ภาคที่ 2 บทที่ 158 การประลองครั้งที่ 2

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 158 การประลองครั้งที่ 2

หลังจากเท้าแตะพื้น หวังโต้วซานก็ถอนหายใจยาว

พลังที่พลุ่งพล่านในร่างเริ่มสงบลง หวังโต้วซานรู้สึกว่าตนอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

อาการเช่นนี้ไม่ใช่ผลข้างเคียงของยาเพิ่มกำลังแต่อย่างไร หากแต่เป็นเรื่องที่เขายังไม่คุ้นชินกับความรู้สึกที่ต้องสูญเสียความแข็งแกร่งตนเองไปอย่างฉับพลันเช่นนี้ต่างหาก

ยามมีพลังกล้าแข็งนั้นช่างรู้สึกดียิ่ง !

เขาเดินไปกี่ก้าวก็ไปถึงข้างร่างเฟ้ยลาหลัวที่นอนแผ่อยู่

เฟ้ยลาหลัวยังหายใจ หากแต่วิชาต้องห้ามกำลังจะหมดลง พลังชีวิตของเขาเริ่มเบาบางลงเรื่อย ๆ

“เจ้าชนะ” เฟ้ยลาหลัวเอ่ยคั่นเสียงหายใจแรง น้ำเสียงเจือแววผิดหวังและเคืองแค้นใจ

“ชัยชนะเช่นนี้ไม่นับ เดิมทีข้าอยากต่อสู้กับเจ้าโดยใช้กำลังของตัวข้าเองเท่านั้น แต่โชคร้ายที่อย่างไรก็ถูกบีบให้ต้องใช้ยาเพิ่มกำลัง” หวังโต้วซานตอบ

ซูเฉินได้ตระเตรียมยามาให้เขาเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้โดยเฉพาะ โดยพวกมันนับเป็นไพ่ตายของเขา

หากแต่หวังโต้วซานกลับไม่อยากใช้พวกมัน

เขาอยากเอาชนะอีกฝ่ายด้วยกำลังของตนเองมากกว่า

น่าเสียดายที่แม้จะสละไขมันที่สะสมมายาวนาน 4 ปีไปจนหมดก็ยังไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงจำใจต้องใช้ยาเพิ่มกำลังไปขวดหนึ่ง

ถึงจะใช้ไปเพียงขวดเดียว แต่ในสายตาหวังโต้วซานคือเขาได้แพ้ไปแล้ว

เฟ้ยลาหลัวดูท่าทางไม่ใส่ใจ “มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพวกข้า แต่เก่งกาจด้านการศึกษาด้านอื่น ๆ แทน พวกเจ้าเชี่ยวชาญด้านยาไม่ใช่หรือไร ?”

“นั่นก็ใช่ แต่ข้าเองก็ใช้อาวุธด้วย กฎกำหนดไว้ว่าใช้ของมีมูลค่ามากที่สุดต้องไม่เกินหินพลังต้นกำเนิด 10,000 ก้อน เครื่องมือต้นกำเนิดข้ามีมูลค่า 8,000 ยาอีก 2,500 เกินกำหนดไป 500 ก้อน ดังนั้นว่ากันตามกฎก็นับว่าข้าแพ้ให้เจ้า”

“เป็นเช่นนั้นสินะ” ใบหน้าเฟ้ยลาหลัวเผยแววยินดี

เขาอ้าปากคล้ายต้องการเอ่ยบางอย่าง หากแต่ปากนั้นกลับอ้าค้างแต่ไร้ซึ่งเสียงใดออกมา

แล้วเขาก็สิ้นใจ

เมื่อเห็นว่าเฟ้ยลาหลัวตายแล้ว หวังโต้วซานจึงถอนหายใจออกมา

เขาหยิบแหวนของเฟ้ยลาหลัวขึ้นมาก่อนจะดึงธงทาคุชาขึ้นจากพื้น จากนั้นค่อย ๆ ย่างเท้าไปหาพวกซูเฉิน แต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าตนไม่อ้วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางเหมือนคนน้ำหนักตัวมากอีก ดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปแทน “ข้ากลับมาแล้ว ภารกิจสำเร็จดี”

“ทำได้ดีมาก” ซูเฉินตบหลังเขา

“โชคไม่ดีที่ข้ายังต้องใช้ยาไปหนึ่งขวด” หวังโต้วซานเอ่ยเสียงผิดหวังอยู่บ้าง

ซูเฉินเข้าใจความผิดหวังนั้นดี “เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อไปข้าต้องมีทักษะต้นกำเนิดให้เจ้าอีกแน่ วันหนึ่งเจ้าจะสามารถเอาชนะนักรบอารามเหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องสู้สุดตัว”

“เช่นนั้นข้าจะรอ” หวังโต้วซานยิ้มกว้าง

ซูเฉินหันมองตานปา “เช่นนั้นประลองคู่ต่อไปเลย ?”

ตานปาพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”

เผ่าคนเถื่อนไม่เกรงกลัวความตายตราบเท่าที่ความตายนั้นไม่ได้เป็นผลจากลูกไม้สกปรก

หวังโต้วซานสังหารเฟ้ยลาหลัวด้วยกำลังของตนเอง แม้จะกล่าวว่าใช้ของมีมูลค่าเกินกำหนดไป แต่ตานปาก็ไม่ใส่ใจมาก

เผ่าคนเถื่อนไม่ได้มองมันเป็นการโกงด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับกลลวงที่มนุษย์ชอบใช้

หากแต่เขาคิดไม่ถูกต้องเสียทีเดียว พริบตาต่อมาเขาจึงได้สัมผัสความหน้าไม่อายของฝ่ายมนุษย์อย่างเต็มที่

ซูเฉินเอ่ย “ก็ดี”

เขาหันไปพยักหน้าให้เฮ่ออวิ๋นตง เฮ่ออวิ๋นตงก้าวเท้าขึ้นมารับธงจากหวังโต้วซาน จากนั้นโยนมันไว้ที่เท้าเหมินตี้ย่านั่ว “เชิญ”

ทั้งตานปาและเหมินตี้ย่านั่วต่างชะงักไป

ตานปาตวัดสายตาโกรธเคืองมองซูเฉิน “เจ้าคิดจะทำอะไร ?”

ซูเฉินยักไหล่ตอบ “อย่างเจ้าว่า ทาคุชาไง”

“ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าประลองกับข้าหรือ ?” ตานปาเอ่ยเสียงขุ่น

“เป็นรอบต่อไปต่างหาก” ซูเฉินตอบ “แต่ก่อนหน้านั้นจะเป็นสองคนนี้ก่อน !”

ซูเฉินชี้ไปทางเฮ่ออวิ๋นตงและเหมินตี้ย่านั่ว

ไอ้มนุษย์บัดซบ !

ข้าน่าจะรู้ว่าพวกมนุษย์อย่างเจ้าต้องวางแผนอันใดไว้แน่

แน่นอนว่าเหมินตี้ย่านั่วนั้นก็เป็นเผ่าคนเถื่อน ดังนั้นจึงเคารพกฎทาคุชามาก

หากแต่เขาไม่ใช่นักรบอาราม ไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะมนุษย์เหล่านี้ได้

ส่วนอีกฝ่าย เฮ่ออวิ๋นตง แม้จะยังไม่เริ่มการต่อสู้ แต่กลิ่นอายมั่นคง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคงแข็งแกร่ง อาจจะแข็งแกร่งมากก็เป็นได้

เมื่อมีมนุษย์เช่นนั้นเป็นคู่ต่อสู้ ตานปาจึงไม่คิดว่าฝ่ายตนจะสามารถเอาชนะไปได้

“ไม่…… ข้าไม่……”

“ตกลง” เหมินตี้ย่านั่วพลันเอ่ยขึ้น

ว่าอย่างไรนะ ?

ตานปาจ้องเหมินตี้ย่านั่วด้วยความตะลึงเจอความโกรธ

เหมินตี้ย่านั่วเอ่ย “ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดีตานปา แต่นี่คือทาคุชา เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของเผ่าเรา เผ่าคนเถื่อนยอมตายไม่ยอมเสียเกียรติ”

ตานปากล่าวเสียงขรึม “เฟ้ยลาหลัวตายไปคนหนึ่งแล้ว……”

“ถูกต้อง แต่เขาตายอย่างเหมาะสม ไม่ได้ถูกสังหารเพราะแผนชั่วของพวกมนุษย์ พวกนั้นเอาชนะเขาได้ด้วยกำลังตนเอง พวกเราไม่ควรมีข้อกังขาในเรื่องนั้น ข้าก็เช่นกัน ตานปา ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ เจ้าจงทำให้การต่อสู้ดำเนินไปอย่างยุติธรรมเสีย” เหมินตี้ย่านั่วรู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฮ่ออวิ๋นตง ดังนั้นเขาจึงขอเพียงให้การต่อสู้เป็นไปอย่างยุติธรรม

ตานปาพูดไม่ออก

จริง ๆ แล้วเขาจะลงมือบีบบังคับอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับประเพณีของเผ่าและเรื่องเกียรติยศเช่นนี้ เขากลับไม่อาจทำสิ่งใดได้

พริบตานั้นเขาพลันคิดจงเกลียดจงชังจารีตประเพณีเหล่านี้ยิ่ง

ประเพณีเหล่านี้ทำให้เผ่าคนเถื่อนกล้าหาญดุดัน แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น

ถึงจะไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกการตัดสินใจ ทำได้เพียงยอมรับมันเท่านั้น

ตานปาพยักหน้า ก่อนจะเดินไปด้านข้าง

แล้วการประลองก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการประลองระหว่างเฮ่ออวิ๋นตงและเหมินตี้ย่านั่ว

ครั้งนี้ไม่เหมือนกับคราวประลองครั้งก่อน ตานปาไม่มั่นใจในผลการประลองแม้แต่น้อย

เมื่อการประลองเริ่มขึ้น เหมินตี้ย่านั่วก็เป็นฝ่ายซัดการโจมตีเฮ่ออวิ๋นตงก่อนด้วยแรงทั้งหมดที่มี

บนใบหน้าตานปาคือหน้าไร้สีเลือด

ปกติแล้ว ฝ่ายที่อ่อนแอกว่ามักจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน เป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเสียเวลาไปย่อมเปล่าประโยชน์ รีบใส่เต็มกำลังตั้งแต่ต้นแล้วทำให้เรื่องจบลงโดยเร็วย่อมดีกว่า

ในบางสถานการณ์ การใช้กลยุทธ์นี้อาจได้ผล

แต่เห็นได้ชัดว่ามันใช้กับเฮ่ออวิ๋นตงไม่ได้ผล

เฮ่ออวิ๋นตงไม่ได้มีวิถีการต่อสู้ที่ดุดันเช่นเขา คนผู้นี้มั่นคงมาก

เมื่อครั้งยังทำการฝึกซ้อม เขาก็ได้แสดงเรื่องนี้ให้ทุกคนเห็นไปแล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด เขาก็จะค่อย ๆ ใคร่ครวญ ทั้งยังลงมือเป็นระบบระเบียบ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป บางครั้งอาจพลาดโอกาสไปบ้าง แต่ระดับความผิดพลาดก็น้อยเช่นกัน

เป็นมนุษย์ประเภทที่สามารถสำรวมท่าทีและซุ่มรอโจมตีอีกฝ่าย

เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่อาจรักษาความสงบไว้ได้ สุดท้ายก็ถูกเขาจัดการทั้งสิ้น ซูเฉินเคยประมือกับเขามาแล้วถึง 6 ครั้งและพ่ายแพ้ไปทุกครั้ง

กล่าวได้ว่าคนนิสัยเช่นเฮ่ออวิ๋นตงนั้นเหมาะสมกับการใช้จัดการคนเช่นซูเฉินมาก

สถาบันมังกรซ่อนเร้นเห็นถึงความมั่นคงนี้และความแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นจึงมอบหมายเลขศิษย์หมายเลข 1 ให้กับเขา

คนผู้นี้ กระทั่งปะทะเข้ากับการโจมจตีดุดันของเหมินตี้ย่านั่วก็ยังมีท่าทีไม่รีบเร่งแต่อย่างใด

เขาซัดหมัดสวรรค์พิโรธกลับไปอย่างมั่นคง การโจมตีของเขาไม่รวดเร็วแต่ก็ไม่พลาดเป้า ทุกหมัดเล็งไปได้ผลดั่งหวัง

เหมินตี้ย่านั่วใช้วิชาและท่าโจมตีทุกสิ่งอย่างที่มี แต่สุดท้ายก็ไม่อาจรับมือเฮ่ออวิ๋นตงได้

ไม่มีโอกาสได้ทำให้อีกฝ่ายเสี่ยงชีวิตแม้สักครั้ง

เฮ่ออวิ๋นตงสร้างเกราะปกคลุมร่างไว้อยู่ตลอด

ร่างกายของเขาเดิมทีก็มีพลังป้องกันสูงมากอยู่แล้ว เมื่อมีเกราะพลังต้นกำเนิดเช่นนี้ ไม่ว่าเหมินตี้ย่านั่วจะทำเช่นไรก็ไม่อาจใช้การโจมตีคราเดียวหวังหารเฮ่ออวิ๋นตงได้

แม้จะพลาดโอกาสไปหลายครั้งหรือใช้พลังต้นกำเนิดไปมากถึงเพียงไหน เฮ่ออวิ๋นตงก็ยังทำการต่อสู้ต่อไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

นี่คือกลยุทธ์ที่ซูเฉินวางไว้ให้เขา ซึ่งตรงกับนิสัยของเฮ่ออวิ๋นตงพอดิบพอดี

เมื่อคนจิตใจมั่นคงยิ่งเพิ่มความระแวดระวังไม่ให้ตนทำผิดพลาด ความรอบคอบและการป้องกันตนของคนผู้นั้นจะเพิ่มสูงขึ้นจนอาจทำให้อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวไม่ก็สิ้นหวังไปเลย

เมื่อต้องประมือกับศัตรูที่มีพลังป้องกันกล้าแข็งทั้งยังละเอียดรอบคอบเช่นนี้ เหมินตี้ย่านั่วก็รู้สึกว่ากำลังภายในร่างกำลังหายไปช้า ๆ

การโจมตีของเขาเริ่มแผ่วลง การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าลงเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ เฮ่ออวิ๋นตงสามารถซัดหนึ่งฝ่ามือสังหารเขาเลยก็ย่อมได้

แต่เฮ่ออวิ๋นตงกลับยังคงต่อสู้ต่อไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไม่ใส่ใจสภาพเหมินตี้ย่านั่วเลย

เหมินตี้ย่านั่วรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก

เขาจ้องเฮ่ออวิ๋นตงก่อนตะโกนขึ้น “ข้าจะขอทุ่มสุดตัว !”

คำรามจบแล้ว ภาพโทมเทมก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง

มันคือโทเทมผู้พิทักษ์ของเหมินตี้ย่านั่ว

ความแข็งแกร่งของเขายังไม่อาจทำให้สร้างโทเทมผู้พิทักษ์ที่สมบูรณ์ขึ้นได้

แต่ในจังหวะนั้นเหมินตี้ย่านั่วที่สิ้นหวังกลับไม่ใส่ใจสิ่งใดอีก

เขาไม่หวังว่าตนจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ หวังเพียงว่าตนจะสามารถทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บบ้างก็เท่านั้น

หลังจากเหมินตี้ย่านั่วปล่อยพลังออกมา โทเทมผู้พิทักษ์ก็กลายเป็นคลื่นพลังดุดันที่ซัดออกไปเต็มแรง

เฮ่ออวิ๋นตงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หากแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับดูแข็งแกร่งขึ้น

ภาพมายาอสูรไฟโลกันตร์ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังเข้าปะทะกับโทเทมผู้พิทักษ์ของเหมินตี้ย่านั่ว แรงปะทะส่งผลให้เกิดแสงสว่างจ้าที่สุดนับตั้งแต่ทั้งสองคนทำการต่อสู้มา

เฮ่ออวิ๋นตงส่งเสียงคำรามก่อนถอยไปหลายก้าว

คลื่นพลังซัดปะทะเกราะของเขา หลังจากเปล่งแสงกระจายออกมา เกราะก็หายไป มุมปากเฮ่ออวิ๋นตงพลันปรากฏเลือดสายหนึ่ง

แต่ก็เพียงเท่านั้น

เขาเหลือบมองเหมินตี้ย่านั่ว

เหมินตี้ย่านั่วร่างซวนเซเล็กน้อย จากนั้นก็ล้มหน้าคะมำลงกับพื้น

เขาสิ้นใจแล้ว !