บทที่ 93 เรื่องราวของพวกเราเก็บไว้ในใจ

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

ควีนอธิบายอยู่ข้างๆว่า “ท่านประธานเทาเท่คะ หลินจือบอกว่าที่พยายามเลี่ยงไม่เจอหน้าคุณหรือมีการคลุกคลี เพราะไม่อยากให้คุณซูซีพุ่งเป้าเข้าอีก”

เทาเท่ได้ยินดังนั้นสีหน้าเขาก็หนักหน่วง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าที่หลินจือทำลงไปอย่างนี้ก็เพื่อตัวเธอเอง แล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิด

เขาคิดไปถึงคำพูดเมื่อคืนที่เรียวจิพูดว่าหลินจือรักเขาจริงๆ และคิดไปถึงประโยคพวกนั้นที่เธอเคยโพสต์ลงweibo ก็เกิดอาการร้อนใจ

ความกล้าเหล่านั้นของเธอแต่ก่อนล่ะ?

แต่ก่อนกล้าที่จะนั่งแท่นภรรยาเทาเท่ ตอนนี้ขนาดจะให้เจอหน้าเขาก็กลัวซูซีแล้วหรอ?

แต่ว่าเขาทำได้แค่ตอบกลับอย่างจืดชืดว่า “ผมรู้แล้ว”

หลังจากนั้นควีนก็ออกไปทำงาน เทาเท่เปิดกล่องออกก็เห็นการ์ดที่เขียนด้วยลายมือของหลินจือ

ภาษาที่ดูห่างเหินและเป็นทางการนั้นทำให้อารมณ์ของเขายิ่งแย่ เขามองปราดนึงแล้วก็โยนลงถังขยะไป

ปากกาเขาก็ไม่ได้ดู เพราะไม่มีอะไรให้น่าสนใจ ก็เป็นแบบเดียวกันที่เขาใช้ในชีวิตประจำวัน

แต่ว่าเทาเท่ยังคงส่งข้อความหาหลินจือว่าปากกาได้รับแล้วนะ ขอบคุณ

หลินจือที่ได้รับข้อความจากเขาก็ตอบกลับว่าหวังว่าคุณจะชอบนะคะ

เทาเท่ส่งเสียงหึ แล้วส่งข้อความตอบกลับไปต่อว่า คุณรู้มั้ยว่าผู้หญิงส่งปากกาให้ผู้ชายมันหมายถึงอะไร?

หลินจืองง นี่ยังต้องพิถีพิถันด้วยหรอเนี่ย?

เธอก็แค่เลือกๆแล้วส่งให้

ยังไม่ทันที่จะเข้าใจ ข้อความของเทาเท่ก็ส่งกลับมาอีก มันหมายถึง “เก็บเรื่องราวความรักของพวกเราไว้ในใจ”

หลังจากที่หลินจือได้อ่านแล้วก็มือสั่น จนโทรศัพท์นั้นเกือบตก

ไม่ใช่! เธอเปล่านะ!

เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอแค่อยากแสดงความขอบคุณก็เท่านั้น

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบตอบกลับเทาเท่ว่าฉันไม่มีเจตนาจะสื่อถึงความหมายนั้น ถ้าเกิดฉันไม่ระวังจนทำให้คุณเกิดความเข้าใจผิด ฉันก็ขอโทษด้วย คุณอย่าคิดจริงจัง

อารมณ์ของเทาเทเดิมทีก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว พอได้เห็นหลินจือตอบกลับมาอย่างนี้เขาก็ยิ่งโกรธ

เขาก็เลยโทรไปหาเธอ “เรียวจิพูดว่า ตอนที่คุณเรียนอยู่ที่มหาลัยก็รู้จักผมแล้วหรอ?”

เทาเท่อยากที่จะพูดว่ารักครั้งแรก แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดไม่ออกก็เลยเปลี่ยนเป็นคำว่ารู้จัก

หลินจือกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนขนลุกไปทั้งตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมเรียวจิจะต้องเล่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้วให้เทาเท่ฟัง เธอรู้แค่ว่าตอนนี้เธอไม่อยากที่เจอกับคำถามนี้

เธอก็เลยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินว่า “ฮัลโหล ฮัลโหล ท่านประธานเทาเท่คะ คุณพูดว่าอะไรนะคะ?”

หลังจากนั้นก็พูดกับตัวเองว่า “นี่โทรศัพท์ของฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมอยู่ดีๆสัญญาณก็ไม่มีสักแล้ว”

พูดกับตัวเองเสร็จเธอก็ถือโอกาสวางสาย

เทาเท่ “…….”

เขาเป็นตัวอะไรเนี่ย การแสดงโง่ๆของเธอยังจะหลอกเขาได้หรอ?

เธอก็แค่ไม่อยากตอบคำถามนี้ก็เท่านั้นเอง

แน่นอนล่ะว่า เขาก็จงใจที่จะบิดเบือนความหมายของของขวัญที่เธอส่ง เพื่อให้เธอเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ

หลังจากที่หลินจือวางสายเสร็จแล้วก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างๆ เหมือนว่ามันเป็นวัตถุความร้อนที่กำลังลวกมือ

เรียวจิเป็นอะไรมากเปล่าถึงได้พูดอย่างนั้นกับเทาเท่

โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง มีข้อความทักเข้ามา

ยังคงเป็นเทาเท่ส่งมาว่า ชาร์ลีและเรียวจิได้ออกจากเมืองเจสเวิร์ด คุณย้ายกลับไปได้แล้ว

หลินจือตะลึงงันอยู่สักพักไม่พูดอะไร

ชาร์ลีสองคนพ่อลูกไปแล้ว?

งั้นในที่สุดเธอก็หลุดจากความก่อกวนของพวกเขาแล้วน่ะสิ?

หลังจากที่หลินจือได้สติกลับคืนมาก็เข้าใจได้ทันทีว่าจะต้องเป็นเทาเท่ที่ไล่พวกเขาไป

ชาร์ลีสองคนพ่อลูกชอบข่มเหงรังแกผู้อื่น ถ้าไม่ใช่เทาเทที่เป็นคนที่มีอำนาจอิทธิพลบีบพวกเขา พวกเขาจะยอมปล่อยเธอไปได้ยังไง ถึงขนาดออกจากเมืองเจสเวิร์ด

หลินจือให้ฟุ้งซ่านนัก ครั้งนี้เทาเทช่วยเธอไว้หลายเรื่อง เกินความคาดหมายของเธอจริงๆ

ไล่ชาร์ลีสองคนพ่อลูกออกไป ทำให้โลกของเธอสดใสจริงๆ

เธอส่งข้อความกลับหาเทาเทอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ “ขอบคุณนะคะ”

ครั้งนี้เทาเทไม่ได้ตอบกลับหาเธออีก

หลังจากนั้นหลินจือก็โทรหานานิเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ก็รู้สึกว่าตัวเองให้แค่ปากกาด้ามเดียวกับเขา เหมือนจะไร้น้ำใจอย่างเห็นได้ชัด

ไม่รู้ว่าก่อนที่ชาร์ลีสองคนพ่อลูกจะถูกไล่ออกไป เธอรู้สึกว่าแค่ปากกาที่เป็นของมีค่าก็เหมาะสมอยู่แล้ว

นานิพูดหยอกล้อผ่านโทรศัพท์ว่า “เอาตัวเข้าหาสิ”

หลินจือพูดไม่ออก “เธออยากให้ฉันเอาหน้าเข้าไปใกล้เขาเพื่อให้เขาหัวเราะเยาะหรอ?

นานิพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เธอคิดเยอะเกินไปแล้ว ความหมายของฉันคือเอาตัวเข้าหาแบบไปนอนกับเขาแค่นั้น”

ครั้งนี้หลินจือพูดไม่ออกจริงๆ ในฐานะที่เป็นดารานักแสดงที่โด่งดัง พูดอย่างนี้ออกมาเหมาะสมแล้วหรอ?

นี่มันทัศนคติอะไรกัน!

นานิหัวเราะไม่หยุด แล้วจึงพูดอีก “ไฟล์ทบินฉันเย็นนี้ ตอนกลางคืนไปปาร์ตี้บ้านฉันกัน”

หลินจือก็ตอบรับ นานิก็ถอนหายใจพลางพูดว่า “ขอโทษที่ครั้งนี้เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ข้างๆเธอ”

หลินจือยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ฉันทนไม่ไหวซะหน่อย”

ตอนที่หย่านานิมาอยู่ข้างๆเธอก็เพียงพอแล้ว

ตอนนั้นเธอหมดอาลัยตายอยากจริงๆ ครั้งนี้เธอแค่ถูกยั่วให้รู้สึกโกรธแค่นั้นเอง ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย

ตอนกลางคืนควีนเลิกงานกลับบ้าน เห็นหลินจือเก็บข้าวของของตัวเองเรียบร้อย ควีนพูดอย่างเสียใจว่า “เฮ้อ ฉันยังไม่อยากให้เธอไปเลย”

หลินจืออยู่ที่นี่กับเธอได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง เธอทำใจไม่ได้ที่เธอจะไปเสียแล้ว

เทาเท่และหลินจืออยู่ด้วยกันมาสามปี ตอนที่หย่าร้างกัน ความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขาคงรับไม่ได้อยู่เหมือนกันหรอกนะ?

จริงๆแล้วความเคยชินเป็นเรื่องที่น่ากลัว เคยชินที่คนนึงอยู่ข้างกายและคนนั้นก็ต้องไป ต้องมีความแตกต่างอะไรบ้างแหละ

“ฉันก็อยากอยู่ต่อกับเธอนะ” หลินจือก็ชอบควีนเหมือนกัน ซาบซึ้งที่เธอให้อยู่ด้วยหลายวันที่ผ่านมานี้

หลินจือชวนควีนไปปาร์ตี้เล็กๆที่บ้านนานิด้วยกัน ควีนก็เห็นชอบด้วย

คนทั้งสองกลับไปที่ที่หลินจืออยู่รอบนึง ไปเอาข้าวของเธอไว้ที่นั่น แล้วไปบ้านนานิด้วยกัน

คนทั้งสามกินไปคุยไป ควีนพูดขึ้นแล้วชะงักหยุดไปช่วงนึงว่า “พ่อของซูซี…………คืนนี้นัดท่านประธานเทาเท่กินข้าว”

หลินจือก้มหน้ากินซุป ไม่ได้พูดต่อ

เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ

นานิส่งเสียงหึพลางพูดว่า “งั้นก็ดีแล้ว คงจะคุยเรื่องหมั้นหมาย คนที่รักกันย่อมลงเอยอยู่ร่วมกันในที่สุด ช่างดีเสียจริง”

นานิพูดออกมาอย่างนี้ แต่ในน้ำเสียงกลับกระแทกกระทั้น

เพียงแต่ซูซีไม่พุ่งเป้าไปยังหลินจือ นานิจะอวยพรให้เธอห่างกับเทาเท่จากใจจริง

“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ควีนอยากที่จะพูดว่าเทาเท่และซูซีอาจจะไม่ได้แต่งงาน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง

เห็นท่าทีของหลินจือและนานิดูเหมือนจะไม่เชื่อ

ตั้งแต่หลังจากครั้งที่แล้วเรื่องของรองผู้กำกับ เทาเท่ก็ไม่ได้สนใจซูซีอีก

ซูซีมาหาเทาเท่ที่ฟอเรนากรุ๊ปหลายครั้ง แต่เทาเท่ใช้ข้ออ้างที่ว่าไม่อยู่บริษัทเพื่อเป็นการเลี่ยงไม่เจอซูซี

ซูซีก็เคยโทรหาเธอกับจอห์น แต่ว่าเธอกับจอห์นเป็นคนสนิทของเทาเท่แน่นอนว่าจะต้องทำตามคำแนะนำของเทาเท่มาตอบเธอ

พ่อของซูซีคืนนี้นัดเทาเท่กินข้าว ควีนคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะแบไผ่ให้กับพ่อซูซี ไม่แต่งกับซูซี

ควีนมองหลินจือที่กินซุปอยู่ปราดนึง ถ้าเทาเท่กับซูซีขีดเส้นตายไว้จริงๆ เธอหวังว่าหลินจือยังจะกลับมาอยู่ข้างกายของเทาเท่ได้อีกครั้ง