บทที่ 100 เติบโตจากการล้มลุกคลุกคลาน

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

หลินจือกับเจเทาวน์กินข้าวไปพลางคุยเรื่องบทไป จุดที่นิปปอนเสนอขึ้นมาหลินจือรู้สึกว่ามีเหตุผล

สมเป็นราชาหนังจริงๆ การสร้างสรรค์ของตัวบทที่มีความมั่นใจและความขัดแย้งก็ละเอียดลึกซึ้ง หลินจือรู้สึกว่าได้รับความรู้ไม่น้อย

บทละครคุยกันพอประมานแล้ว ข้าวก็ใกล้กินเสร็จแล้ว

เจเทาวน์เงยหน้ามองหลินจือที่อยู่ด้านตรงข้าม พูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถามอะไรคุณสักอย่างสิ”

หลินจือถามอย่างไม่เข้าใจว่า “อะไรหรอ?”

เจเทาวน์พูดด้วยเสียงนิ่งๆว่า “ถ้าเทาเท่จีบคุณอีกครั้ง คุณจะตกลงมั้ย?”

“ไม่” หลินจือปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจีบฉัน”

เทาเท่เกลียดเธอขนาดนั้น พวกเขาหย่ากัน สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งที่หลุดพ้นได้ตลอดชีวิต เขาจะยังมาจีบเธอได้อีกยังไง?

หลินจือไม่เคยคิดว่าจะมีความเป็นไปได้แบบนี้ระหว่างเธอกับเทาเท่เลย

เจเทาวน์พูดว่า “แล้วคุณคิดยังไงที่เขากลับมาแล้วยังยื่นดอกไม้ให้คุณอีก?”

หลินจือกระดกคิ้วขึ้นคิดอยู่ชั่ว ให้คำตอบว่า “เมื่อกี้คุณพูดว่าวูวีอยากแสดงบทโคลไม่ใช่หรอ? ฉันคิดว่าเขาคงมาหาฉันเพื่อพูดเรื่องของซูซี”

เจเทาวน์ชะงัก หลังจากนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุขออกมา

อิงตามความคิดของหลินจือ ต่อให้เทาเท่อยากที่จะจีบคืนมา ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายแน่ ๆ

เพราะทางหลินจือคิดว่าเธอกับเทาเท่เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด

แน่นอนว่านี่ก็ทำได้แค่โทษเทาเท่แต่ก่อนทำร้ายเธอจนเจ็บ ความที่จะก่อให้ติดที่อยู่ในใจของเธอมันได้ขาดสะบั้น

หลินจือพูดทุกคำด้วยความตั้งใจว่า “แต่ก่อนเป็นเด็กไม่รู้เรื่อง คิดว่าความรักขอแค่ให้ความจริงใจไปก็พอแล้ว การก่อตัวของความรู้สึกและความยาวนานจะต้องใช้ความพยายามของคนสองคน

“อีกอย่างตอนนี้หันกลับไปมอง จริง ๆ แล้วเทาเท่นั้นไม่เหมาะที่จะแต่งงาน ไม่เหมาะที่จะคบกันยาว ๆ

นิสัยของเทาเท่นั้นเผด็จการรุนแรง อวดเก่งถือดี

ง้อคนไม่เป็น ใส่ใจคนไม่เป็น ดูแลคนอื่นไม่เป็น แต่ก่อนระหว่างพวกเขามีปัญหาใด ๆ ถ้าไม่ใช่เธอเป็นฝ่ายง้อขอคืนดีก่อน เขาก็เข้าสู่สงครามเย็นเป็นระยะเวลานาน

ตอนนี้ตัวเธอรู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับคนแบบนี้มันเหนื่อย

ผู้หญิงคนไหนไม่อยากที่จะถูกปกป้อง ถูกรัก?

ผู้หญิงคนไหนไม่อยากถูกผู้ชายรักและเอ็นดูอย่างสุดหัวใจ?

ตอนนี้พอเธอคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเทาเท่มาสามปีก็ให้รู้สึกว่าไม่มีความหอมหวานงดงามอะไรเลย รู้สึกแค่มันเป็นฝันร้าย

เจเทาวน์คิดไม่ถึงว่าเธอจะมองได้อย่างทะลุอย่างนี้ พยักหน้าชื่มชมว่า “คนเราเติบโตจากการล้มลุกคลุกคลาน ยังดีที่คุณรู้จักหยุดความเสียหายไว้ได้”

หลินจือพูดด้วยท่าทางเยาะเย้ยตัวเองว่า “พูดคำที่ไม่น่าฟังนะ ตอนนี้ต่อให้มีคนให้เงินฉันสิบล้านให้ฉันแต่งงานกับเทาเท่อีกครั้ง ฉันก็จะไม่แต่ง”

เป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่แต่ง

ใช้ชีวิตการแต่งงานแบบนั้น สู้ให้เธอตายเสียยังดีกว่า

เจเทาวน์ยิ้มขึ้นอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง ไม่มีทางที่เขาจะไม่ดีใจ คำพูดของหลินจือระบายความโกรธได้ดี

ถ้าเทาเท่รู้ว่าตอนนี้ความคิดของหลินจือเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะหมองใจตายหรือเปล่า

มีประโยคนึงใน“Westward Journey” เขารู้สึกว่าเหมาะกับเทาเท่ เคยมีความรักที่จริงใจมากองไว้อยู่ข้างหน้า แต่เขาก็ไม่ได้เห็นค่า รอให้สูญเสียแล้วถึงรู้สึกเสียใจในภายหลัง สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในโลกนี้ไม่พ้นเรื่องนี้

หลังจากที่คนทั้งสองคุยเรื่องบทเสร็จ เจเทาวน์ก็หยิบบัตรเชิญใบนึงมาจากกระเป๋ายื่นให้กับหลินจือ “สุดสัปดาห์สมาคมหนังมีงานเลี้ยงการกุศล ผมอยากพาคุณไปด้วย”

“ในเมื่อคุณได้ก้าวเข้ามาในอาชีพผู้เขียนบทแล้ว การขยายคอนเนคชั่น มีเพื่อนสายงานเดียวกันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ” เจเทาวน์พูดด้วยความจริงใจ หลินจือก็ซาบซึ้งใจ

“ขอบคุณค่ะ” เธอยื่นมือไปรับบัตรเชิญ

เจเทาวน์พูดถูก อยู่ด้วยกันกับเทาเท่มาสามปี เธอเป็นแม่บ้านเต็มตัว ห่างหายจากสังคมอย่างหนัก

หนึ่งปีก่อนเธอก็ไปศึกษาต่อ ปัจจุบันกลับมาแล้ว เข้าสายงานก็เป็นคนในวงการการทำงานแล้ว งานเลี้ยงและการคบหาเป็นสิ่งที่จำเป็น

ต่อให้เธอไม่ถนัด ก็ต้องบังคับให้ตัวเองปรับตัว

เจเทาวน์เห็นถึงความตื่นเต้นของเธอ พูดปลอบใจเธอด้วยเสียงที่อบอุ่นว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น ถึงเวลานั้นคุณอยู่ข้างกายผมก็พอแล้ว”

เจเทาวน์ก็พูดยิ้มๆขึ้นว่า “เป็นคนใหม่ก็มีข้อดีของการเป็นคนใหม่ เริ่มแรกไม่ต้องสนิทชิดเชื้ออะไรมาก ทำความรู้จักไปรอบนึงก่อน”

“อื้ม” หลินจือพยักหน้า ในใจก็สาบานอยู่เงียบๆว่าจะต้องทำให้ดีให้ได้ จะไม่ให้เจเทาวน์ขายหน้า

เจเทาวน์ก็อดที่จะทอดถอนหายใจไม่ได้ เป็นภรรยาตระกูลฟอเรนามาสามปี แค่เทาเท่พาเธอไปออกงานสักครั้งสองครั้ง เธอก็คงไม่ตื่นเต้นอย่างนี้

หลังจากที่ได้คุยแล้วได้กินข้าวเสร็จแล้วเจเทาวน์ก็บอกลา หลินจือไปส่งเจเทาวน์แล้วเก็บจานทำความสะอาด หลังจากล้างเสร็จแล้วก็มาแก้บทต่อ

ส่วนเทาเท่ที่เดินออกไปอย่างโกรธๆนั้น มีเบอร์นึงโทรเรียกโซเมนให้เขาออกมาจากงานเลี้ยง

โซเมนและไวท์อยู่งานเลี้ยงเดียวกันพอดี ดังนั้นเลยพาไวท์มาด้วย คนทั้งสามมาอยู่ที่ร้านอาหารที่โซเมนเป็นเจ้าของ

ตอนที่กำลังสั่งอาหารเทาเท่ก็คิดไปถึงภาพที่เจเทาวน์ที่ใส่ผ้ากันเปื้อนของหลินจือเดินออกมาจากครัว ทันใดนั้นก็ให้อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ผลักเมนูอาหารไปทางอื่น

โซเมนพูดแขวะเขา “ฉันว่านะหมู่นี้แกอารมณ์แปรปรวน เหมือนวัยใกล้จะหมดประจำเดือน

เทาเท่มองค้อนเขา ใครกันวัยใกล้หมดประจำเดือน? ถ้าเขาไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้จะพูดก็ไม่ต้องพูด

โซเมนและไวท์ไม่สนความอารมณ์ไม่ดีของเขา และสั่งอาหาร

เทาเท่จุดบุหรี่ให้ตัวเอง กัดมวนบุหรี่ไว้แล้วพูดว่า “พวกผู้ชายที่ยอมทำกับข้าว ในใจคิดอะไรอยู่หวะ?”

โซเมนพูดรับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองว่า “บางคนมีข้อต้องการเกี่ยวกับการกินเยอะมาก คนอื่นทำก็ไม่ชอบ ก็เลยเลือกที่จะทำเอง เช่นฉันไง

ไวท์ยิ้มแล้วพูดว่า “บางคนถือว่าการทำอาหารคือความเพลิดเพลิน หรือไม่ก็เป็นวิธีการแก้เครียด เช่นฉันเป็นต้น”

เทาเท่ชำเลืองมองพวกเขา พวกเขาเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ดูเหมือนทำให้เขาที่ทำกับข้าวไม่เป็นนั้นไร้ความสามารถ

ไวท์ถามเขา “ทำไมอยู่ดีๆถึงถามคำถามนี้หวะ?”

เทาเท่ก็เลยเล่าเรื่องที่คืนนี้บังเอิญไปเจอเจเทาวน์ทำอาหารอยู่ที่บ้านหลินจือให้คนทั้งสองฟัง โซเมนขำขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ

ไวท์กลั้นยิ้มเอาไว้แล้วพูดว่า “นี่แกปิดประตูใส่หน้า? จะไม่มีมารยาทไปหน่อยหรอหวะ?”

เทาเท่ส่งเสียงหึผ่านจมูก ตอนนั้นเขากำลังโกรธ ใครจะมาสนว่าจะมีมารยาทหรือไม่มีมารยาท

หลังจากที่โซเมนหัวเราะเสร็จแล้วก็ย้อนถามเขาว่า “ทำไมแกไม่ชอบทำอาหาร?”

เทาเท่พ่นควันบุหรี่ออกมา พูดอย่างเมินเฉยว่า “เวลาของผู้ชายมีค่ามาก มีเวลาก็สู้เอาไปทำงานจะดีกว่า”

“อีกอย่างพวกกลิ่นน้ำมันเต็มตัว ทรมานจมูกคนอื่น” เขาเป็นพวกบ้ารักความสะอาดและบ้างานมาก เขาบอกกับตัวเองว่าชีวิตนี้จะไม่เข้าครัวเด็ดขาด

ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เขาไม่เคยสัมผัสกับอะไรพวกนี้ ตอนที่อยู่บ้านวีนาเป็นคนรับผิดชอบทำทุกอย่าง ตอนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศเขาก็มีคนขับรถ พ่อครัว แม่บ้านมาดูแลเรื่องชีวิตประจำวันของเขา

ต่อมาได้แต่งงานกับหลินจือ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นเธอที่มาจัดการ

เขาไม่เคยเข้าครัว ถึงขนาดไม่รู้ว่าประตูห้องครัวอยู่ทางไหน ของใช้ทุกอย่างในบ้านเขาก็ไม่รู้ว่าวางไว้อยู่ตรงไหน

ช่วงเวลาตอนนั้นที่เขากับหลินจือเพิ่งหย่ากัน การใช้ชีวิตของเขาในแต่ละวันยุ่งเหยิงไปหมด