บทที่ 312 พวกเขาไม่เหมือนกัน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 312 พวกเขาไม่เหมือนกัน
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นตระหนก และล้มลงไปกอดหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง……”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ นางกอดหนานกงเย่และร้องไห้

“ฮือฮือ……”

ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังร้องไห้ ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นและเห็นจิ้งจอกหางสั้นออกมาจากพงหญ้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเรียกมัน:“เจ้าจิ้งจอกน้อย!”

จิ้งจอกหางสั้นรับรู้และรีบไปมาที่ข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋น มันมองไปที่หนานกงเย่ แล้วนอนลงข้าง ๆ หนานกงเย่

ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงสงบสติอารมณ์ลง และถอนหายใจด้วยความโล่งอก:“เป็นข้าที่ตื่นตระหนกจนเกินไป ขอบใจเจ้านะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มใช้สมาธิและตรวจดูอาการหนานกงเย่

พิษเข้าสู่หัวใจแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นทำจิตใจให้มั่นคง นางหยิบมีดออกมาแล้วกรีดข้อมือของตัวเอง จากนั้นก็บีบปากของหนานกงเย่และให้เขาดื่มเลือดของนาง

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหนานกงเย่ค่อย ๆ ดีขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ดูเหมือนว่าพิษของไป๋ซู่ซู่จะเข้ากันได้กับเลือดของนาง และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สามารถถอนพิษของผู้เฒ่าพิษได้นั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อกลับไปแล้ว คงต้องไปลองใช้กับจักรพรรดิอวี้ตี้ บางทีมันอาจจะมีประโยชน์

ฉีเฟยอวิ๋นจับข้อมือของหนานกงเย่ และรู้สึกว่าพิษของหนานกงเย่ค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่จิ้งจอกหางสั้น:“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

จิ้งจอกหางสั้นยกเปลือกตาขึ้น มันพูดไม่ได้ แล้วมันจะพูดอะไร?

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปรอบ ๆ และถามว่:“เจ้ามานานแล้วหรือ?”

จิ้งจอกหางสั้นกระดิกหู ซึ่งหมายความว่านางพูดถูก

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงถามต่อ:“เจ้าตามพวกเราออกมาหรือ?”

จิ้งจอกหางสั้นไม่ตอบสนอง คงต้องถามอีกสักหน่อยมันถึงจะเข้าใจ

เมื่อจิ้งจอกหางสั้นรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นออกมา มันก็เดินตามมา แต่เมื่อมาถึงประตูเมือง มันก็ได้กลิ่นและรออยู่ในเมือง

ต่อมามันรู้ว่ามีงู จึงหลบซ่อนและไม่ได้ออกมา

หลังจากที่ถามจบแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า:“ต้องขอบใจเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงจะร้องไห้จนขาดใจตาย!”

จิ้งจอกน้อยกระดิกหูอย่างยินดีปรีดา

แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกเศร้าใจ

เห็นได้ชัดว่ารักตัวกลัวตายและไม่ยอมออกมาจากที่ซ่อน

หลังจากที่หนานกงเย่นอนอยู่สักพัก เขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นเขาฟื้นแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ท่านอ๋อง ท่านฟื้นแล้ว?”

หนานกงเย่สูญเสียพลังชีวิตไปมาก เขามองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ

ฉีเฟยอวิ๋นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงเริ่มใช้สมาธิเพื่อตรวจดูอาการของหนานกงเย่อีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าหนานกงเย่ไม่เป็นอะไร ฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า:“กลับไปแล้ว ข้าจะปรับสมดุลให้ท่านอ๋อง อีกไม่กี่วันก็จะดีขึ้นแล้ว”

หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋น:“ดูเหมือนข้าจะเห็นประตูไปสู่นรกแล้ว”

“……ท่านอ๋อง ประตูนรกอยู่ข้างหน้า ไม่ได้อยู่ที่ท่าน” ฉีเฟยอวิ๋นหวาดกลัว เมื่อครู่หากไม่ใช่จิ้งจอกหางสั้นตามมา นางก็คงจะลืมถอนพิษให้หนานกงเย่

หากสายเกินไปก็คงช่วยไว้ไม่ทัน

ภาพที่หนานกงเย่ใกล้ตายก็คงจะเป็นเพียงภาพลวงตา

เธอเป็นหมอและรู้เรื่องนี้ดี

“ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะ ข้าตกใจแทบแย่!” ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของหนานกงเย่ เขายังไม่สามารถลุกขึ้นได้ จึงทำได้เพียงจับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้

“ข้าไม่สามารถทำให้ต้าเหลียงขายหน้าได้ ปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้ จะมีหน้ากลับไปพบฝ่าบาทได้อย่างไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา:“เช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แล้วข้ากับลูกเล่า?”

“ข้าไม่มีทางเป็นอะไรหรอก จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”

“ท่านอ๋อง แต่หากไม่มีข้า ไม่แน่ว่าตอนนี้ท่านอาจจะ……”

“ข้าเชื่อใจอวิ๋นอวิ๋น……”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอะไรจะพูด นางก้มหน้าลงและจูบริมฝีปากของหนานกงเย่ และไม่ให้เขาพูดอะไรอีก

หนานกงเย่ค่อย ๆ ยกมือขึ้นกอดฉีเฟยอวิ๋น

ทั้งสองกอดกัน จิ้งจอกหางสั้นนอนลงและมองไปรอบ ๆ หลังจากที่พวกเขาไม่จูบกันแล้ว จิ้งจอกหางสั้นก็ลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วจากไป

จิ้งจอกหางสั้นเฉลียวฉลาดและว่องไว

หนานกงเย่เหลือบและถามว่า:“มันไปทำอะไร?”

“กลับไปหาคนแล้ว ท่านขยับได้หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นจับขาของหนานกงเย่ พิษถูกขับออกมาแล้ว แต่ร่างกายยังคงรู้สึกชา คล้ายกับเฉินอวิ๋นเจี๋ย ล้วนแต่ทำลายพลังชีวิตของพวกเขา แต่ปฏิกิริยาของพวกเขาหลับต่างกัน

หนานกงเย่นอนอยู่ในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นอย่างสบายใจ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถทำอะไรกับเขา ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกอดและเฝ้ามองเขา

หนานกงเย่รู้สึกง่วงเล็กน้อย:“ข้าจะพักผ่อนสักเดี๋ยว เมื่อมีคนมาแล้ว เจ้าก็ปลุกข้า”

“ดื่มเลือดอีกสักหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมีดขึ้นมา แต่หนานกงเย่ก็จับมือของนางไว้

หนานกงเย่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและกดมือของฉีเฟยอวิ๋น:“ข้าดื่มไม่ลง ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะดูแลตนเองให้ดี ๆ เพื่อไม่ให้อวิ๋นอวิ๋นต้องเป็นกังวล และจะไม่ให้ทำร้ายอวิ๋นอวิ๋นอีก

อวิ๋นอวิ๋นใช้มีดกรีดข้อมือของตนเอง ข้ามักจะคิดว่าอวิ๋นอวิ๋นไม่เจ็บ เพราะนั้นไม่ใช่มือของอวิ๋นอวิ๋น

ร่างกายของอวิ๋นอวิ๋นนั้นพิเศษ ข้าจึงคิดว่ามันไม่เจ็บ

แต่ข้ากลับรู้สึกเจ็บปวด!”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และกลอกตามองหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์:“เพียงแค่พูดว่าครั้งนี้ก็ไม่แย่ ท่านไม่สามารถกลับไปเช่นนี้ได้”

“เช่นนี้ผู้คนจะได้เห็นว่าข้าทำสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถตามจับได้ และถือได้ว่าเป็นคำชี้แจงแก่ราชนิกุล ถึงอย่างไรพวกเขาก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว และข้าก็นอนอยู่เช่นนี้”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะปลอบหนานกงเย่อย่างไร จึงทำได้เพียงปล่อยวาง

ไม่นานจิ้งจอกหางสั้นก็ไปหาแม่ทัพฉี แม่ทัพฉีจึงนำกำลังพลไปดูบุตรเขยที่นอนอยู่บนพื้น และรีบพาเขาขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นก็พากลับไป

ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องเย่ แต่พากลับไปที่จวนแม่ทัพ เขาเข้าไปในวังเพื่อรายงานสถานการณ์กลางดึก

จักรพรรดิอวี้ตี้ตื่นขึ้นมากลางดึกและเดินไปที่พระนั่งบำรุงฤทัย

“ไม่ใช่ว่าไปแล้วหรือ?”

จักรพรรดิอวี้ตี้ดูร้อนใจ

“ตอนที่พบเขาก็นอนอยู่แล้ว อวิ๋นอวิ๋นบอกว่าได้ทำการถอนพิษแล้ว แต่ก็ทำลายพลังชีวิต ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเดินไม่ได้ และต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ

คนพวกนี้กำเริบเสิบสานมากเกินไป ไม่สามารถปล่อยไว้ได้!”

แม่ทัพฉีให้ท้ายลูกตัวเอง เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับบุตรเขยที่แสนดี ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาต้องได้รับโทษ ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บ หากวันหน้าเกิดอะไรขึ้นแล้วจะทำอย่างไร?

จักรพรรดิอวี้ตี้มองดูอยู่ครู่หนึ่ง:“เจ้าไม่ต้องตามไปก่อเรื่องเพิ่ม คนจากหุบเขายามาที่นี่เพราะเรื่องของไป๋ซู่ซู่ หากจัดการกับอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็จะไม่เกิดเรื่องขึ้น เขาทุบตีนางสนมจนตาย

เป็นเขาที่หาเรื่องใส่ตัว

ส่วนอ๋องเย่ ในตอนนี้เขายังไม่เป็นอะไร เขายังยืนได้ไม่ใช่หรือ?”

แม่ทัพฉีไม่พอใจ:“ฝ่าบาท ท่านอ๋องเย่ไม่เพียงแต่เป็นบุตรเขยของกระหม่อม แต่ยังเป็นน้องชายของพระองค์ด้วย เพื่อต้าเหลียงพระองค์ถึงต้องทำเช่นนี้ แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”

“แล้วเช่นนั้นเจ้าจะนำกำลังทหารไปที่หุบเขายาหรือ? หุบเขายาไม่ได้อยู่ในเขตแดนของต้าเหลียง หากเจ้านำกำลังทหารไปก็จะทำให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้น”

“……”

แม่ทัพฉีรู้สึกกลัดกลุ้ม:“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”

จักรพรรดิอวี้ตี้โกรธมาก:“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้าจะลงโทษเจ้า ระยะนี้เจ้าไม่มีกฎระเบียบมากขึ้นเรื่อย ๆ พอไม่เห็นด้วยก็ทูลลาออกไป รังแกข้าแล้วจะออกไปก็ออกไปอย่างนั้นหรือ?”

สวีกงกงเหลือบมองทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทะเลาะกัน เขาก็รู้สึกโล่งใจ

จักรพรรดิอวี้ตี้สงบลงเล็กน้อย:“อ๋องเย่เป็นอย่างไรบ้าง?ยังสามารถพูดได้หรือไม่?”

แม่ทัพฉีกล่าวว่า:“ยังต้องนอนอยู่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้ยินว่าพูดได้หรือไม่ ในตอนนี้อวิ๋นอวิ๋นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก”

แม่ทัพฉีไม่พูดก็ดีอยู่แล้ว พอพูดเขาก็บ่น

เดิมทีจักรพรรดิอวี้ตี้ต้องการจะพูดคุยกับเขา แต่เขาดูไม่ค่อยพอใจจักรพรรดิอวี้ตี้ จึงปล่อยให้เขาออกจากวังไป

หลังจากที่ออกมาแล้ว แม่ทัพฉีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาได้ทำตามที่บุตรสาวบอกแล้ว และเขาควรจะกลับไปได้แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นพักอยู่ที่จวนแม่ทัพทั้งคืน และให้คนกลับไปแจ้งพ่อบ้านที่จวนอ๋องเย่

เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปป้อนยาให้หนานกงเย่ และบำรุงร่างกายให้เขา หลังจากนอนพักผ่อนมาหนึ่งคืน เขาก็สามารถลุกจากเตียงและลงมาเดินได้

เมื่อคืนอาอวี่มา และเมื่อเห็นว่าหนานกงเย่สามารถเดินได้แล้ว เขาก็ดีใจ:“ท่านอ๋อง ท่านสามารถเดินไปได้แล้ว?”

“ไร้สาระ ข้ายังไม่ได้พิการ?”

หนานกงเย่ให้ฉีเฟยอวิ๋นช่วยพยุง และเหลือบมองไปที่อาอวี่อย่างไม่สบอารมณ์ อาอวี่จึงกล่าวในทันทีว่า:“จนถึงตอนนี้เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็ยังไม่สามารถลุกจากเตียงได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่ไม่ได้อธิบายและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น

แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

เฉินอวิ๋นเจี๋ยจะเทียบกับเขาได้อย่างไร!

ฉีเฟยอวิ๋นทำทุกอย่างได้เพื่อเขา แต่เฉินอวิ๋นเจี๋ยยังอยู่ห่างไกล

จะเหมือนกันได้อย่างไร?