บทที่ 237 สาเหตุการตาย นี่เป็นการฆาตกรรม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ



แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยังไม่โด่งดังเท่าไหร่ แต่ซูเหวินหางก็ชื่นชมนางอย่างมาก “พี่สาวเฟิ่งเก่งมาก ห้ามหัวเราะเยาะพี่สาวเฟิ่ง”

ซูเหวินหางถือเป็นแฟนตัวยงของเฟิ่งชิงเฉิน และเขาไม่ยอมให้ตี๋ตงหมิงพูดถึงเฟิ่งชิงเฉินด้วยน้ำเสียงที่ล้อเลียน แม้ว่าเขาจะเป็นซื่อจื่อก็ตาม

ตี๋ตงหมิงก้มศีรษะลงและบีบใบหน้าของซูเหวินหาง: ” เจ้าเชื่อนางมากเช่นนี้เชียวรึ?”

ซูเหวินหางโกรธเคือง แต่เมื่อเทียบร่างเล็กๆ ของตนกับร่างใหญ่โตของตี๋ตงหมิงแล้ว ซูเหวินหางกัดฟันแน่นและเก็บมือกลับมา “หากว่าพี่สาวเฟิ่งอยากจะทำ ต้องทำได้อย่างแน่นอน”

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนี้ นางยิ้มอย่างสดใส นี่เป็นการชื่นชอบแบบไม่ลืมหูลืมตานี่นา แต่นางมีความสุข

ซูเหวินหางเป็นคนที่สองที่เป็นเช่นนี้ ส่วนคนแรกคือซุนซือสิง

เฟิ่งชิงเฉิน ตรวจสอบหูและจมูกของศพก่อนไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงถอดเสื้อส่วนบนของศพออก ส่วนผ้าส่วนล่างนั้นยังคงใส่อยู่ปกติ นางวางแผนเอาไว้ว่า จะตรวจสอบร่างกายส่วนบนเสียก่อน หากไม่พบสิ่งผิดปกติ แล้วจึงจะเช็กส่วนล่างต่อ

เพราะสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้ในร่างกายส่วนล่างนั้นมีน้อย อีกอย่างมีจุดซ่อนเร้น เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ตนนั้นแปลกและแตกต่างจากผู้คนที่นี่ไปมากแล้ว หากว่าสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็พยายามหลีกเลี่ยง

เฟิ่งชิงเฉินประสานมือและโค้งคำนับศพสามครั้ง

ความตายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งนี่ถือเป็นการเคารพผู้ตาย และแพทย์นิติเวชทั่วไปก็จะทำเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่นักโทษประหารที่ชั่วร้าย และการที่ต้องผ่าศพชันสูตรนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำเพื่อหาฆาตกรตัวจริงที่สังหารผู้ตาย

เฟิ่งชิงเฉินถือมีดผ่าจากคอของเขาลงมาโดยตรง โดยไม่ลีลา นางลงมือได้อย่างเด็ดขาดไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ราวกับกำลังหั่นเนื้อหมู

“โอ๊ก…” เซี่ยซานและหวังชีคิดว่าตนนั้นกล้าหาญอย่างมากแล้ว และพวกเขาก็ผ่านเลือดผ่านเนื้อมาไม่น้อย แต่ในขณะนี้พวกเขาสีหน้าขาวซีด เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินผ่าศพราวกับกำลังหั่นหมู

ใต้เท้าเว่ยค่อนข้างสงบนิ่ง เขาดูการชันสูตรเป็นเรื่องปกติในทุกๆ วัน เขาคุ้นชินกับมันแล้ว และกล้าหาญขึ้นมาก สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือซูเหวินหาง ซึ่งเขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในนี้ แต่กลับกล้าหาญยิ่งกว่าใครๆ

“พี่ใหญ่ อุ้มข้าขึ้นไปหน่อย ข้ามองไม่เห็น” เตียงชันสูตรสูงมากแต่เขาตัวเตี้ย

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินทุ่มเทในการทำงาน นางจะไม่สนใจคนอื่น หลังจากเปิดช่องท้องแล้ว นางได้เผยอวัยวะภายในของผู้ตายให้ทุกคนเห็น เมื่อทำเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นเลย นางดูจริงจังและเคร่งขรึม ซึ่งมิอาจคิดว่านางเป็นคนผ่าช่องท้องเอง

เฟิ่งชิงเฉินตรวจเช็กดูจากภายนอก ไม่มีสัญญาณของการถูกวางยาพิษในอวัยวะ ในลำคอและกระเพาะอาหารก็ไม่มีเช่นกัน

“เอากะละมังและถ้วยมาสักสองสามใบ” เฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนมีดผ่าตัดเป็นเบอร์ขนาดเล็ก และถือคีมเล็กๆ ไว้ในมือซ้าย ค่อยๆ ลอกเยื่อหุ้มและหลอดเลือดบนอวัยวะออกอย่างระมัดระวัง

ครั้งที่แล้วเฟิ่งชิงเฉินแค่ผ่าศพ มิได้เอาอวัยวะภายในออกมาทีละชิ้น คราวนี้นางเอาอวัยวะทั้งหมดในร่างกายออกมาและเตรียมตรวจดูทีละส่วน เพราะนี่ไม่ใช่การผ่าตัดให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่ซุนเจิ้งเต้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินทำเช่นนี้ และยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหลงมากขึ้นเท่านั้น

สีหน้าของตี๋ตงหมิงและคนอื่นๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ไม่มีใครอยากกะพริบตาเลย

เฟิ่งชิงเฉินมากความสามารถอย่างมาก ไม่คาดคิดว่านางจะสามารถนำหัวใจ ปอด และอวัยวะส่วนอื่น ๆ ออกมาทีละส่วนได้โดยไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งชิงเฉินนำอวัยวะต่างๆ ใส่ลงในอ่างตามลำดับ

“ที่แท้แล้วการชันสูตรศพก็สามารถทำได้สะอาด ดูดี เป็นระเบียบ เคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้เหมือนกัน”

เมื่อยืนอยู่หน้าเตียงชันสูตรศพ คนอื่นเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉิน และทุกคนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับการชันสูตรศพระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ พบว่าการชันสูตรศพของเจ้าหน้าที่นั้นไม่เหมือนการชันสูตรเลย เหมือนลงมือทำชุ่ยๆ เสียมากกว่า

งานชันสูตรศพในสมัยโบราณนั้นถือเป็นงานที่ต่ำต้อย เว้นแต่คนจะไม่หาเลี้ยงชีพตนได้เท่านั้นที่จะทำ คนส่วนใหญ่จะไม่ทำงานนี้ เพราะอยู่กับศพทุกคนวัน จึงไม่มีใครมีความสุขกับงานนี้เท่าไหร่

แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับทำให้คนดูรู้สึกแตกต่าง เฟิ่งชิงเฉินวางอวัยวะราวกับกำลังจัดดอกไม้ ทำให้คนดูไม่อยากจะละสายตา และไม่รู้สึกว่ามันต่ำต้อยหรือสกปรกเลย

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินนำอวัยวะทั้งหมดออกมา นางใช้หลอดทดลองดึงสารตกค้างออกจากลำคอและกระเพาะอาหาร แล้วเทลงในชาม แม้แต่อาหารที่ไม่ได้ย่อยก็ไม่เว้น

ทุกคนดูแล้วรู้สึกคลื่นไส้อย่างมาก แต่ก็ชื่นชมเฟิ่งชิงเฉินที่ได้ทำสิ่งที่แม้แต่ชายหนุ่มก็ทำไม่ได้

เฟิ่งชิงเฉินวางมีดผ่าตัดลงและเริ่มตรวจอวัยวะแต่ละส่วน ตามหลักแล้วสิ่งเหล่านี้ควรได้รับการตรวจสอบด้วยอุปกรณ์พิเศษ แต่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะของนาง แม้ว่าจะมีแต่นางก็ไม่สามารถเอามันออกมาได้

ด้วยความที่เขาเพิ่งตาย อวัยวะในร่างกายของเขายังไม่เน่าเสีย เมื่อดูผิวเผินแล้วไม่มีร่องรอยของการถูกวางยาพิษเลย เพื่อความแม่นยำ เฟิ่งชิงเฉินได้ใช้เข็มเงินในการลองว่ามียาพิษหรือไม่

สารพิษในสมัยโบราณส่วนใหญ่มีกำมะถันและซัลไฟด์ เข็มเงินเมื่อสัมผัสกับสารเหล่านี้ จะทำให้สาร “ซิลเวอร์ซัลไฟด์” สีดำจะก่อตัวขึ้นบนเข็ม ส่วนมากสามารถทดสอบสารพิษได้ เฟิ่งชิงเฉินหยิบเข็มเงินออกมา แล้วแทงเข้าไปตรงกลางหัวใจ เมื่อแทงเข้าไปแล้ว หยุดอยู่2-3วินาทีจากนั้นดึงเข็มออก พบว่าตัวเข็มสะอาดใหม่เช่นเดิม

เฟิ่งชิงเฉินใช้ผ้าขาวสะอาดเช็ดเข็มเงินให้สะอาด จากนั้นจึงตรวจตับ ปอด และอวัยวะอื่นๆ ให้เสร็จ

“การดูเฟิ่งชิงเฉินทำงานเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินอย่างมาก” ตอนนี้เซี่ยซานและหวังชี ซูเหวินชิงต่างก็ได้สติคืน เมื่อมองไปที่ร่างกายของศพ ที่เฟิ่งชิงเฉินได้เอาอวัยวะออกมาทั้งหมดแล้ว พวกเขามิได้กลัวมันมากขนาดนั้น เพราะพวกเขามองจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน

“ที่แท้แล้วกายวิภาคศาสตร์เป็นเช่นนี้เองหรือ ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วล่ะวันนี้” ตี๋ตงหมิงแอบชื่นชมและตัดสินใจว่าต่อไปจะกลั่นแกล้งเฟิ่งชิงเฉินน้อยลง

“พี่สาวเฟิ่งเก่งเสียจริง” ซูเหวินหางตื่นเต้นอย่างมาก หากเขาไม่พูดคำว่า “พี่สาว” เฟิ่งชิงเฉินจะกลายเป็นพี่ใหญ่เฟิ่งทันที

ไม่มีสัญญาณของโรคหรือพิษในแต่ละอวัยวะ เฟิ่งชิงเฉินไปตรวจสอบของเหลวที่นำออกจากลำคอและกระเพาะอาหารตามลำดับและไม่พบปัญหาใดๆ

“ไป หาสุนัขมาสองตัว” มียาและอาหารบางชนิดที่เข้ากันไม่ได้ แม้ว่าพวกมันจะไม่เป็นพิษ แต่ก็อาจถึงตายได้ เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจสิ่งนี้

หยุนไห่รีบสั่งให้คนนำสุนัขมาสองตัวอย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิงเฉินให้พวกเขาผสมของเหลวลงในอาหารสุนัขแล้วนำไปให้สุนัขกิน

“คุณหนูเฟิ่ง ทำเชื่อนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ?” หยุนไห่ถามหลังจากเห็นว่าสุนัขทั้งสองกินจนจะหมดแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยืนสังเกตอาการอยู่ตรงนั้น จากนั้นจึงถามว่า

“เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของผู้ตาย เขาเสียชีวิตด้วยพิษ ข้าได้แยกอวัยวะภายในของผู้ตายออกทีละส่วนแล้วตรวจสอบ แต่ไม่พบร่องรอยของสารพิษเลย

ยาบางชนิดไม่เข้ากันกับอาหารบางชนิด นี่เป็นอาหารที่เหลือในท้องของผู้ตายและข้าได้นำมันออกมา หากสุนัขกินเข้าไปแล้วตาย ก็หมายความว่าอาหารที่คนตายกินนั้นไม่เข้ากับยา จึงทำให้เสียชีวิต แต่หากสุนัขกินแล้วไม่เป็นกระไร นั่นหมายความว่าสาเหตุการตายของผู้ตายไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กินเข้าไป” อย่างไรก็ตามนางไม่ใช่แพทย์นิติเวชมืออาชีพ นางจึงต้องใช้วิธีการที่โง่ที่สุด

หยุนไห่พยักหน้าเห็นด้วย ไม่น่าแปลกใจที่ซุนเจิ้งเต้าให้เขาเชิญเฟิ่งชิงหลิงมา แม่ว่าแม่หญิงนี้อายุยังน้อย แต่ว่านางมีความสามารถด้านการรักษาที่ยอดเยี่ยม วิธีการชันสูตรของนางดีกว่าวิธีของเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพอย่างมาก

“คุณหนูเฟิ่งพูดถูก แต่หากตายเพราะยากับอาหารเข้ากันไม่ได้ แล้วเหตุใดบนใบหน้าของผู้ตายจึงมีลักษณะคล้ายกับถูกวางยาพิษ” ใต้เท้าเว่ยออกมากล่าว เพื่อทำหน้าที่ของตน

สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้เกิดความสงสัย ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพได้กล่าวว่า ผู้ตายมิได้เสียชีวิตเพราะถูกวางยาพิษ แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานยืนยัน

เฟิ่งชิงเฉินสามารถหาหลักฐานยืนยันได้ว่าผู้ตายมิได้ตายเพราะยาพิษ แต่ไม่สามารถหาสาเหตุการตายได้

เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว เหลือบมองดูศพที่นางกลวงอวัยวะภายในออกมาจนหมด และส่ายหัว “ข้าไม่ทราบเช่นกัน รอไปก่อนเถิด หากว่าสุนัขกินแล้วไม่มีปัญหาใด ข้าจะชันสูตรต่อไป ศพพูดได้เช่นกัน และเขาจะบอกให้ความคับข้องใจของเขาให้ข้าฟัง”

นี่คือสิ่งที่รุ่นพี่ของนางพูดทุกวัน แพทย์นิติเวชต้องพูดแทนผู้เสียชีวิต และในเมื่อนางรับหน้าที่เป็นหมอนิติเวชชั่วคราว เช่นนั้นนางก็จะทำให้ดีที่สุด!