ตอนที่ 294 ใช้ชีวิตให้ดีก็คือศาสตร์แขนงหนึ่ง

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 294 ใช้ชีวิตให้ดีก็คือศาสตร์แขนงหนึ่ง
ตอนที่ 294 ใช้ชีวิตให้ดีก็คือศาสตร์แขนงหนึ่ง

ในใจพี่สามจ้าวตอนนี้เกิดไฟคิดอยากจะใช้ชีวิตให้ดีแล้ว โดยเฉพาะความคิดที่อยากจะเอาชนะจ้าวเหวินเทาให้ได้ ต่อให้แซงหน้าไม่ได้ ก็ขอให้เทียบเท่ากับจ้าวเหวินเทา ดังนั้นเขาจึงแอบทำงานอย่างหนัก

พี่สะใภ้สามจ้าวมองพี่สามจ้าวก็แอบรำพึงในใจอยู่สองสามประโยค แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้วก็ปล่อยผ่านไป กว่าจะได้รับประทานเกี๊ยวแป้งขาวไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นอย่าชวนทะเลาะเลย

พี่สามจ้าวรับประทานเกี๊ยวไปสามถ้วยใหญ่ หลังจากเรอออกมา เขาก็ยกถ้วยขึ้นมาซดน้ำซุปอย่างช้า ๆ คนโบราณพูดไว้ไม่ผิดเลยว่า ‘ซดน้ำแกงเพื่อย่อยอาหาร’ ต่อให้รับประทานเกี๊ยวมากกว่านี้ หากได้ดื่มซุปเกี๊ยวเพียงไม่นานอาหารก็จะย่อย

“ถ้าคุณอยู่ว่าง ๆ ก็ไปนั่งคุยกับสะใภ้หกให้มากหน่อย ดูสิว่าพวกเขาค้าขายอะไรเพื่อหาเงินอีกบ้าง อย่าเอาแต่ทำตัวเหมือนคนไร้ชีวิต มัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง” พี่สามจ้าวกล่าว

พี่สะใภ้สามจ้าวกลอกตาใส่เขา “บ้านของน้องสะใภ้หกไกลขนาดนั้น ขืนอยู่ดี ๆ ฉันว่างแล้วถ่อไปหาถึงที่นั่น เขาคงคิดว่าฉันไปทำอะไรสักอย่างนั่นแหละ! คุณไปก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ถ้าผมไปเองได้ยังต้องให้คุณไปอีกเหรอ?” พี่สามจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าหกฉลาดจะตายไป มีค้าขายอะไรดี ๆ ก็ไม่บอกผมหรอก แต่สะใภ้หกยังดีหน่อย คุณไปคุยกับสะใภ้หก อีกฝ่ายก็ต้องบอกคุณบ้างนั่นแหละ ผมเป็นพี่สามีจะให้ไปคุยกับน้องสะใภ้ตัวเองเหรอ? ผู้หญิงแบบคุณนี่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย!”

พี่สะใภ้สามจ้าวไม่เห็นด้วย “ตัวเองก็ใช้ชีวิตของตัวเองไปสิ เอาแต่จ้องคนอื่นว่าทำอะไรอยู่ได้ อีกอย่าง เราก็มีให้กินให้ดื่มแล้ว ยังไม่ดีอีกเหรอ?”

พี่สะใภ้สามจ้าวพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้มาก หล่อนไม่เข้าใจเลยว่าพี่สามจ้าวจะเอาแต่จิตใจร้อนรนทั้งวันไปทำไม

พี่สามจ้าวได้ยินก็รู้สึกโมโหมาก “ผมถึงได้บอกไงว่าผู้หญิงอยู่แต่บ้านไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง! ยังมาบอกให้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองอีก มันจะธรรมดาแค่นั้นเหรอ? ข้างนอกมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเยอะแยะ แค่คุณไม่รู้ก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว! อย่าลืมนะว่าที่คุณมีกินมีดื่มก็เพราะผมรู้ว่าเจ้าหกปลูกข้าวสาลีก็เลยปลูกตาม ถึงทำให้มีกินมีดื่มนี่ไง!”

“พอแล้ว ๆ ฉันรู้แล้ว” พี่สะใภ้สามจ้าวพูดอย่างหมดความอดทน และตั้งใจรับประทานเกี๊ยวที่อยู่ตรงหน้า

พี่สามจ้าวเห็นท่าทางแบบนั้นของหล่อนก็เกิดโมโหขึ้นมา “ทำไมฉันถึงมาอยู่กับผู้หญิงสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้นะ เธอนี่เข้ากันได้ดีกับเจ้าสี่เลยนะ รู้จักแต่กินไปวัน ๆ แล้วรอวันตาย ไม่มีอนาคตเลยสักนิด!”

พี่สี่จ้าวที่ไม่มีอนาคตก็กำลังรับประทานเกี๊ยวแป้งขาวอยู่ เขาไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองไร้อนาคตสักนิดเลย ยังคงรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

พี่สะใภ้สี่จ้าวกำลังพูดถึงความดีความชอบของหล่อนจากเกี๊ยวในมื้อนี้อยู่ “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันยืนกรานจะปลูกข้าวสาลี ตอนนี้จะได้กินเกี๊ยวแป้งขาวเหรอ?”

พี่สี่จ้าวพยักหน้า “อืม คุณเก่ง”

“แหงสิ ถ้าทำตามที่คุณบอก บ้านเราคงได้อดอยากปากแห้งกันหมด!” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

พี่สี่จ้าวมองดูภรรยาของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้ารับประทานต่อ เห็นแก่เกี๊ยวแป้งขาว ปล่อยให้ภรรยาของเขาได้ภาคภูมิใจสักหน่อยแล้วกัน

พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดฉอด ๆ ถึงตัวเองที่มองการณ์ไกลต่อไป “คุณเห็นหน้าของพวกที่ไม่ได้ปลูกข้าวสาลีในหมู่บ้านเราหรือยัง? คนพวกนั้นตอนแรกก็พูดถึงพวกเราไม่น้อยเลยนะ บอกว่าปลูกข้าวสาลีเป็นเรื่องสิ้นเปลือง ตอนนี้ล่ะ เหอะ พวกเราได้กินแป้งขาวกันแล้ว คนพวกนั้นยังไม่มีปัญญาได้กินเลย! ฉันจะบอกอะไรให้นะ การใช้ชีวิตหลังจากนี้คุณต้องฟังฉัน!”

“ก็ได้ ผมจะฟังคุณ” พี่สี่จ้าวพูดคล้อยตาม

เป็นคนดูแลครอบครัวมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าเขาอยากเป็นหรือไง? ใครอยากเป็นก็ให้คนนั้นเป็นก็สิ้นเรื่องแล้ว!

พี่สะใภ้สี่จ้าวพึงพอใจกับทัศนคติของพี่สี่จ้าวมาก ท้ายที่สุดก็พูดสรุปว่า “ชีวิตนี้มันก็คือศาสตร์แขนงหนึ่งนั่นแหละ!”

ความหมายก็คือเธอเป็นคนมีความรู้มาก

อันที่จริงจะพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด คนที่ตอนแรกไม่เห็นด้วยกับการปลูกข้าวสาลี ในช่วงที่ฝนตกแบบนี้ย่อมไม่ได้รับประทานเกี๊ยวแป้งขาวอยู่แล้ว อารมณ์เป็นอย่างไรแค่คิดก็พอทราบได้ว่าเฮ้อ…มองพลาดไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าสถานที่แบบนี้จะปลูกข้าวสาลีได้จริง ๆ!

ฝนตกอย่างต่อเนื่องหลายสิบวัน ในที่สุดก็หยุดลง สภาพของชนบทหลังจากฝนตกดูคล้ายกับทุกสรรพสิ่งบนโลกถูกรดน้ำอย่างไรอย่างนั้น รู้สึกสดชื่นและสะอาด สูดหายใจเข้าหนึ่งฟอดก็รู้สึกสบายไปทั้งร่างกาย จ้าวเหวินเทาจึงตัดสินใจแล้วว่าต่อให้มีเงินเขาก็ไม่มีความคิดที่จะไปอยู่ในเมืองเด็ดขาด ในเมืองนอกจากความคึกคัก หาเงินได้และสะดวกแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรที่เทียบชนบทได้เลย!

เย่ฉูฉู่ก็คิดเช่นนี้ ดูลานบ้านขนาดใหญ่นี้ของตัวเองสิว่าดีขนาดไหน ฝนตกก็ชำระล้างพื้นปูนซีเมนต์จนสะอาดสะอ้าน ดอกไม้ใบหญ้าและพืชผักสองข้างทางที่ถูกน้ำฝนรดน้ำต่างผลิใบกันเขียวชอุ่ม แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนพื้นทำให้เกิดเป็นประกายสีเขียวมันวาว ได้เห็นแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดี

“เสี่ยวไป๋หยาง ลูกดูสิ ต้นหยางออกดอกแล้วดูดีมากเลยนะ!” เย่ฉูฉู่เข็นรถเข็นเด็กมาจอดตรงหน้าดอกไม้ ขณะพูดคุยกับเสี่ยวไป๋หยาง

เสี่ยวไป๋หยางยื่นมือออกไปเด็ดช่อดอกไม้

เย่ฉูฉู่รีบห้ามเขาไว้ “พวกเราไม่เด็ดนะ ดูอย่างเดียวนะลูก ไฉไฉแกก็ห้ามเด็ดดอกไม้นะ!”

ลูกลิงที่อยู่ข้าง ๆ คว้าช่อดอกหยางช่อหนึ่งเหน็บไว้ที่หลังหูแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ฉูฉู่ มันก็รีบปีนขึ้นไปบนต้นแอปเปิ้ล

เสี่ยวไป๋หยางมองลูกลิงแล้วหันมามองเย่ฉูฉู่ จากนั้นก็กางแขนทำท่าจะปีนขึ้นไปด้วย เย่ฉูฉู่ถึงยิ้มอย่างขมขื่น

“เสี่ยวไป๋หยาง แม่ไม่มีความสามารถอุ้มลูกขึ้นต้นไม้หรอกนะ”

ลูกลิงนั่งอยู่บนต้นไม้ครู่หนึ่ง มันส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยก ๆ’ เรียกเย่ฉูฉู่ จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศของภูเขา เย่ฉูฉู่ก็เข้าใจได้ว่ามันจะขึ้นไปบนเขา นางเห็นท่าทางรอคอยของลูกลิง นางจึงตอบตกลงไปเพราะปฏิเสธไม่ลง

“แกก็ระวังตัวหน่อยนะ! อย่าไปทำลายสวนผลไม้ของคนอื่นเขาเสียหายล่ะ!”

ลูกลิงส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยก ๆ’ สองเสียง จากนั้นก็ใช้ทั้งมือและเท้าปีนกระโดดข้ามกำแพงออกไป ห้อยตัวไปตามต้นไม้ใหญ่ข้างทางเพื่อมุ่งหน้าไปบนภูเขา เพียงแค่กะพริบตาก็มองไม่เห็นเงาของมันแล้ว

เสี่ยวไป๋หยางดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน จึงส่งเสียงร้อง ‘อ๊า ๆๆ’ แสดงออกว่าอยากไปด้วย เย่ฉูฉู่แย้มยิ้ม “เสี่ยวไป๋หยาง รอให้ลูกเดินได้เมื่อไรก็ไปได้แล้วนะ แม่จะเข็นลูกออกไปเดินรอบ ๆ แล้วกันนะ”

เย่ฉูฉู่ปิดประตูใหญ่ เธอเข็นรถเข็นเด็กไปทางฝั่งฟาร์มกระต่าย อากาศดี ๆ แบบนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะออกไปเดินเตร็ดเตร่!

เสี่ยวไป๋หยางก็มีความสุขมาก เขาหันซ้ายมองขวาไม่หยุด ราวกับมองเท่าไรก็ไม่เพียงพอ

เย่ฉูฉู่เดินไปพลางก็คุยกับเสี่ยวไป๋หยางไปพลาง

“เสี่ยวไป๋หยาง นี่คือต้นป็อปลาร์ นี่คือต้นหญ้า นี่คือดอกไม้ ดูสิลูก นั่นคือนกตัวเล็ก” เย่ฉูฉู่สอนลูก

เสี่ยวไป๋หยางส่งเสียงอ้อแอ้เรียนรู้ตามแม่ของเขา

“อ้าว ฉูฉู่ กล่อมลูกอยู่เหรอ!” ภรรยาเหล่าหวังสามถือตะกร้าถั่วฝักยาวเข้ามาทักทาย

เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ใช่ อากาศปลอดโปร่งแล้ว ฉันก็เลยพาลูกออกมาเดิน ๆ นี่จะไปเก็บถั่วฝักยาวเหรอ?”

“ใช่ ที่ดินด้านหลังบ้านผืนนั้น ฉันปลูกถั่วไว้นิดหน่อย ตอนเที่ยงว่าจะทำแป้งทอดถั่วฝักยาวน่ะ” ภรรยาเหล่าหวังสามพูดพลางก็เดินมายืนตรงหน้ารถเข็นเด็ก คุยหยอกล้อเสี่ยวไป๋หยางสองสามคำแล้วก็พูดต่อว่า “ฉูฉู่ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเหวินเทาของเธอ ฤดูร้อนแบบนี้คงไม่มีปัญญาได้กินแป้งขาว!”

ภรรยาเหล่าหวังสามก็ปลูกข้าวสาลีเช่นกัน เพียงแต่ปลูกไว้แค่หนึ่งหมู่ ตอนแรกหล่อนก็กลัวว่าจะปลูกไม่ขึ้น จึงไม่กล้าปลูกไว้เยอะ ๆ ตอนนี้หล่อนแอบเสียดายขึ้นมาแล้ว ต้นข้าวสาลีงอกงามขึ้นมาได้ไม่เลวเลย ทั้งยังเก็บเกี่ยวได้อย่างดี หากปลูกเพิ่มอีกสักสามสี่หมู่ก็น่าจะดี แต่เมื่อเห็นคนพวกนั้นที่ไม่ได้ปลูกแม้แต่หมู่เดียวก็รู้สึกโชคดีขึ้นมา

เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ดูพูดเข้าสิ ต่อให้ไม่มีเหวินเทา แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ควรปลูกก็ต้องปลูกกันได้อยู่แล้ว”

ภรรยาเหล่าหวังสามกล่าว “มันก็ไม่แน่หรอก ถ้าไม่มีเหวินเทาของเธอ ใครจะกล้าปลูกข้าวสาลี ต่อให้เป็นแบบนี้ หมู่บ้านของเราก็มีตั้งหลายครอบครัวที่ไม่ได้ปลูก ฉันได้ยินมาว่า พวกเขารู้สึกเสียดายกันแทบตายเลยนะ เธอคอยดูได้เลย ปีหน้าคงปลูกกันหมดแน่นอน!”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหวินเทาคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภประจำหมู่บ้านชัด ๆ คนที่เคยเยาะเย้ยไว้ตอนนี้นั่งตาละห้อยกันหมดแล้ว

ไหหม่า(海馬)