บทที่ 239 การไม่มีเบาะแสใดๆถือเป็นสิ่งที่ดี

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“นี่คือการฆาตกรรมหรือ?” จิตสังหารวาบขึ้นในจิตใจของหยุนไห่ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าศัตรูมุ่งเป้าไปที่ตระกูลหยุน คนตายเหล่านี้ล้วนเป็นแค่ผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบไปด้วย

ทุกคนต่างก็ครุ่นคิด แต่พวกเขาไม่กล้ามองไปที่ศพบนเตียงชันสูตรศพ แววตาของพวกเขาเหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ใช่” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางร้อยด้ายและเข็มจากนั้นเย็บกะโหลกกลับไปที่เดิม

ร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ต้องฝังทำพิธี แม้ว่าเราจะเหนื่อย แต่การมอบร่างกายที่สมบูรณ์คืนพวกเขานั้นเป็นการให้เกียรติผู้ตาย

“ใครคือฆาตกร?” ตี๋ตงหมิงควบคุมตัวเองให้ไม่ละสายตา ฉะนั้นเขาจึงเห็นทุกขั้นตอน เห็นเฟิ่งชิงเฉินเย็บกะโหลกกลับไปราวกับเย็บเสื้อผ้าเข้าด้วยกัน

เฟิ่งชิงเฉินมือสั่น นางยิ้มและกล่าวว่า “ท่านซื่อจื่อถามแปลกเสียจริง ชิงเฉินเป็นหมอ มิใช่เจ้าหน้าที่จับคนร้าย หากว่าข้าสามารถหาตัวฆาตกรจากร่างของผู้ตายได้ เช่นนั้นเราจะมีกองปราบและเจ้าหน้าที่ไว้เพื่อการใด?”

ทุกวงการมีผู้เชี่ยวชาญ นางรับบทบาทเป็นแพทย์นิติเวชชั่วคราวได้ แต่หากให้นางมารับบทเป็นตำรวจในคดีอาญา นางทำไม่ได้จริงๆ แม้ว่าในปัจจุบัน แพทย์นิติเวชมีหน้าที่เพียงสืบหาสาเหตุการตายเท่านั้น ไม่ใช่ตามหาตัวฆาตกร…

ตี๋ตงหมิงรู้สึกโกรธและอายกับคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน เขากำลังจะตำหนิเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อให้นางรู้ที่ต่ำที่สูง รู้ว่าการคุยกับท่านซื่อจื่อนั้นต้องให้เกียรติ

แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินนำอวัยวะภายในของผู้ตายกลับเข้าไปทีละส่วนอย่างบรรจง เขาก็กล่าวคำตำหนิไม่อก จึงกล่าวต่อใต้เท้าเว่ยว่า “ใต้เท้าเว่ย ข้าให้เวลาเจ้าสิบห้าวันในการไขคลายคดี หากหาตัวฆาตกรไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าลาออกจากตำแหน่งนี้เสีย”

“ขอรับ กระหม่อมจะส่งคนไปสอบสวนประเดี๋ยวนี้ขอรับ” เว่ยเสวียเหลียงอาเจียนออกมามาก ตอนนี้กำลังรู้สึกทรมาน แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ตี๋ตงหมิงกล่าว เขาเร่งยืนตัวตรงและรับปาก

ตี๋ตงหมิงพยักหน้า “เถ้าแก่หยุน เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือกับทางร้านขายยาตระกูลหยุนด้วย ข้าไม่สนว่านี่จะเป็นการแข่งขันภายในตระกูลหยุนหรือว่าถูกพ่อค้าเจ้าอื่นใส่ร้าย แต่เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในเขตที่ข้ารับผิดชอบ เช่นนั้นข้าจะต้องทำตามหน้าที่”

“ท่านซื่อจื่อโปรดวางใจ ตระกูลหยุนจะให้ความร่วมมืออย่างดีเพื่อช่วยให้ท่านจับคนร้ายให้ได้” หยุนไห่ทำเรื่องนี้จนเป็นเรื่องใหญ่โตก็เพื่อที่จะคืนความบริสุทธิ์ให้กับร้านยาตระกูลหยุน และเพื่อที่จะล่อให้คนร้ายเปิดเผยตัว

ไม่ว่าจะเป็นคนวงในของตระกูลหยุนหรือคนนอก เขาและตี๋ตงหมิงก็มีความคิดเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาไม่ปล่อยคนร้ายไปแน่นอน

“เจ้าละใต้ท้าวเว่ยไปได้ ตรงนี้มิต้องกังวล”

“ขอรับ!”

“คุณหนูเฟิ่ง ข้าขอขอบใจเจ้าแทนร้านยาตระกูลหยุนของเรา ตระกูลหยุนเตรียมของขวัญชิ้นเล็กๆ น้อยๆมา ประเดี๋ยวจะนำส่งที่จวนเฟิ่ง คุณหนูเฟิ่งโปรดรับเอาไว้ด้วยเถิด” ก่อนที่จะกลับไป หยุนไห่ได้ขอบใจเฟิ่งชิงเฉิน

น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยินเลย นางกำลังวางอวัยวะกลับเข้าไปทีละส่วน เตรียมที่จะเย็บศพ ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องคืนร่างผู้ตายให้กับครอบครัวโดยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

แต่ไม่คาดคิด หยุนไห่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังดูหมิ่นของขวัญเล็กๆน้อยๆ และอยากได้ของขวัญชิ้นใหญ่กว่านี้

เมื่อนึกถึงทักษะทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉิน หยุนไห่ก็กลับไปและเพิ่มของขวัญมากเกือบเท่าตัว เฟิ่งชิงเฉินกลับไปที่จวนเฟิ่งแล้วพบของขวัญที่กองเต็มจวนเฟิ่ง

“ครูกล่าวผิดไป หมอไม่ใช่อาชีพที่ผลตอบแทนสูง แต่หมอนิติเวชต่างหาก แค่ผ่าศพแล้วเท่านั้นเองไม่คิดว่าจะได้รับของมากเช่นนี้ มิน่าล่ะรุ่นพี่ถึงยอมที่จะอยู่กับศพที่แช่ในฟอร์มาลินทุกวัน และไม่ยอมเปลี่ยนงาน ที่แท้หมอนิติเวชทำเงินได้มากกว่าหมอธรรมดานี่เอง”

อะแฮ่ม นี่คือสิ่งที่ควรคิดหลังกลับไปที่นั่น ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินยังไม่สามารถย้อนกลับไปได้ เฟิ่งชิงเฉินเย็บร่างกลับเข้าด้วยกันภายใต้สายตาที่ตกตะลึงและชื่นชมของหวังชี เซี่ยซาน ซูเหวินชิง

ถ้าไม่ดูเส้นตรงกลางนั้น จะดูไม่ออกเลยว่าร่างนี้เคยถูกเฟิ่งชิงเฉินแยกเป็นชิ้นๆมาก่อน

“ข้าไม่นึกเลยว่า ฝีมือการเย็บของชิงเฉินจะยอดเยี่ยมเช่นนี้” มีหวังชีมองไปที่รอยเย็บที่ประณีตนั้น จากนั้นก็ยกนิ้วให้นาง

ต่อไป สามีของเฟิ่งชิงเฉินคงมีความสุขมาก เขามีภรรยาที่เก่งเรื่องการเย็บ เขาจะมีเสื้อใหม่ใส่ทุกๆวัน

เฟิ่งชิงเฉินตอบรับด้วยความไม่สบอารมณ์

หวังชีกำลังกดดันนาง เพราะแค่เย็บกระดุมนางก็ทำไม่เป็น

“พวกเจ้านั่งรถม้ามาใช่หรือไม่? ประเดี๋ยวใครก็ได้ไปส่งฉันที ข้าเหนื่อยเดินไม่ไหวแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินถอดถุงมือและเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดออก แล้วพูดด้วยความไม่เกรงใจ

“ข้าลืมไปว่าข้ามีนัดกับเพื่อน ให้เซี่ยซานส่งเจ้าแล้วกัน” หวังชีได้ยินก็เร่งหนีทันที วันนี้ชิงเฉินแข็งแกร่งมากเกินไป เขายังกลัวอยู่เล็กน้อย จึงยังไม่กล้านั่งรถคันเดียวกันกับชิงเฉิน เขากลัวว่าหากเข้าใกล้จะได้กลิ่นคาวเลือดบนตัวชิงเฉิน

“ข้าและเหวินหางกับข้าจะไปตรวจสอบร้านค้า ข้าขอตัวก่อน” ซูเหวินชิงอุ้มซูเหวินหางและปิดปากของเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาเอ่ยปากกล่าวกระไร

เหตุผลเดียวกับหวังชี

เมื่อเขาเห็นเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็นึกถึงศพที่แยกออกมา ซึ่งรื้อจนไม่มีความเป็นร่างกายคนเหลืออยู่ เขายังไม่หายกลัว ภาพในวันนี้มันน่ากลัวจนเกินไป คิดว่าเขาคงไม่กล้ากินเนื้อสัตว์อีกเป็นเวลานาน

เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว นางน่ากลัวเช่นนั้นเลยหรือ? ก็แค่ชันสูตรศพเท่านั้นเอง

“ข้าขี่ม้า และข้ามีธุระกับใต้เท้าเว่ย การจับตัวฆาตกรนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก” ตี๋ตงหมิงหนีออกไปหน้าตาเฉย

เซี่ยซายยืนอยู่ตรงที่เดิม เฟิ่งชิงเฉินถาม “แล้วเจ้าล่ะ? มีเรื่องกระไรหรือไม่?”

“ข้า ข้า…” เซี่ยซานหดหู่จนแทบจะร้องไห้ออกมา เขาตะลึงอยู่นาน จากนั้นก็นึกวิธีดีๆขึ้นมาได้ว่า “ข้าอยากจะเข้าห้องสุขา ตอนนี้ยังไม่กลับ”

“อ๊า…..ห้องสุขาอยู่ที่ใด ” เซี่ยซานสิ่งราวกับว่ามีผีตามหลังเขามา

ทุกคนหายตัวไปแล้ว เหลือเพียงซุนเจิ้งเต้า ” ข้าอยากจะส่งเจ้านะ แต่ข้าเองก็เดินมาเช่นกัน หมอเฟิ่ง ข้าอยากช่วยอย่างมากเพียงแต่ข้าไม่มีกำลัง”

กลิ่นคาวเลือดบนร่างกายเฟิ่งชิงเฉินนั้นแรงเกินไป แม้ว่าเขาจะเป็นหมอที่ไม่กลัวภาพเลือดน่ากลัวนั้น แต่เขาเองก็ไมอบกลิ่นเลือดนี้ เพราะกลิ่นมันคาวและแรงจนเกินไป

“ดี เยี่ยมยิ่งนัก พวกเจ้าแต่ละคนหนีไวเหลือเกิน ข้าจะจำเอาไว้” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันด้วยความโกรธ แล้วเดินกลับไปที่จวนเฟิ่งพร้อมกับกล่องยา ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ทางฮูหยินรองเซี่ยก็เกิดปัญหาอีกแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินเร่งไปจัดการ จากนั้นก็ไปตรวจสอบอาการของซุนฮูหยิน และยุ่งอยู่อย่างนี้จนค่ำ นางลืมกินข้าวเที่ยงอีกแล้ว

วันรุ่งขึ้น หลังจากตรวจสอบคนไข้เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินได้นอนหลับสบายเสียที จากนั้นนางออกจากหาเบาะแสของโจวสิง แต่ก็ไม่พบกระไร

การไม่มีเบาะแสใดๆนั้นถือเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยโจวสิงยังไม่ตาย

เมื่อกลับไปที่จวน เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าของที่ตนให้สะใภ้เถี่ยซื้อนั้นได้มาครบแล้ว นางจึงเร่งให้ซุนซือสิงไปเชิญตี๋ตงหมิง หวงัชี เซี่ยซาน ซูเหวินชิงและซุนเจิ้งเต้ามา และบอกว่าตนเชิญพวกเขามากินข้าวเย็นด้วยกัน

เมื่อทั้งห้าคนได้ยินคำเชิญของเฟิ่งชิงเฉินแม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบเหตุผล แต่ก็ยังมา เซี่ยซาน หวังชีและซูเหวินชิงกังวลอย่างมาก กลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเอาคืนเรื่องเมื่อวานนี้ แต่ไม่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยิ้มอย่างสดใส นางไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อวานเลย เพียงแค่ถามถึงความคืบหน้าของคดี

(หมอนิติเวช: ขอให้ฟ้าผ่าส่งเจ้ากลับมาเสียที จะได้รู้ว่าหมอนิติเวชสมัยปัจจุบันนี้ลำบากมากแค่ไหน!)