ตอนที่ 293 เกี๊ยวแป้งขาว
ตอนที่ 293 เกี๊ยวแป้งขาว

“แล้วต้องแลกด้วยจำนวนเท่าไหร่ล่ะ แลกกับข้าวเปลือกหรือข้าวสาร สองอย่างนี้ไม่เหมือนกันนะ” เฮ่อซงจือกล่าว

ข้าวเปลือกและข้าวสารต่างกันหนึ่งชั้น ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

“แลกเป็นข้าวสารสิ แลกกลับมาก็กินได้แล้ว ถ้าเป็นข้าวเปลือกยังต้องเอาไปสีอีกนะ” จ้าวเหวินเทากล่าว “ส่วนจะแลกยังไง ฉันคงต้องไปถามอีกรอบ ก่อนหน้านี้ข้าวฟ่างหนึ่งชั่งสามารถแลกข้าวเจ้าได้หนึ่งชั่ง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว ข้าวฟ่างปีนี้ก็ยังไม่เก็บเกี่ยวด้วย ถ้าพวกเราจะเอาไปแลกก็ต้องแลกข้าวใหม่!”

“แบบนั้นก็ดีเลย ถึงเวลานั้นอย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะ ฉันจะแลกไว้สักหน่อย ปีที่แล้วบ้านฉันปลูกข้าวฟ่างไว้สิบกว่าหมู่ น่าจะแลกข้าวสารได้สิบกว่าชั่ง”

“สิบกว่าชั่งน้อยไปหน่อยมั้ง ยังไงก็ต้องแลกให้ได้หลายร้อยชั่งสิ” จ้าวเหวินเทาเอ่ยปากพูดถึงตัวเลขปริมาณมาก

เฮ่อซงจือหมดคำพูด “มากขนาดนี้ฉันคงต้องไปถามที่บ้านแล้วล่ะ”

ตอนนี้พวกเขายังอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน หล่อนจึงไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวได้

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รีบอะไร” จ้าวเหวินเทาบอก

เดือนสิงหาคมข้าวฟ่างถึงจะสุกงอม นำออกไปขายก็ต้องเป็นเดือนกันยายน ยังเหลือเวลาอีกสองเดือน จึงไม่ต้องรีบร้อน

เฮ่อซงจือพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าถึงเวลาต้องกลับไปให้นมลูก หล่อนก็คลุมถุงกระสอบรีบวิ่งกลับไป

“ครั้งหน้าถ้าเธออุ้มลูกมาด้วย คงได้คุยกันนานกว่านี้อีกสักหน่อย!” เย่ฉูฉู่ยืนตะโกนอยู่หน้าประตูบ้าน

“ไม่เอามาหรอก ทั้งฉี่ทั้งอึแบบนั้นฉันคงจัดการไม่ไหว!” เฮ่อซงจือทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค ก็วิ่งกลับไปจนไม่เห็นเงา

เย่ฉูฉู่ส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด เธอปิดประตูและเดินกลับเข้ามา

“ฝนตกหนักขนาดนี้อุ้มลูกมาด้วยคงไม่ดีหรอก” จ้าวเหวินเทาได้ยินคำพูดของภรรยาแล้ว

“ถึงอากาศดีหล่อนก็ไม่อุ้มมา เฮ่อซงจือคนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ลูกก็ยังขี้เกียจจะดูแล” เย่ฉูฉู่เห็นเสี่ยวไป๋หยางหาวแล้ว เธอจึงอุ้มลูกขึ้นมากล่อมนอน “เสี่ยวไป๋หยางจะนอนแล้วเหรอลูก?”

จ้าวเหวินเทานำช้อนและตะเกียบไปเก็บ หลังจากล้างเสร็จเมื่อเดินออกมาก็พบว่าลูกชายหลับปุ๋ยไปแล้ว “นอนเร็วดีนะ”

“เด็กเล็ก ๆ นอนเร็ว คุณก็ไปนอนสักหน่อยเถอะ” เย่ฉูฉู่วางลูกลงบนเตียง และนำเสื้อตัวเล็กมาคลุมไว้บนท้องของลูก

จ้าวเหวินเทาเอ่ย “เฮ่อซงจือไม่อยากยุ่งยากก็เลยไม่หอบลูกมาสินะ?”

“อาจจะใช่ ตอนแรกบอกว่าจะอุ้มลูกออกมาเล่นด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ยอมอุ้มออกมา มีแต่หล่อนที่ออกมาคนเดียว หล่อนบอกว่าให้แม่สามีดูลูกให้ ส่วนตัวเองลงไปทำนา”

“แล้วเวลาลูกหิวจะทำยังไง?”

“ก็ประมาณเวลาเอานั่นแหละ พอถึงเวลาก็กลับไปให้นมลูก”

“วิ่งไปกลับระยะไกลแบบนั้น จะทำงานได้มากสักเท่าไรกันเชียว?”

“ก็นั่นน่ะสิ โชคดีที่พวกเขายังไม่แยกบ้านกัน เลยอยู่ด้วยกันหมด มีงานก็ช่วยเหลือกัน”

“แบบนี้ยังจะคิดแยกบ้านอีก หล่อนคนเดียวจะเลี้ยงลูกไหวเหรอ? จ้าวเหวินจื้อก็ต้องไปสอนด้วย มีเวลาแค่วันเสาร์อาทิตย์เอง” จ้าวเหวินเทาสงสัยมาก

เย่ฉูฉู่ตอบ “ที่ดินสำหรับสามคนน่าจะไหวมั้ง?”

“ที่ดินสำหรับคนเดียวก็ต้องมีคนไปดูแลเป็นประจำนะ เฮ่อซงจือจะเลี้ยงลูกคู่กับลงไปทำนาได้ไงเนี่ย แบบนั้นจะทำงานได้เหรอ?” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่ยังจำความรู้สึกตอนที่ไปทำนาในทีมผลิตได้อยู่เลย หลังจากแบ่งที่ดินเธอก็ไม่ได้ลงไปทำนาแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าการดูแลที่ดินสำหรับสามคนต้องใช้เวลามากขนาดไหน

“ชุยเอ้อกับพ่อของเขาดูแลที่ดินสำหรับหกคนทั้งของบ้านเขาและบ้านพวกเรา ส่วนจ้าวเหวินจื้อและเฮ่อซงจือ คนหนึ่งมีงานต้องทำส่วนอีกคนมีลูกต้องดูแล ต่อให้เหลือที่ดินสำหรับสามคน ก็ดูแลไม่ไหวอยู่ดี เว้นเสียแต่ว่าแม่สามีของหล่อนจะช่วยดูแลให้”

“เฮ่อซงจือไม่ได้บอกนะ บอกแค่ว่าอยากสร้างบ้านแล้วย้ายออกมา ฉันก็ไม่อยากถามมากไปกว่านั้น” เย่ฉูฉู่เอนตัวนอนลงบนเตียง ฟังเสียงฝนที่ตกอยู่ด้านนอก “เฮ่อซงจือแอบเปลี่ยนไปนิดหน่อยด้วย”

จ้าวเหวินเทาดึงผ้าห่มมาห่มให้ภรรยาและตัวเอง “มีใครบ้างไม่เปลี่ยน ทุกคนก็นิสัยเปลี่ยนกันทั้งนั้นแหละ นอนเถอะ ภรรยา เรื่องของคนอื่นอย่าเก็บมากังวลใจเลย”

ภายในชนบท ถ้าฝนตกก็จะห่อเกี๊ยวเพื่อรับประทาน ถึงอย่างไรฤดูร้อนก็ยุ่งทุกวันอยู่แล้ว อากาศดีก็ต้องลงไปทำนา แต่เมื่อฝนตกก็จะได้พักผ่อน ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองไปด้วย ก่อนหน้านี้ต่างก็ห่อกันด้วยแป้งบักวีท ปีนี้ปลูกข้าวสาลีแล้ว ทั้งยังเก็บเกี่ยวได้อย่างดี ดังนั้นแป้งที่ห่อจึงใช้เป็นแป้งขาว และเป็นการลองชิมไปด้วยว่าแป้งที่บดจากแป้งสาลีที่ปลูกขึ้นมาเองจะมีรสชาติเป็นอย่างไร

พี่สะใภ้รองจ้าวห่อเกี๊ยวด้วยแป้งขาวและทำเป็นไส้บวบ ตอนนี้เป็นช่วงที่บวบออกผลดกจนรับประทานไม่ทันแล้ว จึงนำมาทำเป็นไส้เกี๊ยวได้

“อืม แป้งนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ” พี่รองจ้าวรับประทานไปหนึ่งคำ ก็พูดอย่างพึงพอใจมาก

ลูก ๆ ทั้งสามคนรับประทานกันอย่างตะกละตะกลาม พี่สะใภ้รองจ้าวจึงต้องพูดว่า “กินให้มันช้า ๆ หน่อย ในหม้อยังมีอีก พวกแกได้กินกันจนอิ่มนั่นแหละ!”

เถี่ยต้านพูดด้วยเสียงคลุมเครือ “ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้กินอีกเมื่อไรนี่นา!”

พ่อกับแม่เป็นคนใช้ชีวิตเป็น ครั้งนี้ได้รับประทานเกี๊ยวที่ทำจากแป้งขาว ครั้งหน้าอาจจะเป็นช่วงข้ามปีถึงจะได้รับประทานอีกครั้ง

พี่รองจ้าวรีบพูด “ลูกชาย ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้บ้านเราปลูกข้าวสาลีแล้ว หลังจากนี้แกอยากกินแป้งขาวตอนไหนก็จะได้กินตอนนั้น”

“จริงเหรอ? ผมอยากกินแป้งขาวทุกวันเลย!” เถี่ยต้านพูดรัวเร็ว

ลูกอีกสองคนก็มองพ่อกับแม่อย่างใจจดใจจ่อ

พี่รองจ้าวมองไปทางพี่สะใภ้รองจ้าว จะได้รับประทานทุกวันเหรอ?

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังจะกินแป้งขาวทุกวันอีก คุณมีสามารถขนาดนั้นเลย? ยังจะกินทุกวันอีก ฉันเองก็อยากกินข้าวทุกวันเหมือนกันนั่นแหละ!”

“ว่าแล้วเชียวว่าพ่อกับแม่ต้องโกหก” เถี่ยต้านแค่นเสียงในลำคอ เขาก้มหน้ารับประทานต่อไป ทั้งยังบ่นพึมพำอีกหนึ่งประโยคว่า “อาเล็กได้กินแป้งขาวทุกวัน ตอนที่ไม่ได้ปลูกข้าวสาลีก็ได้กินทุกวันแล้ว นี่บ้านเราปลูกข้าวสาลีแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่ได้กินทุกวันอีก…”

แม้เขาจะพูดอู้อี้ แต่พี่รองจ้าวก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนจนแอบรู้สึกจุกเข้าไปถึงกลางใจ จากนั้นจึงขบฟันกล่าวว่า “มันก็แค่แป้งขาวไม่ใช่เหรอ พ่อให้พวกแกกินเอง! ถ้าไม่พอ ปีหน้าพ่อจะปลูกแต่ข้าวสาลีอย่างเดียวเลย!”

“คุณบ้าไปแล้วเหรอ!” พี่สะใภ้รองจ้าวอารมณ์ร้อนขึ้นทันใด

พี่รองจ้าวพูด “ลูกอยากกินก็ให้กินไปสิ ถ้าปลูกข้าวสาลีแล้วยังไม่ได้กินแป้งขาวทุกวัน มันจะไปมีความหมายอะไร!”

พี่สะใภ้รองจ้าวยังอยากพูดต่อ แต่ท้ายที่สุดก็กลืนคำพูดลงคอ ต่อหน้าลูก ๆ ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาบารมีของสามีในฐานะหัวหน้าครอบครัวด้วย ส่วนจะได้รับประทานอะไรจริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับหล่อนไม่ใช่เหรอ

ครอบครัวของพี่สามจ้าวก็ห่อเกี๊ยว และห่อด้วยไส้บวบเช่นเดียวกัน ตอนนี้เป็นฤดูกาลของบวบ จึงนำพวกมันมาทำเป็นไส้เกี๊ยวกันหมด

แป้งขาว ไส้บวบ พี่สามจ้าวกัดหนึ่งคำสลับกับกระเทียม เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามกรอบหน้า เขารับประทานด้วยความพึงพอใจอย่างมาก อืม นี่แหละถึงจะเรียกว่าชีวิตที่มีความสุข!

พี่สะใภ้สามจ้าวมองลูกทั้งสองคนที่กำลังรับประทานอาหารเหมือนกับลูกเสือ หล่อนก็มีความสุขมากเช่นกัน

“บอกว่าพวกเราปลูกข้าวสาลีไม่ได้ นี่ก็ปลูกได้แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต่างกับแป้งขาวที่ซื้อมาเลย” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว

พี่สามจ้าว “นั่นน่ะสิ ผมว่าอร่อยกว่าที่ซื้อมาอีก ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนคิดอะไรกันอยู่ ถึงไม่รู้จักปลูกข้าวสาลีกัน”

“อย่าว่าแต่ก่อนหน้านี้เลย ตอนนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องหกจัดการเรื่องปลูกข้าวสาลี ก็คงไม่มีใครนึกถึง ไม่เพียงแค่คิดไม่ถึงแต่ยังไม่ให้พวกเราปลูกด้วย หัวคร่ำครึกันทั้งนั้น!”

พี่สะใภ้สามจ้าวโชคดีมากที่เรียนรู้วิธีปลูกข้าวสาลีในตอนนั้น ไม่เช่นนั้นตอนนี้จะได้รับประทานแป้งขาวเหรอ? จะได้รับประทานโดยที่ไม่ต้องผสมแป้งบักวีทแบบนี้เหรอ?

“เจ้าหกนี่มันหัวใสดีจริง ๆ กล้าหาญมากด้วย บอกจะปลูกก็ปลูกเลย แถมยังปลูกขึ้นด้วย หลังจากนี้ต้องจับตามองให้ดีแล้ว หมอนั่นทำอะไรพวกเราก็ทำด้วย มีเรื่องดี ๆ พวกเราก็อย่าได้น้อยหน้า” พี่สามจ้าวกล่าว

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขณะที่คนอื่นตื่นเต้นกับข้าวสาลี บ้านเจ้าหกก็คิดจะแลกข้าวเจ้ามากินแล้ว

พี่สามจ้าวบทจะดีก็ดีนะเนี่ย ส่วนพี่สะใภ้รองจ้าวจะงกไปไหนคะ

ไหหม่า(海馬)