โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.363 – เกาลี่ได้สติ

 

ร่างทดลองมนุษย์กลายพันธุ์จะถูกแบ่งระดับการทดลองแตกต่างกันไป เพราะสุดท้ายแล้ว ยีนที่ผสานเข้ากับร่างพวกเขา มันไม่เหมือนกัน

 

ไม่ว่าจะเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ที่เห็น , กลายสภาพเป็นสัตว์ร้ายเต็มรูปแบบ หรือเหมือนหลิงหวูยี่ที่ครอบครองความสามารถพิษ ทั้งหมดล้วนอยู่ในขั้นหนึ่ง

 

เนื่องจากทั้งหมดที่กล่าวมา ยังมีส่วนหนึ่งที่คงรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายเอาไว้ ซึ่งในบรรดาร่างทดลองของพวกเขา ในตอนนั้นหลิงหวูยี่คือร่างทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว

 

แต่หากมองรวมๆ ก็ยังถือว่าล้มเหลว

 

ทว่าปัจจุบัน การทดลองขององค์กร Z ดูเหมือนว่าจะก้าวหน้าไปอีกขั้น นั่นคือสิ่งที่หลิงหวูยี่เคยกล่าว –ระดับสอง!

 

ระดับสอง คือร่างทดลองมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังสามารถคงรูปลักษณ์ของมนุษย์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ สะกดข่มยีนสัตว์ร้ายไว้ภายใน ไม่เผยโฉมออกมา

 

เดิมฉินเฟิงจินตนาการไม่ออก ว่าระดับสองที่องค์กร Z ระบุเอาไว้นั้นเป็นอย่างไร แต่เมื่อได้เห็นหานน่วน เขาก็เข้าใจในที่สุด

 

ที่แท้ยีนที่ผสานลงไปก็เผยโฉมตนออกมาในรูปลักษณ์พลังงาน!

 

นี่เป็นเรื่องที่หากไม่ได้เห็นกับตา คงคาดเดาไม่ได้เลย

 

สำหรับผลงานขององค์กร Z ในครั้งนี้ ฉินเฟิงไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรหวาดกลัวหรือชื่นชมดี!

 

“คุณคิดว่าสามารถควบคุมพลังงานนี้ได้ไหม?” ฉินเฟิงถามย้ำ

 

หากมิอาจรักษาความเสถียร ร่างกายอาจมีโอกาสระเบิดตายได้ ในกรณีนี้ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับคนอื่นๆ รวมถึงตัวหานน่วนเอง

 

หานน่วนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันรู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้ จะให้อธิบายยังไงดี เอ่อ .. มันรู้สึกเหมือนกับอบิลิตี้นี้ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดเลย!”

 

อบิลิตี้ติดตัวมาแต่กำเนิด ก็เหมือนกับพลังดูดกลืนของฉินเฟิงเลยน่ะสิ

 

“นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าโชคแห่งการผจญภัย จู่ๆก็ได้รับอบิลิตี้ที่ทุกคนเฝ้าใฝ่ฝัน”

 

อบิลิตี้ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาจะครอบครอง

 

การได้ครอบครองอบิลิตี้ ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก และโอกาสในอนาคต จะรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัด

 

หากพลังนี้เสถียรมั่นคง ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าโชคหล่นทับหานน่วนแล้ว

 

“โชคแห่งการผจญภัย เมื่อได้มาแล้วต้องรอดชีวิตด้วยถึงจะดี แต่ตอนทุกคนกำลังจะตาย เพราะมีมิติปิดล้อมอยู่ด้านนอกนั่น เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่ต่างจากพิราบปีกหัก … ตกอยู่ในสภาพเต่าในไห!”

 

เฉินเซี่ยงขบกรามแน่น “มันเป็นใครกัน! ใครที่โหดร้ายถึงขนาดนี้ อำมหิตถึงขั้นทำลายปราการชาตง ไม่รู้หรือว่าถ้าไม่มีชาตงแล้ว สัตว์ร้ายในทะเลทรายทะเลเหนือ จะสามารถบุกเข้าถึงสี่เมืองทะเลเหนือได้ ถึงเวลานั้น คนบริสุทธิ์มากมายคงจบชีวิตลง!”

 

สถานที่แห่งนี้ที่รากฐานที่คอยปกป้องคุ้นจุนมนุษย์!

 

“ส่วนพวกเรา ก็กลายเป็นร่างทดลองของพวกเขา” ฉินเฟิงกล่าว

 

คนอื่นๆเงียบงัน

 

หานน่วนไม่เอ่ยปากอะไรอีก เธอได้รับความสามารถใหม่มาครอบครอง แต่แท้จริงแล้วนี่คือพรหรือคำสาป ยังยากที่จะล่วงรู้

 

“พักสมองกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเริ่มตรวจสอบกันอีกที ว่าจะออกไปได้ยังไง”

 

“ตกลง”

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาหลับพักผ่อนกันได้แค่ 4 ชั่วโมง ทั้งหมดก็ตื่นขึ้นมา เนื่องจากช่วงค่ำคืนพากันหลบหนีเป็นเวลานาน ทำให้ตอนนี้รุ่งอรุณได้มาเยือนแล้ว

 

“โอย … ” เสียงหนึ่งดังขึ้น พอทุกคนหันไปก็พบว่าเป็นเกาลี่

 

เขาได้สติแล้ว

 

“สหายเกา เป็นอย่างไรบ้าง?” เฉินเซี่ยงถามอย่างเร่งร้อน

 

“ฉันไม่เป็นไร” เกาลี่ปวดหัวแทบระเบิด รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน ภาพความทรงจำไม่ปะติดปะต่อ แต่เขาก็ยังจดจำได้ “มิสเตอร์ฉิน ฉันติดหนี้คุณอีกแล้ว”

 

หากฉินเฟิงไม่ยั้งมือ เกรงว่าเกาลี่คงตายจริงๆ

 

“ผมฉุกคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมา ว่าถ้าเกาลี่ฟื้นตัวได้ แล้วคนอื่นๆเล่า? คนอื่นๆเองก็น่าจะสามารถคืนสภาพเดิมได้เหมือนกันใช่ไหม?” ฉินเฟิงขมวดคิ้วใช้สมอง

 

อย่างในช่วงแรก ระหว่างงานสวนล่าใบไม้ผลิ เฉินหมิงถูกโจมตีจนเกือบตาย สุดท้ายสามารถกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ แต่ก็อย่างว่า เขาได้รับบาดเจ็บมากเกินไป ดังนั้นไม่สามารถช่วยเหลือได้

 

“แบบนี้ก็หมายความว่า คนอื่นๆยังมีโอกาสรอดน่ะสิ!” เฉินเซี่ยงเริ่มเกิดความหวัง

 

“อืม แต่คงต้องทดลองดูกันหน่อย”

 

หากปราการชาตงพินาศลงจริงๆ –พินาศในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเมือง แต่เป็นผู้คนที่คอยพิทักษ์มัน นี่ไม่เป็นผลดีสำหรับใครเลย ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือแผนขององค์กร Z และคนอย่างฉินเฟิงมีหรือจะยอมให้แผนของพวกมันประสบผลสำเร็จ?

 

ถึงจะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังวางแผนอะไร แต่อะไรที่ศัตรูคิดว่าไม่ดี ฉินเฟิงแน่นอนย่อมคิดเห็นในทางตรงกันข้าม!

 

หลังจากกินอาหารรองท้องเล็กๆน้อยๆ กลุ่มเฉพาะกิจของฉินเฟิงก็เริ่มวางแผน พวกเขาปล่อยเกาลี่ไว้เพียงลำพังเพื่อพักฟื้น ที่เหลืออีกห้าออกจากชั้นใต้ดิน

 

เมื่อทั้งห้าออกจากชั้นใต้ดิน ก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหวอย่างรุนแรงสะเทือนจากที่ไกลๆ

 

ฉินเฟิงและคนอื่นๆเร่งฝีเท้าตรงไปยังทิศทางของมันทันที

 

ไม่นาน ฉากหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา

 

ท่ามกลางซากปรักหักพัง ร่างที่ใหญ่โต ยาวกว่า 5 เมตร สูงกว่า 3 เมตร –เป็นหมูเขี้ยวดาบ กำลังขู่คำรามใส่คนกลุ่มหนึ่ง

 

และช่างบังเอิญซะจริง เพราะกลุ่มคนที่กำลังโดนไล่ขวิด แท้จริงแล้วเป็นหยานฟาง!

 

ผู้รอดชีวิตที่มารวมตัวกันกับหยานฟาง มีมากกว่า 50 คน เป็นเลเวล D 20 คน , ส่วนที่เหลืออยู่ในเลเวล E , มีเลเวล F เพียง2-3 คนเท่านั้น

 

เนื่องจากเป็นการรวมตัวกันกลุ่มใหญ่ ยามเผชิญหน้ากับหมูเขี้ยวดาบ เลยรับมือได้อย่างไม่ยากเย็น

 

ไม่นาน ร่างของหมูเขี้ยวดาบก็เต็มไปด้วยบาดแผล แข้งขาอ่อนเปลี้ย ทิ้งตัวลงกับพื้นมิอาจขยับกายได้อีก

 

“หยุดมือ!” เฉินเซี่ยงทนไม่ไหว ร้องตะโกน ก้าวเดินออกไป วาดมือสร้างกำแพงดิน

 

เคร้ง!

 

กำแพงดินผุดขึ้นมาบดบังคมมีดปลิดชีวิตของหยานฟาง แต่ก็ถูกเจาะทะลวงเข้าไปได้ทันที อย่างไรก็ตาม กำลังภายในที่อัดฉีดลงในมัน ถูกใช้ออกไปหมดแล้วตอนปะทะกำแพงดิน ดังนั้นถึงจะฟันโดนหมูเขี้ยวดาบ แต่ก็ไม่พอทำให้มันถึงตาย

 

ฝูงชนหันมองตามทิศทางเสียง ต่อมาดวงตาก็พลันเบิกโพลง

 

“สหายเฉิน ที่แท้นายก็ยังไม่ตาย!”

 

“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมนายถึงห้ามพวกเรา?”

 

ทุกคนมองเฉินเซี่ยงด้วยความสงสัย

 

ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงและคนที่เหลือก็เดินตามเฉินเซี่ยงออกมา หยุดยืนอยู่ข้างกันและกัน เมื่อเหล่าเลเวล D เห็นฉินเฟิง ดวงตาของทั้งหมดพลันเปล่งประกายสดใส

 

เพราะความแข็งแกร่งของฉินเฟิง เป็นที่ประจักษ์แล้วสำหรับทุกคน ราชันย์สัตว์ร้ายเขายังสังหารได้ นับประสาอะไรกับสัตว์ร้ายนายพลมากมายที่อยู่ที่นี่

 

“ผมมีเรื่องจะบอกทุกคน ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ พวกผมสงสัยว่าอาจเป็นการทดลองที่มนุษย์สร้างขึ้น และตอนนี้พวกเราทั้งหมดก็กำลังตกอยู่ในบ่วงกับดักของอีกฝ่าย”

 

กล่าวจบก็หันไปมองรอบๆ และพบว่าการแสดงออกของทั้ง 50 จากยินดีที่ได้เจอฉินเฟิง กลายเป็นหนักอึ้ง มีเพียงหยานฟางที่ยังสงบ

 

แน่นอน พวกเขาเองก็พอจะคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้ว

 

มิฉะนั้น คงไม่อาจยกเหตุผลอื่นมาได้ ว่าเหตุใดชาตงถึงล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน

 

“อีกอย่างนะทุกคน มนุษย์ที่เปลี่ยนร่างไปเป็นสัตว์ร้ายในตอนนี้ อาจจะเป็นสหายของพวกนายก็ได้ ฉะนั้นอย่าสังหารพวกเขาเลย เมื่อวานนี้เกาลี่ก็กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายเหมือนกัน แต่พอถูกฉินเฟิงควบคุมจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์! ดังนั้นพวกเราควรทดลองทำแบบเดียวกันดู บางทีอาจสามารถช่วยได้อีกหลายชีวิต!” เฉินเซี่ยงชักชวนคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่ได้ ทำแบบนั้นอันตรายเกินไป” หยานฟางย่นคิ้ว แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย

 

แนวสายตาของฉินเฟิงตกลงบนร่างของงหยานฟาง

 

แม้เขาจะไม่รู้ว่าหยานฟางมีความคิดอะไร แต่อะไรที่หยานฟางไม่ต้องการ ฉินเฟิงยิ่งรู้สึกว่ามันสมควรทำ

 

“มีผมอยุ่ทั้งคน ยังมีอะไรอันตรายอีก? ถ้าคุณไม่ต้องการ ก็มอบสหายกลายพันธุ์คนนี้ให้ผมเสีย” ฉินเฟิงชี้ไปยังหมูเขี้ยวดาบ

 

ฝูงชนมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าต้องตัดสินใจอย่างไรดี

 

ฉินเฟิงแสยะยิ้ม กล่าวต่อ “ พวกคุณคงไม่อยากเสียเวลา เพราะต้องการจะหนีออกนอกเมืองใช่ไหม? อย่าสิ้นเปลืองแรงอีกเลย เมื่อคืนนี้ผมลองแล้ว ทั่วทั้งชาตงถูกปิดกั้นโดยมิติ!”

 

“ว่ายังไงนะ!”

 

“เป็นฝีมือใครกัน”

 

“ทั้งหมดนี้ น่าจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแล้ว”

 

ทุกคนเริ่มขวัญกระเจิง

 

“พวกมันมีเป้าหมายอะไรกันแน่? ถึงได้ขังพวกเราเอาไว้ที่นี่ ให้อดตายแล้วฆ่ากันเองรึไง?”

 

ชายคนหนึ่งกล่าว ต่อมา ในหัวใจเขาคล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่าง เอ่ยปากต่อว่า “ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของมิสเตอร์ฉิน ไม่ว่ายังไงหมูเขี้ยวดาบตัวนี้ก็กลายพันธุ์มาจากมนุษย์ และฉันเชื่อว่าทุกคนไม่ได้ขาดแคลนวัตถุดิบในตอนนี้ ฉะนั้นปล่อยให้มิสเตอร์ฉินจัดการเถอะ ไม่งั้นจะกลายเป็นฆ่ากันเองโดยไม่ตั้งใจซะเปล่าๆ”

 

“อืม ถ้าทุกคนยังกังวล ฉันจะช่วยเฝ้าระวังมันให้เอง”

 

“ใช่ๆ รวมกลุ่มกันดีกว่า”

 

แม้ปากจะกล่าวเช่นนั้น แต่อันที่จริงทุกคนกำลังมองมาทางฉินเฟิง

 

เพราะท่ามกลางฝูงชนในปัจจุบัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉินเฟิงคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด

 

ถึงจะไม่รู้ว่าฉินเฟิงคิดถูกหรือไม่ แต่หากอยู่กับเขา อย่างน้อยสามารถรับประกันความปลอดภัยได้