ภายในทางบันไดเงียบสงัด
ทอมมี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดในใจว่าเมื่อกี้ตัวเองหูฝาดรึเปล่า
แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เขาทำมือให้จอห์นหยุดก่อน และเดินลงบันไดไปอย่างระมัดระวัง
เขายืนอยู่ตรงทางบันไดระหว่างชั้นห้าและชั้นหก ยิงปืนอีกหลายนัดเข้าไปที่ประตูบันไดไปชั้นห้า
ปังปัง!
เสียงปืนดังแสบหูเงียบไปอย่างรวดเร็ว ภายในทางบันไดยังคงเงียบ
ใจของทอมมี่ที่จ่อมาถึงคอหอยกลับไปที่เดิม เขาหัวเราะเยาะตัวเองและคิดว่าตัวเองระแวงเกินไป
“ไม่เป็นไรแล้วจอห์น”
จอห์นที่แบกเฉินหวั่นชิงอยู่ถึงเดินลงมาทางบันไดและแซว “ทอมมี่ ฉันว่านายคงไม่ได้ประสาทกินเพราะผู้หญิงสองคนเมื่อคืนใช่มั้ย?”
“นายสิประสาทกิน”
ทอมมี่กรอกตามองบนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินนำลงบันไดไปก่อน
ทว่า ทันทีที่เขาก้าวลงมาถึงชั้นห้าก่อน เย่เทียนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงประตูก็เปิดประตูด้วยความเร็วแสงและถีบออกไปอย่างแรง
เย่เทียนไม่ได้ออกแรงถีบเต็มที่ แต่แค่จัดการกับคนธรรมดาที่ยืนอยู่ตรงทางบันได แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นทหารรับใช้ก็สามารถถีบตกบันไดได้โดยง่าย
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เย่เทียนส่งเสียงเอ๋อย่างอดไม่ได้
ทอมมี่ยันตัวไว้ไม่ให้ร่วงลงไปได้ มิหนำซ้ำยังพลิกมือยิงกลับมาได้ด้วย
ปัง!
เย่เทียนที่เตรียมพร้อมก่อนแล้วหลบกระสุนได้ด้วยความเร็วแสง และกระโจนตัวเข้าไปประหนึ่งวิญญาณ ต่อยเข้าที่แขนเขาจนปืนตกลงไปที่พื้น
“เวรเอ๊ย”
ทอมมี่สบถ ปืนเพิ่งจะหลุดมือไป มือซ้ายก็คว้าไปที่น่องและหยิบมีดสั้นเปล่งประกายเยียบเย็นออกมาหนึ่งเล่ม แทงไปที่เย่เทียน
เรื่องนี้ทำเอาเย่เทียนแปลกใจนิดหน่อย หมัดที่ต่อยออกไปทีหลังเขาตั้งใจเพิ่มแรง แต่ก็แค่ทำให้เขาปล่อยปืนไปเท่านั้น
มีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คืออีกฝ่ายพอมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ
แปลกใจส่วนแปลกใจ ไม่ได้หมายความว่าเย่เทียนจะยั้งมือ เขาเห็นว่ามีดสั้นกำลังจู่โจมเข้ามา จึงรับด้วยหมัดใหญ่เช่นเดียวกัน
จะใช้กายเนื้อรับมีดสั้นของฉันรึ?
ทอมมี่กระตุกยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทำแบบนี้
ทว่าวินาทีต่อมาเขากลับหัวเราะไม่ออก
นาทีที่กำปั้นกำลังจะปะทะกับมีดสั้น ทันใดนั้นไหล่ของเย่เทียนสั่นเทิ้ม หมัดขนาดเท่าหม้อเปลี่ยนทิศทางในพริบตา ก่อนจะกระแทกเข้าหัวของทอมมี่อย่างแรง
ปึ้ง!
หลังจากโดนไปหมัดหนึ่งเต็มๆ ทอมมี่ก็ล้มลงไปกับบันได
มองผ่านแสงอ่อนๆจากดวงจันทร์พอจะเห็นได้ว่าใบหน้าของเขายุบเข้าไปอย่างสยองขวัญ ตายจนไม่รู้จะตายยังไงแล้ว
“ทอมมี่!”
ขณะนั้น จอห์นที่แบกเฉินหวั่นชิงอยู่เพิ่งจะเดินมาถึงทางเลี้ยวบันไดระหว่างชั้นห้าและชั้นหก ก็เห็นร่างของเพื่อนตัวเองที่ร่วงลงไป
“ฟัค ไปตายซะ!”
จอห์นหน้าตาเหี้ยมเกรียม โยนเฉินหวั่นชิงที่ไม่ได้สติไปด้านข้างโดยไม่ถนอมเลยสักนิด เขาคว้าปืนกลตรงอกและกดไกปืนโดยไม่ลังเล
ปังปังปัง!
เปลวไฟอันเกรี้ยวกราดพุ่งออกจากปลายกระบอกปืนกล กระสุนมากมายถาโถมใส่เย่เทียน
“ไอ้ระยำสมควรตาย บังอาจมาฆ่าเพื่อนของฉัน ฉันจะฆ่าแก!”
เสียงปืนไม่อาจกลบเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของจอห์น
ตู้ม
ทันใดนั้นเสียงอุดอู้เสียงหนึ่งดังขึ้น
จอห์นก้มมองลงไปก็พบว่าโครงกระดูกหน้าอกตัวเองจู่ๆก็ยุบลงไป
แกร่ก!
เสียงกระดูกแตกดังสนั่นอยู่ในทางบันไดเงียบสงบนี้
จอห์นไม่คิดไม่ฝันว่าเย่เทียนสามารถพุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ในพริบตาท่ามกลางฝนกระสุน และต่อยเขา
“แค่ก……”
จอห์นกระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ มองเย่เทียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะล้มลงไปด้วยสีหน้าเจ็บใจ
หลังจากจัดการศัตรูเสร็จแล้ว เย่เทียนสูดหายใจเข้าลึก
และรีบเข้ามาที่ข้างกายเฉินหวั่นชิงเพื่อตรวจเช็คสภาพของเธอ
หลังจากมั่นใจแล้วว่าเธอเพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น ถึงโล่งอก ประกายเย็นยะเยือกวูบวาบอยู่ในสายตา
“พวกแกมันสมควรตายจริงๆ! บังอาจลักพาตัวกันเลยหรอ?”
ในที่สุดเย่เทียนก็รู้แล้วว่าใครที่ลงมืออยู่อย่างลับๆ เขาจึงฆ่าทั้งสองคนอย่างไม่ลังเล
เสียงไซเรนดังเข้ามา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรุบกรับจากชั้นล่าง
เย่เทียนรู้ว่าคนจากหน่วยดับเพลิงมาแล้ว เขาคิดไปคิดมา สุดท้ายก็อุ้มเฉินหวั่นชิงเข้ามาในอ้อมแขน กระโดดลงไปจากหน้าต่างและฉวยโอกาสที่มืดอยู่ออกไป
หลังจากนั้น เย่เทียนก็ขับรถตรงกลับไปที่คฤหาสน์
เพิ่งจะวางเฉินหวั่นชิงลงบนโซฟา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เย่เทียนเดินไปเปิดประตู พวกซิงเฉียนหู่รีบร้อนเข้ามากัน
พอเห็นพวกเขา ใบหน้าของเย่เทียนก็ไม่สบอารมณ์ เขาถามคาดคั้น “อีกฝ่ายลักลอบเข้ามาในเจียงหนัน ทำไมพวกนายไม่แจ้งให้ฉันทราบ”
เย่เทียนถามโดยไม่ไว้หน้า ซิงเฉียนหู่ก็มีสีหน้าหนักใจ ยิ้มเฝื่อนๆ “อีกฝ่ายมีคนแอบช่วยเหลืออยู่ จึงหลบหนีศุลกากรมาได้ พวกนั้นลักลอบเข้ามา ถ้าพวกเรารู้ตัวแต่แรกคงจับอีกฝ่ายไปนานแล้ว”
ได้รับคำอธิบายเช่นนี้ เย่เทียนขมวดคิ้วเป็นปม สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
หลังจากเกิดเรื่องคืนนี้ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุจุดประสงค์
เย่เทียนจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเจิ้นจริงๆ พวกนายส่งคนไปจับตาดูตระกูลเจิ้นไว้!”
พอเขาพูดแบบนี้ สีหน้าซิงเฉียนหู่ก็อึมครึมลง
“ตระกูลเจิ้นมีมลทินจริงๆ หรือเราจะจับอีกฝ่ายไปเลยดีมั้ย”
“ไม่ได้!”
เย่เทียนเอ่ยเสียงเย็นโดยไม่ต้องคิด “หากขาดตระกูลเจิ้นไปอีกฝ่ายต้องรู้ตัวแน่ๆ กลัวว่าจะยิ่งระมัดระวังขึ้นอีก หากต้องการลากตัวอีกฝ่ายออกมาให้หมดฉันยังต้องใช้ตระกูลเจิ้นอยู่! ”
“พวกนายฟังให้ดี ฉันไม่ได้มาหารือกับพวกนาย แต่บอกผลลัพธ์กับพวกนายโดยตรง จะทำตามคำสั่งของฉันหรือจะแก้ปัญหานี้กันเอง!”
เย่เทียนโมโหแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเขารู้ข่าวจากปากกู้กวนชี ตอนนี้เฉินหวั่นชิงอาจจะถูกอีกฝ่ายนำตัวไปแล้วก็ได้
จะเกิดอะไรขึ้น แค่คิดเขาก็นึกกลัวขึ้นมา
คนอื่นๆไม่พอใจกันมาก ไม่ว่ายังไงซิงเฉียนหู่ก็เป็นครูผู้สอนในเขตทหารของพวกเขา จะปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามมาตำหนิแบบนี้ได้ยังไง
แต่ซิงเฉียนหู่ไม่มีทีท่าโกรธเคืองเลยสักนิด เขามองเย่เทียนพร้อมกล่าว “ได้ครับ ทุกอย่างเอาตามที่คุณพูดเลย!”
ต่อจากนั้น ซิงเฉียนหู่ออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาต่อหน้าเย่เทียน ให้จับตาดูตระกูลเจิ้นอย่างใกล้ชิดยี่สิบสี่ชั่วโมง
คราวนี้เย่เทียนถึงมีท่าทีอ่อนลง ทว่าสีหน้ายังคงไม่สู้ดีอยู่
“ในเมื่อจัดการเสร็จแล้วจะอยู่ที่นี่ต่อไปทำไม หรือจะให้ฉันไล่พวกนายออกไป?”
ท่าทางของเย่เทียนจะบอกว่าไม่โอหังคงไม่ได้ เขาไม่เห็นพวกซิงเฉียนหู่อยู่ในสายตาเลยสักนิด
ซิงเฉียนหู่รู้ว่าตัวเองบกพร่องหน้าที่ เขาหัวเราะเฝื่อนๆและเอ่ย “เรื่องวันนี้พวกเราจะรับผิดชอบเอง รบกวนคุณเย่ปกป้องประธานเฉินไว้ด้วยนะครับ พวกเราจะไม่เปิดเผยตัวตนของคุณแม้แต่นิดเดียวเช่นกัน”
พูดจบซิงเฉียนหู่ก็โบกมือ ท้ายสุดแล้วบรรดาเจ้าหน้าที่เขตทหารก็ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค และตามซิงเฉียนหู่ออกไปจากที่นี่