บทที่ 99 มือเติบ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

โดนสายตาอันน่ากลัวของเย่เทียนจับจ้อง กู้กวนชีกลัวถึงขีดสุด พยักหน้าตามสัญชาตญาณ

“งั้นก็ดี เธอทำเหมือนว่าฉันยังไม่รู้ตัวตนของเธอ เมื่อก่อนรายงานพวกเขายังไงหลังจากนี้ก็ทำต่อไป ขอแค่เธอทำตามที่ฉันสั่ง ฉันรับประกันได้ว่าเธอและครอบครัวของเธอจะไม่เป็นอะไร”

เย่เทียนกล่าว “แต่ถ้าเธอไม่เชื่อฟังฉัน ฉันรับรองว่าไม่ต้องให้พวกเขาลงมือ ฉันนี่แหละคนแรกที่จะปลิดชีพเธอ ได้ยินมั้ย!”

“อื้มๆ”

ภายใต้บารมียิ่งใหญ่ของเย่เทียน กู้กวนชีรู้ว่าตัวเองเหมือนเรือเล็กกลางมหาสมุทร เธอกลัวจนหมดเรี่ยวแรง

หลังจากทั้งขู่ทั้งเตือนกู้กวนชีไปแล้ว เย่เทียนก็รีบกระโจนลงจากตึก พุ่งไปยังที่น่าคนขับและมุ่งหน้าไปที่เฉินหวั่นชิงอยู่ในตอนนี้

ทั้งๆที่เป็นแค่รถตู้ขนาดเล็ก แต่พออยู่ในมือของเย่เทียนกลับให้ความรู้สึกเหมือนรถสปอร์ต แล่นอย่างรวดเร็วบนถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยคันรถประหนึ่งจรวด

แถมเย่เทียนยังทำอย่างอื่นไปด้วย เขาหยิบมือถือออกมาและโทรหาเบอร์เฉินหวั่นชิง

แต่โทรไม่ติดเลย ทำให้เย่เทียนร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ

“เธออย่าเป็นอะไรนะ”

เย่เทียนพึมพำกับตัวเอง และเหยียบคันเร่งแรงขึ้นไปอีก รถส่งเสียงเหมือนปีศาจคำราม และมุ่งหน้าไปที่ฐานการวิจัยด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น

……

ภายในฐานการวิจัย

แม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่า เลยเวลาเลิกงานตามปกติไปนานแล้ว แต่ภายในห้องวิจัยบางห้องยังเปิดไฟสว่างจ้าอยู่ นักวิจัยในชุดขาวหลายคนกำลังยุ่ง

หลังจากพลิกหน้าข้อมูลวิจัยไปจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว คิ้วเรียวของเฉินหวั่นชิงก็ขมวดเป็นปมและเอ่ยขึ้น “เหล่าเฉิง นี่มัน…..”

ปึ้ง!

แต่ไม่ทันที่เฉินหวั่นชิงจะได้พูดอะไรออกมา ประตูด้านหลังก็ถูกถีบให้เปิดอย่างแรง

กรี๊ด!

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ส่งผลให้นักวิจัยหญิงคนหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องตามสัญชาตญาณ มือเล็กเรียวที่กำลังจะเทสารเคมีลงภาชนะตรงหน้าสั่นนิดหน่อย น้ำยาเคมีเต็มหลอดถูกเทลงไปทั้งหมด

ตู้มตู้ม!

ภายใต้ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น ภาชนะตรงหน้านักวิจัยหญิงระเบิดอย่างแรง เปลวไฟกระโจนออกมาท่วมท้นทั้งโต๊ะที่ทำการทดลอง และเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น

ทว่า รวมเฉินหวั่นชิงเข้าไปด้วย เหล่าคนมีความรู้ไม่ได้ไปดับไฟในทีแรก

ไม่มีเหตุผลอื่น ทั้งหมดก็เพราะมีคนต่างชาติตัวใหญ่สูงล่ำสองคนบุกเข้ามาตรงประตู ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า!

ที่สำคัญที่สุดคือคนต่างชาติทั้งสองถืออาวุธปืนไว้ในมือด้วย จนทุกคนไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร?

เปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ปล่อยควันออกมาจำนวนมาก สุดท้ายสัญญาณเตือนไฟไหม้บนเพดานก็ส่งเสียงดัง

เดิมทีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว เฉินหวั่นชิงลงแรงไปกับการดับไฟไปไม่น้อย เสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ที่นี่สามารถได้ยินอย่างชัดเจนในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร

คนต่างชาติร่างใหญ่สองคนที่พยายามลักพาตัวเฉินหวั่นชิงชะงักไป

พวกเขาแทรกซึมเข้ามาอย่างระมัดระวัง อุตส่าห์มาถึงที่นี่ได้โดยไม่ให้ใครรู้ตัว แต่พอผลักประตูเข้ามาก็ทำให้เสียงดังขนาดนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย!

“ฟัค!”

ชายผมบลอนด์ที่มีชื่อว่าจอห์นสบถ

ชายผมน้ำตาลด้านข้างเขาทอดสายตาไปที่เฉินหวั่นชิง

“คุณเฉิน ต้องขออภัยที่เราต้องมาพบกันในสถานการณ์แบบนี้”

“พวกคุณเป็นใคร แล้วต้องการอะไร?”

เฉินหวั่นชิงขมวดคิ้วเรียวเป็นปม

“คุณเรียกผมว่าทอมมี่ก็ได้ครับ”

ชายผมน้ำตาลคลี่ยิ้ม “ที่มาครั้งนี้ผมหวังว่าคุณเฉินจะไปกับพวกเรา เจ้านายของพวกเราต้องการพบคุณ”

“แน่นอนว่าคุณเฉินมีสิทธิ์เลือกไม่ไปกับเรา แต่…..”

ทอมมี่เล็งปลายปืนไปที่นักวิจัยสามสี่คนข้างหลังเฉินหวั่นชิงและขู่ “พวกเขาจะล้มลงทันทีที่คุณปฏิเสธ”

เฉินหวั่นชิงเหลือบมองบรรดานักวิจัยข้างล่างที่กลัวจนตัวสั่นงึกงักด้วยหางตา สีหน้าอึมครึมลง

“ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกคุณ”

“จอห์น ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าคุณเฉินจะให้ความร่วมมือพวกเรา”

ทอมมี่ยิ้มกว้าง ยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้าจอห์น “จ่ายตังค์มา”

“เฮอะ!” จอห์นแค่นเสียงเย็นอย่างไม่สบอารมณ์ ควักแบงค์ร้อยดอลล่าออกจากกระเป๋าและยัดเข้ามือทอมมี่ ก่อนจะเดินไปอยู่ตรงหน้าเฉินหวั่นชิงด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฟาดคอเฉินหวั่นชิงอย่างแรง

เฉินหวั่นชิงไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียง สลบไปทันทีและล้มไปข้างหน้า

จอห์นที่เตรียมตัวไว้แล้วแบกเฉินหวั่นชิงขึ้นบ่า ก้าวยาวๆออกจากห้องวิจัย

“ทุกท่าน ขอโทษด้วย กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ทำให้พวกคุณต้องตกใจ ถ้าพวกเรามีวาสนาได้พบกันอีกผมจะเลี้ยงเหล้าเป็นการขอโทษนะครับ”

ทอมมี่ยิ้มสดใสให้กับเหล่านักวิจัยที่กลัวจนตัวสั่น กดไกปืนโดยไม่ลังเล

ปังปัง!

กระสุนไม่ได้ทำอันตรายเหล่านักวิจัย แต่กวาดยิงจนห้องวิจัยเละเทะ

ไม่รู้ว่าไปทำสารเคมีอะไรแตกอีก จนเปลวเพลิงที่ไหม้อยู่โหมหนักกว่าเดิม ทั้งห้องวิจัยถูกเปลวไฟท่วมท้น และล้อมเหล่านักวิจัยไว้ข้างใน

หลังจากขวางคนที่จะไล่ตามมาได้แล้ว ทอมมี่ถึงหันหลังอย่างสง่างาม เดินตามจอห์นที่คุมตัวเฉินหวั่นชิงไปและมุ่งหน้าลงไปข้างล่าง

“แย่แล้ว ไฟไหม้!”

“รีบโทรหาหน่วยดับเพลิงสิ”

ในค่ำคืนมืดมิดเช่นนี้ อัคคีภัยที่โหมขึ้นมาสว่างจ้าเป็นพิเศษ รปภ ที่ทำหน้าที่เฝ้าอย่างซื่อสัตย์อยู่ชั้นล่าง ไม่นานนักก็พบความผิดปกติข้างบน

ภายใต้คำสั่งจากหัวหน้า รปภ มี รปภ เจ็ดแปดคนรีบวิ่งขึ้นตึกไป

แต่น่าเสียดาย พวกเขาเพิ่งจะขึ้นมาถึงบันไดชั้นเจ็ดก็เจอกับชายต่างชาติสองคนที่คุมตัวเฉินหวั่นชิง

ปังปัง!

เสียงปืนดังขึ้นทันที เจ็ดแปดคนที่พุ่งเข้ามาล้มลงในกองเลือดแทบจะทันทีที่ประจันหน้ากัน

แกร๊ก!

ขณะนั้น เย่เทียนที่เหยียบคันเร่งจนมิดในที่สุดก็มาถึง

รถดริฟท์มาจอดที่หน้าประตูของฐานการวิจัยอย่างสวยงาม

พอพบว่าตึกการวิจัยไฟไหม้ เย่เทียนก็บุกเข้าไปในตึกการวิจัยด้วยความร้อนใจจนทนไม่ไหว

ไม่รู้ว่าเพราะไฟไหม้แรงเกินไปหรือเปล่า ทั้งตึกการวิจัยไฟดับ ตึกทั้งตึกตกอยู่ในความมืด

แม้ว่าไฟดับทำให้ลิฟต์ใช้งานไม่ได้ แต่เย่เทียนก็ไม่ได้ลดความเร็วลง พุ่งไปถึงหน้าบันไดชั้นห้าโดยไร้สุ้มเสียง

เขากำลังจะก้าวขึ้นบันไดชั้นหก ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังลงมาจากข้างบน

เย่เทียนตัดสินใจชะงักฝีเท้าและถอยออกมา เปิดประตูบันไดที่ไปยังชั้นห้าด้วยความระมัดระวัง รอให้คนชั้นบนลงมา

แต่ถึงแม้เย่เทียนจะระวังตัวมาก แต่จอห์นและทอมมี่เป็นทหารรับใช้ชั้นเลิศ สัญชาติญาณเฉียบแหลมมาก

ถึงเสียงดึงประตูของเย่เทียนจะเบามาก แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกติ

ปังปัง!

ทอมมี่ที่นิสัยสุขุมยิงปืนสองนัดใส่ข้างล่างเพื่อประกาศศักดา และข่มขู่ด้วยภาษาอังกฤษต้นตำรับ

“คนข้างล่าง ฉันรู้นะว่าแกซ่อนตัวอยู่ แต่ฉันหวังว่าแกจะไม่ผลีผลามทำอะไร ไม่อย่างนั้นกระสุนไม่สนใครหน้าไหนหรอกนะ!”

เย่เทียนที่ซ่อนตัวอยู่ในทางบันไดขมวดคิ้วทันที ด้วยประสบการณ์ของเขา ฟังออกได้ไม่ยากว่านี่เป็นเสียงปืนของปืนกล!

เอาปืนกลเข้ามาโท่งๆแบบนี้เลยหรอ? ใจกล้าดีจริงๆ กล้าเล่นใหญ่ขนาดนี้?