บทที่ 84 ผู้ชายที่ใจแคบและหน้าเนื้อใจเสือ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เสียงหัวเราะของ ออกัสนั้นมีเสน่ห์และนุ่มนวล จากแก้มของเขาจนไปถึงคิ้วนั้นหล่อเหลาและสง่างาม

“……”งามล่มเมือง เขาคิดว่าเขาเป็นสาวงามที่ทำให้บ้านเมืองล่มจมได้อย่างนั้นหรอ? ไร้ยางอายสิ้นดี!

“อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่างามล่มเมืองเป็นคำที่ใช้พรรณนาผู้หญิงน่ะ?”

“ไม่รู้สิ แต่เอามาใช้เรียกผู้ชายก็ไม่เลวนะ ได้เห็นความงามเพียงหนึ่งครั้ง ก็ผิดพลั้งตลอดไป ว่าไงครับ คุณหญิงเชอร์รีน?”

“……”มีการชมตัวเองแบบนี้ด้วยแฮะ?

ยืนอยู่ที่ประตู เคาะประตู คนที่มาเปิดประตูเป็น ทับทิม เมื่อเห็นออกัสก็ตะโกนเรียกไปทางห้องรับแขกว่า “พ่อแม่ น้องเขยมา”

ได้ยินแบบนั้นเชอร์รีนก็มองไปที่ ทับทิม ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

แต่ ทับทิม ก็ไม่ได้สนใจ กลับยิ้มแย้มไปรับของจากมือของออกัส แถมเรียกน้องเขยไม่ได้หยุด สนิทสนมกันซะไม่มี

เดินเข้าไป จักรกฤษกับกนกอรก็กำลังจัดห้อง เมื่อเห็นทั้งสองคน ก็หยุดมือลง

“มาแล้วสินะ……”

จักรกฤษผ่านเชอร์รีนไปก่อน จากนั้นก็มองไปทางออกัสทักทายอย่างยิ้มแย้ม เพียงแต่ว่ายังมีความไม่เป็นธรรมชาติอยู่

กลับกันออกัสเป็นกันเองมาก เปิดกว้างอย่างสง่างาม ทักทายอย่างมีมารยาท “พ่อครับ แม่ครับ”

ปกติแล้วก็จะได้เห็นคนใหญ่คนโตแบบนี้แต่ในโทรทัศน์เท่านั้นแหละแต่นี่มายืนอยู่ตรงหน้า ก็ต้องทำตัวไม่ถูกกันบ้าง

กนกอรตอบรับ ยิ้มให้ทั้งสองคนนั่งลง

ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกเขยตัวเอง แต่นี่ก็เป็นการเจอกันครั้งที่สองเท่านั้น จะให้เป็นกันเองมาก ก็ยังทำไม่ได้

สองสามคนนั่งอยู่บนโซฟา นอกจากยิ้มอย่างไม่เป็นตัวเองแล้ว ก็ไม่รู้จะหาอะไรพูดคุยกัน

ออกัสก็สังเกตเห็นเองว่า รอบๆห้องนั่งเล่น ที่เดินผ่านมาก็มีแต่ของที่ระลึกวางไว้ตามที่ต่างๆ ยิ้มเบาๆแล้วถาม “พ่อกับแม่ชอบท่องเที่ยวหรือครับ?”

คำถามนี้พูดได้ตรงใจของจักรกฤษพยักหน้าแล้วพูดด้วยความกระตือรือร้น “พวกเราชอบท่องเที่ยวที่สุด โดยเฉพาะไปเที่ยวกันเอง ไปดูที่ต่างๆให้ทั่วน่ะ……”

เมื่อมีหัวข้อพูดกันแล้ว การสนทนาก็ตำเนินต่อไม่ได้หยุด พูดถึงเรื่องสนุกๆที่เกิดขึ้นระหว่างการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่ทั้ง จักรกฤษและกนกอร หลงไหลมาตลอด

ทั้งสองคนค่อยๆอายุมากขึ้นแล้ว มักจะชอบไปเที่ยวที่ธรรมชาติ แต่ว่าที่บ้านกลับไม่มีใครฟังเรื่องสนุกๆในตอนท่องเที่ยวของพวกเขา ทุกคนยุ่งกับการทำงาน ตอนนี้มีคนตั้งใจรับฟัง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสุดๆ

ความไม่คุ้นเคย ทำตัวไม่ถูก ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าหายไปตอนไหนกัน

เรื่องสนุกที่ว่านั้น เชอร์รีนฟังสามรอบก็ไม่อยากฟังแล้ว ไม่มีความสนใจอยากจะฟังอีกต่อไป

ก็ยิ่งไม่สนใจ นั่งฟังอย่างน่าเบื่อ สายตาจะมองไปที่ชายหนุ่มเป็นระยะ จากนั้นก็งุนงงอยู่ครู่หนึ่ง

จักรกฤษกับกนกอรผลัดกันพูด เธอว่าคำ ฉันว่าคำ พูดกันไม่ได้หยุด

และร่างยาวของออกัสก็นั่งตัวตรงอยู่อย่างนั้น ตั้งใจฟัง หัวเราะเป็นครั้งคราว ในมือก้ถือถ้วยน้ำชาอยู่ จิบเป็นระยะ

เชอร์รีนมองไปที่เขา ขมวดคิ้ว มุมปากกลับยิ้มขึ้น เขาตั้งใจฟังจริงๆ

ช่วงเวลานั้นเอง บรรยากาศก็ค่อยๆคุ้นเคยขึ้นมา บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะคิกคัก

เหลือบมองดูเวลากนกอรก็ลุกขึ้นมา รอยยิ้มเต็มหน้า “ฉันไปทำอาหารเที่ยงก่อน”

ในเวลาอันสั้น ความประทับใจที่มีต่อออกัสในใจของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ความสุขก็ค่อยๆเข้าไปอยู่ในใจเธอ

ได้ยินแบบนั้น เชอร์รีน ก็ลุกขึ้น “ฉันไปช่วย”

“ไม่ต้อง ลูกนั่งอยู่กับพวกเขานี่แหละ แม่ทำคนเดียวได้ ”กนกอรปัดมือให้เธอ กลัวว่าเธอออกจากตรงนี้แล้ว จะเงียบลง

ออกัสมองเห็นแววตานั้นมองมาทางนี้ เขาจึงมองไปทางออกัสขยับริมฝีปากบาง พูดด้วยเสียงต่ำ “พวกเรายังคุยกันสนุกเลยครับ ให้เชอร์รีนไปช่วยแม่……”

ยิ้มตอบ กนกอรพูดรับ “ก็ได้จ่ะ”

“……”เชอร์รีน。

สายตาจ้องมองไปที่หญิงสาวที่ทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะริมฝีปากบางของออกัสขดขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มแฝงด้วยความขี้เล่น

เห็นแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องเขาไปหลายที ตอนนี้เขาได้ใจมากใช่ไหม?

ในห้องครัว

กนกอรคัดผักพลาง แหงนตัวมองไปทางห้องรับแขกพลาง ลูกเขยคนนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งชอบใจ

เชอร์รีนกำลังล้างข้าวอยู่ ก็สังเกตได้ถึงพฤติกรรมของเธอ พูดด้วยความประหลาดใจ “แม่ นี่แม่ทำอะไร?”

“มองลูกเขย”กนกอรยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าลูกสาวแม่จะตาดีแบบนี้!”

“……”คิ้วของเธอกระตุกขึ้นเล็กน้อย

“จริงด้วย ปกติแล้วลูกเขยชอบกินอาหารอะไร? ”

เชอร์รีนยิ่งหมดอารมณ์ขึ้นไปอีก “แม่ เปลี่ยนชื่อเรียกหน่อยได้ไหม?”

“แกจะยุ่งเรื่องฉันเยอะทำไมเนี่ย ฉันว่าเรียกแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ยังไม่บอกเลยว่าเขาชอบกินอะไรน่ะ แม่จะได้เตรียมไว้”

“ไม่รู้”เธอไม่เงยหน้าเลย

ได้ยินแบบนั้น ก็หยุดมือ ถาม “การกระทำของลูกเขยแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนมีการศึกษา พ่อแม่ของเขาก็ดีมากๆเลยใช่ไหม?”

เชอร์รีนก็ยังก้มหน้าล้างข้าวอยู่ ตอบแบบผ่านส่ง “ก็ประมาณนั้น”

สุนันท์อยู่ข้างนอกกับคนอื่นทำตัวมีการศึกษาหรือไม่มีเธอไม่รู้ แต่ ตอนที่อยู่ตรงหน้าเธอ เรียกไม่ได้เต็มปากว่ามีการศึกษา

สำหรับสิงหา รู้สึกกันผิวเผิน ความสัมพันธ์ไม่ได้ลึกซึ้ง ไม่รู้

กนกอรชี้นิ้วไปที่หน้าผากเชอร์รีน“ท่าทีอะไรของลูกเนี่ย จริงจังหน่อยได้ไหม?ตระกูลเป็นตระกูลใหญ่มีหน้ามีตาของเมือง มารยาทการศึกษาต้องสูงอยู่แล้วแหละ ฉันถามแบบนี้ก็ถามไม่เข้าเรื่อง แต่ว่าพวกเขามารยาทดีแบบนี้แม่ก็โล่งใจไป อย่างน้อยก็รับมือได้ไม่ยาก ความขัดแย้งปัญหาแม่สามีลูกสะใภ้ก็อาจจะน้อยลง”

“แม่ แน่ใจนะว่าจะพูดแบบนี้ไปเรื่อยอะ?ข้าววจะสุกแล้วเนี่ย ”เชอร์รีนตั้งใจเปลี่ยนเรื่องคุย

“เอ้อ สมองฉันเนี่ย มัวแต่คุย ลืมเรื่องสำคัญไปเลย”

อาหารร้อน อาหารเย็น ซุปไก่ ซุปปลา กนกอรงัดทุกอย่างออกมาทำ

เชอร์รีนไม่รู้จะทำอย่างไร อยากจะห้ามเธอไว้ ข้าวมื้อเดียวทำเยอะขนาดนี้ จะวางหมดไหม?

แต่ กนกอรไม่ได้สนใจเธอ กลัวว่าจะเป็นการละเลยออกัส หรือว่าดูแลได้ไม่ทั่วถึง

ตอนอยู่บ้านตัวเอง เขาต้องกินแต่ของดีๆมีประโยชน์แน่ๆ อาหารอันโอชะจากทั่วสารทิศ ของพวกนั้นเธอไม่มี แล้วจะไม่ทำอาหารเยอะได้ยังไงล่ะ?

หลังจากเริ่มกินอาหาร กนกอรก็มองท่าทีของออกัสกลัวว่าจะไม่ถูกปากเขา

เห็นตะเกียบในมือของออกัสขยับ แค่กินของยังสง่างามขนาดนี้ ได้เห็นก็ประทับใจ

ชิมซุปไก่ อยู่ตรงหน้ากนกอร เขาก็เอ่ยปาก “ฝีมือทำอาหารของเชอร์รีนที่แท้ได้มาจากคุณแม่นี่เอง”

ได้ยินแบบนั้นกนกอร ก็เบิกตากว้าง “เคยกินอาหารที่เชอร์รีนทำหรอ?”

“ตอนกลางคืนที่กลับจากบริษัทไปถึงบ้าน ผมมักจะขอให้เชอร์รีนทำบะหมี่ให้กิน แต่ว่า……”ออกัสหยุดพูดไป มุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เวลาที่เธออารมณ์ไม่ดี ก็มักจะปฏิเสธครับ……”

“……”ที่เขามาวันนี้ก็เพื่อแบล็คเมล์เธอหรอ?

เป็นไปตามคาดกนกอรขมวดคิ้ว สั่งสอนเชอร์รีนต่อหน้า “ต่อไปแกกล้าทำอีกก็ลองดู!”

จักรกฤษก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย “ใช่ นิสัยแบบนี้ต้องแก้นะลูก”

เธอโกรธอยู่ในใจ ที่ใต้โต๊ะ เชอร์รีนเหยียบลงไป ตั้งใจเหยียบเท้าของออกัส