บทที่ 240 แก้แค้น โลกนี้ไม่มีอาหารฟรี

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“วันนี้พวกเจ้าต้องชิมให้ดีๆ อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่ข้าทำถนัดมือทั้งหมด มีข้าได้ขอให้พ่อครัวมาให้คำแนะนำเป็นพิเศษ นี่คือเป็ดแปดสมบัติ นี่คือไก่ขอทาน นี่คือปลาคาร์ปตุ๋นน้ำแดง นี่คือปลากะพงนึ่ง นี่คือปลาไหล นี่คือตะพาบ นี่คือเนื้อลา นี่คือเนื้อวัว นี่คืออุ้งเท้าหมี นี่คือนกกระทา” เฟิ่งชิงเฉินแนะนำอาหารจานที่สามารถดูออกว่าเป็นวัสดุอะไร ส่วนอาหารอื่นนางมิได้แนะนำ เอาเป็นว่าทั้งโต๊ะนั้นมีแต่เนื้อสัตว์ หน้าตาน่ากินอย่างมาก แค่ได้กลิ่นก็เรียกน้ำย่อยแล้ว ทำให้น้ำลายไหลไม่หยุด

เฟิ่งชิงเฉินแทบจะเอาสัตว์ทั้งหมดที่กินได้มาหมดแล้ว เหลือเพียงเนื้อหมูเท่านั้นที่ไม่ได้ทำ

“ดูไม่ออกนะว่าเฟิ่งชิงเฉินมีศักยภาพที่จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนอีกด้วย” ตี๋ตงหมิงคิดว่าเมื่อวานนี้ไม่เกี่ยวกระไรกับตน ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกดดันใดๆ

“อาศัยอยู่คนเดียว จะต้องเรียนรู้ที่จะลงมือทำเอง” เฟิ่งชิงเฉินหมายถึงในยุคปัจจุบัน แต่ผู้คนกลับนึกถึงสภาพความเป็นอยู่ในแต่ก่อนของเฟิ่งชิงเฉิน บรรยากาศเย็นลงทันที และทุกคนต่างก็ลืมเรื่องเมื่อวานไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะคิกคัก “เอาล่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ข้าใช้ชีวิตได้ดีอย่างมากมิใช่หรือ? ที่ผ่านมาข้าเอาแต่สร้างปัญหาให้พวกเจ้าทุกคน แต่วันนี้ข้าทำอาหารให้พวกเจ้าถือเป็นสิ่งแทนคำขอบใจของข้า พวกเจ้ากินได้เต็มที่เลย โดยเฉพาะซุปนี้ ข้าเคี้ยวมาทั้งบ่าย”

เฟิ่งชิงเฉินต้อนรับทุกคนอย่างดี และตักซุปที่ต้มจนขาวใสให้คนละชาม และแน่นอนว่านางเองก็กินเช่นกัน

“รสชาติดี ดูไม่ออกเลยว่าฝีมือของชิงเฉินจะเทียบพ่อครัวได้เลย”

คนเหล่านี้ต่างก็อยู่ดีกินดีตอนอยู่ที่บ้านของตน พวกเขามิได้รู้สึกว่าอาหารของเฟิ่งชิงเฉินนั้นเลอค่า แต่สิ่งที่พวกเขาให้ค่าคือความตั้งใจของเฟิ่งชิงเฉิน และบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการกินข้าวที่จวนเฟิ่ง

ตระกูลเฟิ่งไม่มีระเบียบที่ว่าห้ามพูดตอนกินข้าว แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกินอย่างเรียบร้อย แต่ว่ามิได้เรียบร้อยเหมือนเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ ด้วยอาชีพที่นางทำจึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินกินข้าวได้เร็วอย่างมาก

เพราะเมื่ออยู่ในโรงพยาบาลหรือในสนามรบ ไม่มีใครรู้ว่าวินาทีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นหากมีอาหารให้กินก็ต้องรีบกิน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะได้กินเมื่อไหร่ หรือจะมีอาหารให้กินมั้ย

เมื่อเห็นวิธีการกินที่ “หยาบคาย” ของเฟิ่งชิงเฉิน ทุกคนจึงกินโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซุปนั้นเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ทุกคนต่างก็กินอย่างพึงพอใจ

“ซุปนี้สดและหอมอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินซุปนี้ทำมาจากกระไร วันหน้าข้าจะให้พ่อครัวที่จวนข้ามาฝึกทำ” ตี๋ตงหมิงกินซุปจนหมดชาม และกล่าวด้วยความชื่นชอบ

เมื่อมาประเด็นสำคัญ สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินก็ร่าเริงมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านซื่อจื่อชอบก็ดีแล้ว ส่วนทำมาจากกระไรนั้น เจ้าอย่าถามเสียดีกว่า”

“ตระหนี่เสียจริง แต่สูตรทำซุปยังจะผิดบังเป็นความลับ ข้ามิได้เปิดโรงเตี๊ยม เจ้ามิต้องกังวลว่าสูตรลับนี้จะหลุดออกไปหรอก” เฟิ่งชิงเฉินไม่พูด ตี๋ตงหมิงก็ยิ่งอยากจะรู้

“แต่ว่า…” เฟิ่งชิงเฉินลำบากใจอย่างมาก

“จะแต่ว่ากระไรกัน ว่ามาเถิด” ตี๋ตงหมิงไร้กังวล หวังชีและซูเหวินชิงยิ้มและอยากรู้เช่นกัน

ซุปวันนี้อร่อยเป็นพิเศษและดีกว่าซุปที่พวกเขาเคยกินมาหลายเท่าตัว หากรู้ว่าทำมาจากกระไร ต่อไปก็จะสามารถทำกินเองที่บ้านได้เรื่อยๆ

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าอยากรู้จากใจจริง เช่นนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าแม้ว่าจะลำบากใจก็ตาม” เฟิ่งชิงเฉินพยายามกลั้นขำเอาไว้ และพูดอย่างจริงจัง

“ซุปนี้ไม่มีอะไรพิเศษ อันที่จริงก็แค่ทำมาจากส่วนหนึ่งของหมู”

“หมู ส่วนไหนของหมูหรือที่ทำให้น้ำซุปอร่อยได้ขนาดนี้” ซูเหวินชิงเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม ฉะนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญด้านอาหารอย่างมาก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าส่วนไหนของหมูสามารถเคี้ยวซุปออกมาได้อร่อยขนาดนี้

“สมองหมู!” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น

“อะไรนะ” ตี๋ตงหมิงกระโดดขึ้นก่อน

“โอ๊ก……”

ซูเหวินชิง หวังชี และเซี่ยซานเกาะเสาเอาไว้และอาเจียนออกมา

“มันคือสมองของหมูไงล่ะ เมื่อวานพวกเจ้าเพิ่งดูไปมิใช่หรือ? สมองคนคล้ายกับสมองหมู เมื่อล้างสะอาดแล้วจพเป็นก้อนขาวๆ เมื่อสักครู่พวกเจ้าบอกว่ามันอร่อย มันคือสมองของหมูนะ ล้างหมูเป็นๆ ให้สะอาดจากนั้นก็มัดเอาไว้ และเปิดกะโหลกเอาส่วนสมองออกมา ทำเช่นนี้เพื่อความสดและความอร่อยของสมองหมู”

“สมองหมู เฟิ่งชิงเฉิงเจ้าให้สมองหมูให้พวกเรากินได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินข้าเกลียดเจ้า!”

โอ๊ก……

หวังชีอาเจียนจนหน้ามืด และอาหารที่เฟิ่งชิงเฉินทำในวันนี้ก็อร่อยมากแค่ไหน พวกเขาก็อาเจียนอย่างทรมานมากเท่านั้น

เดิมตี๋ตงหมิงและซุนเจิ้งเต้ายังสามารถอดทนได้ แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พวกเขาอาเจียนอย่างหนัก ภาพที่น่ากลัวเมื่อวานปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง

ดีมาก นางพอใจแล้ว นางต้องการเช่นนี้!

“ซือซิง จับตาดูพวกเขาไว้ และเมื่อพวกเขาได้สติแล้ว อย่าลืมเตือนให้พวกเขาส่งคนมาทำความสะอาด” เฟิ่งชิงเฉินร้องเพลงเบาๆ และเดินตรวจตามห้องตรวจต่างๆ

ข้ายิ้มอย่างภูมิใจ ข้ายิ้มอย่างได้ใจ!

ณ จวนอ๋องเก้า
เมื่อได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนเฟิ่ง ตงหลิงจิ่วที่ในความมืดก็แสดงรอยยิ้มออกมาโดยที่ตนไม่รู้ตัว ที่ “ตามที่คาดไว้ นางจะต้องเอาคืนอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเจ้าจะใจดีกับข้าอย่างมาก เช่นนั้นข้าคงมิต้องกังวลว่าวันพรุ่งนี้เจ้าอาจจะเสียเปรียบในสนามม้าแล้วล่ะ”

นางกลั่นแกล้งตี๋ตงหมิงและคนอื่น ๆ เรียบร้อย แก้แค้นไปเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีอย่างมาก นอกจากนี้หลายวันมานี้นางเหนื่อยอย่างมาก ตอนกลางคืนหลับสบายอย่างมาก แม้ว่าซูเหวินชิงจะมาตามนางให้ไปเปลี่ยนยาให้ปู้จิงหยุนกลางดึก แต่นางก็มิได้อารมณ์เสีย

หลังจากตื่นนอนตอนเช้า เฟิ่งชิงเฉินสดชื่นอย่างมาก นางลาดตระเวนดูห้องคนไข้ ฮูหยินรองเซี่ยและซุนฮูหยินต่างก็ฟื้นตัวได้ดี และไม่มีการติดเชื้อในแผล ภายใต้การดูแลอย่างดีของสาวใช้ ทั้งสองดูสดในอย่างมาก

ไม่น่าแปลกใจที่พยาบาลในโรคขั้นสูงสมัยใหม่จะต้องเป็นพยาบาลแบบตัวต่อตัว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นพวกนางจึงจะสามารถดูแลคนไข้แต่ละคนได้ดี พยาบาลต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมาก ฉะนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะละเลยไปบ้าง

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทั้งสองคนตื่นขึ้น ฮูหยินรองเซี่ยพักอีกสักสองสามวันก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว ส่วนซุนฮูหยินจะต้องรอดูอาการต่ออีกสักพัก

หลังจากดูคนไข้เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็นอนอาบแดด เพลิดเพลินกับความสงบที่หายากนี้ นางกำลังมองจวนเฟิ่งที่ดูใหม่เอี่ยม นางอารมณ์ดีอย่างมาก

ชีวิตความเป็นอยู่ของนางดีขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินใช้ชีวิตลำบากมานานหลายปี ในที่สุดนางก็มีบ้านที่เรียกว่าบ้านเสียที

แต่เฟิ่งชิงเฉินดีใจเร็วเกินไป ขันทีในพระราชวังมาประกาศพระราชกฤษฎีกา โดยบอกว่าให้เฟิ่งชิงเฉินไปที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวง เพื่อดูการแข่งม้าระหว่างตงหลิงกับหนานหลิงและซีหลิง

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกระไรกับนาง นางมอบกระเป๋าเงินที่หนักมากให้ขันทีแล้วถามว่า ” กงกง งานแข่งม้าของสามแคว้นนั้นเป็นงานใหญ่หลวง มีส่วนเกี่ยวข้องกระไรกับชิงเฉินหรือ?”

ขันทีได้รับเงินจึงยิ้มแย้มมีความสุข แต่น้ำเสียงของเขายังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย เขาเปิดเผยสิ่งข้อมูลเล็กน้อยให้เฟิ่งชิงเฉิน ” คุณหนูเฟิ่ง เจ้าต้องขอบใจองค์หญิงเหยาหวาและคุณหนูซูหว่าน หากมิใช่เพราะพวกนาง เจ้าไม่มีทางได้เปิดเผยตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์หรอก”

“ที่แท้เพราะองค์หญิงเหยาหวาและคุณหนูซูหว่านนี่เอง ชิงเฉินเป็นเกียรติอย่างมาก กงกงโปรดรอสักครู้ ชิงเฉินเปลี่ยนชุดแล้วจะเร่งไป” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า ความสุขของนางถูกทำร้ายจนสิ้น

ผู้หญิงสองคนนี้หยุดสักวันจะได้หรือไม่? ไม่หาเรื่องนางจะตายหรืออย่างไร นางช่วยซีหลิงเทียนเหล่ยเอาไว้ในก่อนหน้านี้ ตอนนี้ซีหลิงเหยาหวากลับจะเล่นงานนางเพราะหมดประโยชน์แล้ว มันชัดเจนเกินไป

ราชนิกุลนั้นไร้หัวใจจริงๆ แม้แต่ความรู้บุญคุณโดนพื้นฐานยังไม่มีเลย เหมือนดั่งเสด็จอาเก้า!

เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขออภัยขันที จากนั้นก็ทิ้งขันทีเอาไว้ที่ห้องโถงเพียงผู้เดียว