ตอนที่ 268 อาหารเลิศรสเผ่าอี๋

หยางโปมองไปทางเซอเจ๋อ ” ให้พวกเราอยู่ที่นี่เหรอ ? “

เซอเจ๋อพยักหน้า ” คืนละร้อยหยวนต่อคน “

พวกหยางโปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องพรรค์นี้

” หนึ่งร้อยหยวน ? นี่นายโกงคนอื่นอยู่ชัดๆ เลยนะ ! ” ลัวย่าวหัวพูดอย่างอดไม่อยู่

เซอเจ๋อมองลัวย่าวหัวแวบหนึ่ง ” ถ้าพวกเธอมีเงิน ฉันก็สามารถพาพวกเธอไปพักที่ที่ดีกว่านี้ได้ “

” นายพาพวกเราไปดูหน่อย ” ลัวย่าวหัวกล่าว

เซอเจ๋อออกจากห้องข้างๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องที่อยู่อีกด้าน เขาชี้ไปที่ด้านใน ” เป็นห้องห้องนี้ “

 

เมื่อพวกหยางโปเดินเข้าไป ก็ได้กลิ่นอับของเชื้อราอย่างรุนแรง แม้ห้องจะใช้หินก่อขึ้นมา แต่ด้านในยังคงเป็นดิน พอเปิดไฟฉายที่มือถือ ก็เห็นว่าที่มุมห้องกองขยะเอาไว้กองหนึ่ง

” คืนละห้าร้อยหยวนต่อคน ” เซอเจ๋อพูด

พวกหยางโปต่างก็ขมวดคิ้วแน่น สภาพอย่างนี้ พวกเขาไม่ยอมนอนแน่ เพียงแต่ตอนนี้เป็นต้นฤดูหนาว อากาศข้างนอกตอนกลางคืนของมณฑลเฉียนโจวมีอุณหภูมิต่ำกว่าสิบองศา ถ้าอยู่ข้างนอกก็จะเป็นหวัดได้ง่าย

” ตอนกลางคืนอยู่บนรถเอาแล้วกัน ! ” หยางโปเสนอความคิดเห็น

 

” คงต้องนอนบนรถแล้วล่ะ ” ลัวย่าวหัวเองก็เอ่ยปากพูด

เซอเจ๋อร้อนใจขึ้นมาทันใด ” อย่าเลย รถเล็กเกินไป พวกเธอสี่คนจะอยู่กันได้ยังไง ? ทางนี้มีห้องให้ ฉันยังลดราคาลงให้ได้อีกหน่อยนะ “

มองสภาพภายในห้องแล้ว ตาอ้วนหลิวก็ส่ายหน้า ” ไม่เอาแล้ว นอนบนรถยังจะดีกว่า “

ใบหน้าเซอเจ๋อจนปัญญา ” แต่พวกเธอก็ต้องกินข้าวกันล่ะมั้ง ? “

” พวกนายมีเมนูพิเศษไหม ? ” ตาอ้วนหลิวเงยหน้าถาม

 

” มีสิ ลูกหมูย่าง ไก่ผัดพริกแห้ง หมูหนาว อะไรก็มีทั้งนั้นแหละ ” เซอเจ๋อกล่าว

ตาอ้วนหลิวกลืนน้ำลาย ” ราคาเท่าไหร่ล่ะ ? “

เซอเจ๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า ” ลูกหมูย่างห้าร้อยหยวน ไก่ผัดพริกแห้งสองร้อยหยวน หมูหนาวก็สองร้อยหยวน “

หยางโปกลอกตา ราคานี้ไม่ใช่แค่แพงนิดแพงหน่อยแล้ว แต่ทุกคนมองตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ผงกศีรษะตอบตกลง

” เอาไก่ผัดพริกแห้งสองชุด อย่างอื่นก็เอามาอย่างละชุด แล้วก็เอาปิ่งหรือข้าวมาให้พวกเราสักหน่อย ” หลูตงซิงเอ่ยปาก

 

” ได้เลย ! ” ใบหน้าเซอเจ๋อแสดงการดีใจขึ้นมาทันที อาหารไม่กี่อย่างพวกนี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีต้นทุนอะไรมากมาย ลูกหมูหันกับไก่ก็ล้วนเลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน ใช้เงินไปไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็นับว่าได้กำไรเกือบทั้งหมด !

เมื่อมองเซอเจ๋อที่จากไปด้วยความดีอกดีใจ หยางโปก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ถามเสียงเบาว่า ” ครอบครัวพวกเขาทำไมไม่เห็นจะเสียใจกันเลย ? “

ลัวย่าวหัวชะงัก หลูตงซิงกลับพยักหน้าแล้วพูดว่า ” เรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะพวกเขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ? “

” เป็นไปได้นะ ” ตาอ้วนหลิวพยักหน้า ” แต่ยังมีอีกอย่างที่น่าจะเป็นไปได้ เป็นไปได้ไหมว่าจื่อมู่ยังไม่ตาย ? “

 

” ไปไกลๆ เลย ! ” ลัวย่าวหัวกล่าว ” นายอย่ามาทำให้ฉันตกใจ สองวันนี้ฉันถูกทำให้ตกใจจนหัวใจรับไม่ไหวแล้ว ถ้าคนายทำฉันตกใจอีก ฉันจะยันเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ แล้วนะ”

หยางโปหัวเราะฮ่าฮ่า ” อย่าคิดมากเลย เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนั้นนายก็ได้รับการรับรองจากโรงพยาบาลไปแล้ว จะมีเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไง ? ฉันยังคิดว่าที่เถ้าแก่หลูพูดมีเหตุผลกว่า “

” เผ่านี้ลึกลับซับซ้อน ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าถึงตัวจะใส่ชุดเผ่าอี๋ แต่ในขนบธรรมเนียมมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกันนะ ? ” หลูตงซิงกล่าว

หยางโปมองไปทางหลูตงซิง หลูตงซิงขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปีขนาดนี้ ประสบการณ์ของเขาย่อมมากมาย และมองได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

 

” เอาล่ะ ไม่ต้องคิดแล้ว พวกเราค่อยๆ คิดไปก็แล้วกัน หวังว่าพิธีพรุ่งนี้จะได้ผล ” ตาอ้วนหลิวพูด ” แต่ว่าต้องจ่ายเงินสองแสนและสร้างโรงเรียนประถมนี่มันช่างทำให้คนปวดใจจริงๆ เลย “

คาดเดากันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายพวกเราก็ยังไม่เข้าใจเหตุผล เมื่อออกมาจากห้องข้างๆ พวกเราก็เห็นครอบครัวเซอเจ่อกำลังออกันอยู่ที่ห้องเล็กๆ ที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรีบร้อน ในนั้นมีห้องครัวเล็กๆ สร้างเอาไว้ห้องหนึ่ง พวกเขาหนึ่งครอบครัวห้าคน ทั้งแก่ทั้งเด็กออกันอยู่ในนั้น กำลังจุดไฟทำอาหาร

เป็นครั้งแรกที่หยางโปได้เห็นเมนูพิเศษของเผ่าอี๋ เขาเห็นพ่อของเซอเจ๋อเข้าไปในเล้าหมู แล้วก็เห็นเขาหิ้วลูกหมูตัวหนึ่งออกมาด้วยมือข้างเดียว ลูกหมูตัวเล็กมาก ดูแล้วหนักแค่ยี่สิบสามสิบชั่ง ชายชาวเผ่าอี๋ดูแล้วผอมดำ แต่กลับมีแรงมาก มือหนึ่งข้างเท้าหนึ่งข้างก็คุมลูกหมูเอาไว้อยู่แล้ว ส่วนอีกมือก็ถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้

 

จากมีดขาวออกมาเป็นมีดแดง เลือดหนึ่งสายทะลักกระเด็นตามคมมีด ก่อนเสียงร้องโหยหวนของลูกหมูจะดังตามมาติดๆ ชายเผ่าอี๋คนนี้ได้เชือดหมูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

น้องชายคนเล็กของเซอเจ๋อถืออ่างรองเลือดหมูอยู่ด้านหนึ่ง เลือดหมูไหลทะลักออกมา กระเด็นเปื้อนเขาทั้งตัว เขาขยับหลบ ในที่สุดเลือดหมูก็ไหลช้าลง

เซอเจ๋อถือมีดไปเชือดไก่หนึ่งตัว ไม่นาน ก็เอาไก่ที่ตายแล้วไปถอนขนในน้ำต้มเดือด ผ่าอกและท้องควักเอาเครื่องในออกมา

…….

ครอบครัวเซอเจ๋อวุ่นกับงาน หยางโปเห็นได้ว่าเบ้าตาพ่อแม่เซอเจ๋อแดงก่ำ แต่เด็กชายที่เล็กที่สุดในบ้านอายุยังน้อย จึงไม่ได้เศร้าเสียใจมากนัก ดวงตาของเขาจ้องมองหมูและไก่อยู่ตลอดเวลา และกลืนน้ำลายไม่หยุด

 

ลูกหมูเอามาย่าง ไก่ก็เอามาผัด หมูหนาวก็เป็นหมูเย็น เมนูนี้ทำเสร็จเอาไว้ก่อนแล้ว พอหั่นออกมาก็สามารถกินได้แล้ว

ทั้งหมดยุ่งจนถึงสี่ห้าโมงเย็น พวกหยางโปถึงได้กินข้าวเที่ยง

ลูกหมูย่าง ไก่ผัดพริกแห้ง ยังมีหมูหนาว ทั้งสามอย่างนี้ล้วนนับเป็นเมนูพิเศษ หลังจากทำเสร็จก็ยกมาขึ้นโต๊ะ เนื่องจากอากาศที่เฉียนโจวชื้น ดังนั้นจึงกินพริกได้มาก อาหารทั้งสามอย่างนี้ล้วนใส่พริก ดูแล้วสีแดงแจ๋ สีและกลิ่นครบถ้วน ทำเอาพวกเขาน้ำลายไหลอยากกิน

น้องชายของเซอเจ๋อยืนห่างออกไปไม่ไกล จับจ้องมาทางนี้ ทำให้พวกหยางโปยกตะเกียบขึ้นแต่กลับยากที่จะคีบอาหารกินได้

 

หยางโปลุกไปจ่ายเงินให้เซอเจ๋อ แล้วจึงดึงน้องชายอายุน้อยของเซอเจ๋อมาที่โต๊ะ ตอนนี้พวกลัวย่าวหัวทั้งสามคนก็กินจนเหงื่อท่วมหัวไปเรียบร้อยแล้ว

น้องชายเซอเจ๋อหันไปมองหยางโปแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทางพ่อแม่ ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถหนีความดึงดูดของอาหารเลิศรสไปได้ จึงลงมือกินคำใหญ่คำแล้วคำเล่า

อาหารทั้งสามอย่างล้วนมีรสเผ็ด แต่รสชาติยอดเยี่ยม แม้หลูตงซิงที่เคยกินมาก่อนแล้ว ก็ยังยกนิ้วมือให้เช่นกัน ” ดั้งเดิม ! นี่ถึงจะเป็นอาหารเลิศรสแบบต้นตำรับของเผ่าอี๋ ! “

ทั้งห้าคนกินราวหมาป่าขย้ำเสือกลืน ลูกหมูหนึ่งตัว ไก่สองตัว ยังมีหมูเย็นสองชุด พวกเขากินกันจนสะอาดเกลี้ยง !

 

หลังจากเช็ดมือแล้ว หยางโปถึงเพิ่งมีโอกาส เขามองไปทางน้องชายของเซอเจ๋อ ” เธอชื่ออะไร ? “

” เอ่อร์ป๋อ “

” เอ่อร์ป๋อ ? ” หยางโปพยักหน้า ” นานเท่าไหร่บ้านพวกเธอถึงจะกินเนื้อกันสักครั้งหนึ่ง ? “

เอ่อร์ป๋อชะงัก คิ้วตาลู่ลง หน้าแดงด้วยความอาย ” มีงานเทศกาลถึงจะได้กิน หมูพวกนั้นต้องขุนให้อ้วนแล้วเอาไว้ขาย ไก่ก็ต้องเอาไว้ออกไข่ ไม่ได้มีเอาไว้กิน “

ทั้งสามคนที่กำลังยุ่งกับการแคะฟันชะงัก หันกายมองมาทางด้านนี้ ลัวย่าวหัวไม่เคยพบความยากจนข้นแค้นพรรค์นี้ จึงเอ่ยปากถามว่า ” ปีหนึ่งมีเทศกาลกี่ครั้ง ? “

เอ่อร์ป๋อชะงักเล็กน้อย ยื่นมือออกมาชูนิ้ว ” สี่ครั้ง “

พอหยางโปได้ยิน ก็เจ็บแปลบที่ใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องของจื่อมู่ได้ เขาเงยหน้าถามว่า ” จื่อมู่พี่สามของนายหาเงินอยู่ข้างนอกตลอดเลยเหรอ ? เขาเคยส่งกลับมาที่บ้านบ้างไหม ? “