจะไปคิดว่าขณะเดินไปถึงแปลงกระเทียม นางก็ได้ยินเสียงหญิงนางหนึ่งดังมาจากนอกมิติฟาร์ม “นี่คงจะเป็นคุณหนูจ้าวใช่หรือไม่? เฮอะ! ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย! นางจะเอาอะไรมาเทียบกับข้าได้ ไม่น่าแปลกใจที่ฝ่าบาทอยากให้ข้ามาเป็นพระชายาองค์ชายสาม!”

ซูหวานหว่านลืมตาขึ้นมาทันที และสติของนางก็คืนกลับมา นางเห็นหญิงคนหนึ่งใส่สีชุดขาวยืนใช้สายตาสำรวจนาง และยังมีสาวใช้ถือตะเกียงยกขึ้นมาส่องใบหน้าของนางเอาไว้อีก ราวกับว่าจะให้เจ้านายของตัวเองเห็นท่าทางของนางได้อย่างชัดเจน

“ข้านั้นไม่สามารถเทียบกับคุณหนูสวีได้หรอก” ซูหวานหว่านยิ้มออกมา ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยใสเป็นธรรมชาติเผยให้เห็นรอยยิ้มสดใสเหมือนดั่งดอกไม้เบ่งบาน ส่วนสวีซูเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนี้นางก็รู้สึกเกลียดชัง และเมื่อยิ่งนางได้ยินประโยคในครึ่งหลังของซูหวานหว่านที่พูดออกมานางนั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้น “ใครกันที่จะมาเทียบกับคุณหนูซูที่สวมชุดขาวเป็นผีแบบนี้ได้กัน? คุณหนูสวีควรที่จะสั่งให้คนใช้เร่งไฟที่ตะเกียงเพิ่มมากกว่านี้นะ มิฉะนั้นคนที่ยืนอยู่ระยะไกลมองมาอาจจะมองไม่ชัดจนคิดว่ามีผีอยู่ภายในวัง!”

“เจ้า!” สวีซูถึงกับพูดไม่ออก และหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของนางก็อ่อนลงทันที และก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูจ้าว ข้ามีเรื่องอยากที่จะพูดคุยกับเจ้า เจ้าจะคุยกับข้าได้หรือไม่”

ซูหวานหว่านพยักหน้า และคุณหนูสวีก็เดินนำนางออกไปโดยหันหลังกลับไปมองคนใช้ นางส่งสัญญาณมือให้คนของนางลงมือทำร้ายซูหวานหว่าน