เทาเท่ได้กินข้าวด้วยกันกับเบลซพ่อของซูซีจริงๆ ทั้งสองคนอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ทั้งระดับหรูและมิดชิด
เบลซดื่มสาเกไปจิบนึง แล้วมองไปทางเทาเท่ยิ้มอย่างสนิทสนม “ช่วงนี้ยุ่งอะไรอยู่หรอครับ ซีบอกว่าพวกคุณไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวันแล้ว”
ระหว่างคนแบบพวกเขา พูดอะไรไม่จำเป็นต้องเปิดเผยหมด แค่70%ของคำพูดก็พอแล้ว
เบลซไม่พอใจที่เทาเท่ปฏิบัติกับซูซีอย่างเย็นชา ไม่งั้นก็คงไม่มีวันนี้ที่เขาจะชวนเทาเท่มากินข้าวโดยเฉพาะหรอก
เทาเท่ก็เข้าใจในสิ่งที่เบลซกำลังถาม นัยน์ตานั้นก็มีความเอือมระอา
“ผมยุ่งทุกวันครับ” เขาตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้าย
เบลซวางแก้วเหล้าที่อยู่ในมือเขาลงแล้วมองไปที่เขา แล้วพูดต่ออย่างยั้งๆว่า “วัยรุ่น ยุ่งนั้นเป็นเรื่องดี”
“กลับไปผมจะไปพูดกับซีว่าผู้ชายน่ะ อายุคุณในตอนนี้ยังควรเห็นความสำคัญของงานไว้ก่อน การงานพุ่งทะยานไปข้างหน้าถึงจะมีความสามารถให้ชีวิตแก่หญิงคนรักได้ดียิ่งขึ้นไม่ใช่หรอ?”
หลังจากเบลซพูดจบก็ถอนหายใจอีก “แต่ว่าอายุของซีก็ไม่น้อยแล้วนะ ผมก็มีลูกสุดที่รักแค่คนเดียว ก็ยังคงหวังให้เธอรับแต่งงานออกไปมีชีวิตที่ลงหลักปักฐาน”
สีหน้าของเทาเท่นั้นเฉยเมย เขาวางตะเกียบลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเบลซที่อยู่ด้านตรงข้าม
เบลซเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญของเมืองนี้ ธนาคารการลงทุนจากต่างประเทศที่เขามีอยู่เป็นบุคคลผู้โดดเด่นของการเงินเมืองเจสเวิร์ด เขาเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภในอุตสาหกรรมต่างๆ
ไม่เพียงแค่นั้นเบลซยังมีความหมายที่แตกต่างออกไปต่อตระกูลฟอเรนา
ปีนั้นการนอกใจของไกอาพ่อเขา วุ่นวายมาก ได้ยินมาว่าเรื่องนี้เบลซออกหน้าช่วยเหลือจัดการให้
ส่วนที่ว่าปีนั้นตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เทาเท่ไม่ชัดเจน
ตอนนั้นเขาอายุสิบเจ็ดสิบแปด แล้วก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วย
เขารู้แค่ว่าตอนนั้นไกอาทำเพื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นเลยหย่ากับแม่ของเขา หลังจากที่เรื่องนี้ผ่านไปไกอาก็อยู่ต่างประเทศ
แม้ว่าจะไม่ได้หย่ากับแม่ของเขา แต่ก็ดูไปเหมือนจะสนิทกันดีแต่ความจริงไม่ใช่
ตอนแรกเทาเท่ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเบลซกับตระกูลฟอเรนา แต่หลังจากที่มาคบกับซูซี แม่ของเขาถึงบอกให้รู้
แต่ก่อนเขาก็ไม่รู้จักกับซูซีเขาไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว จนกระทั่งกลับมารับช่วงฟอเรนากรุ๊ป
แต่ซูซีกลับไปเรียนต่างประเทศตอนมหาลัย เรียนอยู่ไม่กี่ปีถึงกลับมา
การรู้จักของเขากับซูซีเกิดขึ้นหลังจากที่เขามาดูแลฟอเรนากรุ๊ปงานเลี้ยงบุญตอนเย็นในสักครั้งนึง ซูซีนั่งข้างๆเขา ตอนที่งานเสร็จ สายเดี่ยวที่ไหล่ของชุดราตรีของซูซีนั้นขาด เขาถอดเสื้อสูทมาคลุมปิดไว้ให้เธออย่างสุภาพบุรุษ คนทั้งสองจึงคุยกันมาตั้งแต่นั้น
หลังจากที่แน่ชัดความสัมพันธ์เขาพาซูซีกลับบ้าน วีนาถึงบอกให้เขารู้เรื่องที่เบลซช่วยตระกูลฟอเรนาไว้
ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ยังไงเขาก็ชอบซูซีมาก
จนกระทั่งช่วงนี้เขาเห็นว่าเรื่องที่เบลซได้ให้ความช่วยเหลือตระกูลฟอเรนานี้นั้นเป็นภูเขาที่บีบความสัมพันธ์ของเขาและซูซีอยู่
ถ้าเขายึดมั่นในความคิดตัวเองและปฏิเสธการแต่งงานกับซูซีจะต้องผิดใจกับเบลซแน่
แน่นอนล่ะว่าถ้าซูซีไม่อยากแต่งงานกับเขา เรื่องนี้ก็เป็นที่พอใจกันถ้วนหน้า
แต่ว่าสภาพของซูซีในตอนนี้ความคิดที่อยากจะแต่งงานกับเขานั้นมีเยอะมาก
แต่ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ตัดสินใจเอาไว้แล้ว
ดังนั้นเขาพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “คุณอาเบลซพูดถึงเรื่องการแต่งงาน ผมคิดว่า….ผมกับซีไม่ค่อยเหมาะสมที่เป็นสร้างครอบครัว”
“หี้ม?” ได้เจอกับคำตอบที่เขาพูดอย่างนี้ เบลซไม่ได้แสดงอาการโกรธหรือไม่พอใจออกมา
หลังจากที่ส่งเสียง “หื้ม” ออกมาอย่างเฉยๆแล้ว เขาก็พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกคุณมีความรู้สึกดีๆต่อกันมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรอครับ? ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมกะทันหันหล่ะ?”
เบลซเน้นคำว่า “กะทันหัน” ความหมายโดยนัยที่มีอยู่นั้นชัดเจน
เทาเท่เลยพูดว่า “ตอนที่คบกันไม่ได้ไตร่ตรองดูให้ดี คิดแค่ว่าชอบกันก็พอแล้วครับ”
เขาพูดมาถึงตรงนี้นัยน์ตาของเขาก็ดำดิ่งลงแล้วก็พูดขึ้นอีกว่า “อาจจะเป็นเพราะผมผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งนึง ผมรู้สึกว่าการแต่งงานมันซับซ้อนกว่าการคบหากัน หลังจากผมหย่าและได้ดูใจกับซี ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเราไม่เหมาะที่จะแต่งงานกัน”
สีหน้าของเบลซมีอาการโกรธอย่างชัดเจน และน้ำเสียงก็เข้มขึ้น “พูดอย่างนี้ คุณแค่อยากคบกับซี แต่ไม่อยากแต่งงานหรอ?”
เทาเท่คิดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ความหมายของผมคือซีมีค่าที่จะเจอผู้ชายที่ดียิ่งกว่า” ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือรักแต่ไม่อยากคบหา
ความจริงแล้วหลังจากที่เขาหย่ากับหลินจือ ระหว่างเขากับซีไม่เคยชัดเจนว่าคบหากัน
แต่เป็นซูซีฝ่ายเดียวที่เที่ยวประกาศความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง จริงๆแล้วพวกเขาแค่กินข้าวด้วยกันไม่กี่มื้อ เคยออกทำงานต่างจังหวัดด้วยกัน เคยเป็นคู่ออกงานตามงานเลี้ยงต่างๆเท่านั้นเอง
ซูซีเป็นศิลปินของฟอเรนากรุ๊ป ถึงขนาดเป็นพี่สาว เขาก็ต้องดูแลเธอ
หลายต่อหลายครั้งที่การเที่ยวประกาศนี้จะเป็นไปเพื่อให้ซูซียกระดับการพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ซูซีไม่มีผลงานออกมา
ตอนนั้นเขาสร้างฟอเรนากรุ๊ปเอนเตอร์เทนเมนต์เพื่อซูซี เพราะไม่พอใจที่พ่อบังคับให้เขาแต่งงานกับหลินจือเลยประชดด้วยการสร้างมันขึ้นมา แต่ว่าเขานั้นเป็นคนที่ทำอะไรแล้วมีจุดหมาย ในเมื่อก่อตั้งธุรกิจนี้มาแล้วก็จะพยายามให้ธุรกิจนั้นไปจุดสูงสุด
หลายปีที่ผ่านนี้เขาไม่เพียงแต่กอบซูซี แต่ยังกอบศิลปินคนอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย
ไม่เพียงแต่แค่ทำละครที่เกี่ยวกับซูซี ขอเพียงแค่หนังหรือละครรวมไปถึงรายการวาไรตี้ต่างที่เกี่ยวข้องที่นำกำไรมาให้ฟอเรนากรุ๊ป เขาก็จะผลิตออกมา
“ผมเข้าใจความหมายของคุณแล้ว” ถึงอย่างไรเบลซเป็นคนที่เจออะไรมาเยอะ ถึงเขาจะพูดอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร
เบลซก็ยกแก้วขึ้นพูดกับเขาว่า “มา พวกเรามาดื่มกันสักแก้ว ยังไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้มานั่งดื่มกันอีกเมื่อไหร่”
เทาเท่รู้ว่าเบลซไม่ยอมเลิกราแน่ แต่ว่าเขาก็ยังยกแก้วขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่สงบ “แค่คุณอยากดื่ม ก็เรียกผมได้ทุกเมื่อเลยครับ”
เบลซยิ้ม
หลังจากที่วางแก้วลงแล้ว เบลซก็พูดต่ออีกว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อคุณช่วงนี้เป็นอน่างไรบ้าง เดี๋ยวอีกไม่กี่วันผมจะไปออกทำงานต่างประเทศ พอดีจะได้ไปเจอเขาด้วย”
เทาเท่นัยน์ตาดำดิ่ง เบลซอยู่ที่นี่รอเขานะ
ออกไปหาพ่อเขาก็เป็นเพียงแค่อยากเตือนเขาว่าตระกูลฟอเรนาของพวกเขาติดหนี้บุญคุณเบลซไว้อย่างมาก เขาพูดว่าไม่เอาก็จะไม่เอาซูซีได้หรอ ความเมตตาอยู่ไหน?
แต่เขาตอบกลับอย่างแน่วแน่ว่า “คุณไปเยี่ยมเขา เขาน่าจะต้องดีใจมากแน่ๆ
ความหมายที่แฝงไว้อยู่ก็คือเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงความคิดด้วยน้ำใจนี้
แต่ไหนแต่ไรมา พ่อก่อหนี้ลูกเป็นคนรับกรรม เป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่ว่านั่นควรจะเป็นเรื่องการใช้คืนในรูปแบบของเงิน ไม่ใช่ชดใช้ด้วยการแต่งงานและความรู้สึกของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พ่อเขายังอยู่ดี เขาติดหนี้เบลซไว้เบลซ ไปทวงคืนกับพ่อของเขา
เบลซหรี่ตาผ่านเลนส์กรอบแว่นทอง ไม่ได้พูดอะไร แค่ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มอย่างสง่างาม
ในขณะนั้นโทรศัพท์ของเทาเท่ก็ดังขึ้น เขามองดูเบอร์ที่โทรมาก็พูดกับเบลซอย่างสุภาพว่า “ขอโทษนะครับคุณอาเบลซผมมีเรื่องต้องจัดการ ขอตัวนะครับ”
ส่งร้อยยิ้มที่เป็นมิตรให้กับเขา “ไปจัดการให้เรียบร้อยเถอะ”
เทาเท่ถือโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นยืน