“พวกเขาหาเราเจอได้ไง!?”
ทั้งสองคนรวมไปถึงผู้อาวุโสจากหยุนเตียนยืนเกาะกลุ่มกันมองศัตรูที่ยืนอยู่รอบตัวพวกเขา ผู้ฝึนฝนของดินแดนหยุนเตียนหลายคนเริ่มรู้สึกเสียขวัญและสัมผัสได้ถึงความเหนือกว่าแถมสภาพแวดล้อมตอนนี้ดูน่ากลัวเกินคำบรรณยาย
ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเองไม่เคยตรวจสอบหรือสืบทราบถึงกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังตาจินมาก่อน เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลเลยว่าทำไมกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยถึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุมอาณาจักรแถมยังกล้าที่จะต่อต้านพวกเขา
อย่างไรก็ตามในสิ่งที่พวกเขารับรู้มาคือกลุ่มนักบวชทั้งสามประตูได้รับผลประโยชน์จากหยุนเตียนมากมาย แถมเมืองเล็กๆ พร้อมด้วยกองกำลังต่างๆ เองยังต้องพึ่งพาทรัพยากรจากหยุนเตียนที่นั้นมั่งคลั่งโดยส่วนใหญ่แล้วดินแดนเล็กๆ จำเป็นต้องพึ่งพาเขา
การระเบิดครั้งนี้ทำลายความฝันของดินแดนหยุนเตียนระดับสูงซึ่งผู้ฝึกฝนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อจะแสดงความเคารพและความซื่อย์ตรงต่อดินแดนหยุนเตียน แต่แล้วความฝันกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อพวกเขามาร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ แตกเป๊ะ! มันไม่เหลืออะไรเลยในตอนนี้
ขณะเนี้จิตใจของทุกคนเริ่มเคว้งคว้างและว่างเปล่า พวกเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้!
“เทคนิคนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าในการบินบนดาบ? เพื่อจบเรา?” กงซูเกาพึมพำ
“เทคนิคการควบคุมดาบ” ซัวเต๋าปรมาจารย์จากวังหลิวหยุนกล่าว “เราเคารพพวกเจ้าในฐานะผู้อาวุโสในโลกแห่งการฝึกตนหวังว่าพวกท่านจะพูดคุยกันดีๆ แต่หากพวกท่านต้องการการต่อสู้ข้าก็มิอาจรับประกันความปลอดภัยของพวกท่านได้”
“เข้าใจแล้ว!” กงซูเกาและกงหยางจุนสูดหายใจเขาลึกๆ ชั่วงพริบตาจากคนชนชั้นสูงได้กลายเป็นเชลยโดยปริยาย
“สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงเร็วจนข้าไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” กงซูเกายิ้มด้วยความละอาย “อย่างไรก็ตามถึงแม้วันนี้พวกเจ้าจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แต่ว่านักบวชทั้งสามประตูและตระกูลกงยีไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะสามารถจัดการได้ง่ายหรอกจำไว้!”
…
บนชั้นบนสุดของเรือจิตวิญญาณที่เสียหายจนเกือบหมดตอนนี้เรือทั้งลำถูกเหล่านักรบที่สวมชุดเกราะจากตาจินล้อมไว้หมดแล้วตอนนี้ผู้ฝึกฝนหลายคนต้องยอมจำนน
ทหารบางคนจากตาจินที่สูญเสียแขนไปพวกเขาพยายามที่จะลุกขึ้นจากซากปรักหักพัง ด้วยเลือดและชุดคลุมสีดำของพวกเขานั้นขาดรุ่งริ่งเนื่องจากถูกไล่ล่าจากผู้ฝึกฝนในตอนแรก
แม้ว่าทุกทักษะของตาจินจะแข็งแกร่งแต่เหล่าทหารชั้นยอดของตาจินก็ยังคงมีข้อเสียอยู่ เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับกองทัพผู้ฝึกฝนของหยุนเตียนมันนับว่าเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงสำหรับพวกเขาเลยก็ว่าได้
หลายคนที่ได้เข้าร่วมทัพแล้วพวกเขาต่อสู้ในสนามรบด้วยความกล้าหาญและมั่นใจว่าพวกเขาอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไป แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปดั่งปาฏิหาริย์ แสงสีทองส่องประกายขึ้นบนหัวของพวกเขาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
ผู้ฝึกฝนที่หลงเหลืออยู่ของหยุนเตียนถูกจับกุมตัวไว้
“เราชนะ!” เสียงดังมาจากท้องฟ้า
“ชนะ? เราชนะ!?”
ทหารน้ำตาคลอด้วยและบ่นอุบด้วยความไม่เชื่อ มันเหมือนกับความฝัน พวกเขาทุกคนเข้าสู่การต่อสู้โดยไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตรอด แต่ผลลัพท์นั้นเกิดความคาดหมายของทุกคน
กองทัพของนักรบที่ผสมผสานกับเหล่าผู้ฝึกฝนกว่าสามหมื่นคนสามารถเอาชนะกองทัพผู้ฝึกฝนทั้งสามหมื่นกว่าคนของหยุนเตียนมันช่างเป็นการต่อสู้ที่ควรค่าแก่การบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์!
พวกเขาทั้งหัวเราะร้องไห้และกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นวิธีเดียวในเวลานี้ที่จะเรียกสติให้ตื่นจากการต่อสู้อย่างหนักบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่ความฝัน
“ฟังข้า! รวบรวมทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดมาที่นี่” จีวูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “รักษาพวกเขาด้วย!”
นายพลผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวว่า “เราต้องฉลองชัยชนะครั้งใหญ่!”
จีวูพนัก “ส่งคำสั่งของข้าไปบอกทุกคนว่าข้าจะจัดงานฉลอง!”
“งานเลี้ยงฉลอง?”
“ใช่!” จีวูพยักหน้า “ข้าจะจัดฉลองแก่กองทัพตาจินในเมืองจิวหัวด้วยรางวัลโค้กหนึ่งขวดและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งชามพร้อมใส่กรอก!”
“ตกลง!”
…
“ฮ่าๆๆๆ” ตอนนี้คาเฟ่ในจิวหัวเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ฟางฉีเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขาพลางฟังเรื่องที่ซูเทียนจิและคนอื่นๆ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาหัวเราะจนปวดท้อง “พวกท่าหมายถึงว่าท่าจักรดิกำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่ข้างนอกใช่มั้ย? เขาซื้อบะหมี่กึงสำเร็จรูปเลี้ยงแถมยังชวนให้ผู้คนมาเล่นเกมเจ้ากระบี่ขั้นเทพ?”
“ใช่!” ซูเทียนจิจ้องหน้าฟางฉีอย่างสงสัย “ไม่มีอะไรน่าแปลก รางวัลของแต่ละคนมีค่าเกือบสิบคริสจัลคนธรรมดาไม่สามารถซื้อสิ่งเหล่านี้ได้”
ฟางฉีหัวเราะ “มันไม่ได้ตลก มันดีมากตั้งหากแล้วท่านไม่ไปหรือ?”
“ท่านอาจารย์คิดว่ามันเสียงดังไป!” ยูซินบอกเขา
ซงฉิงเฟิงกำลังนั่งดื่มชาที่ฟางฉีนำเสมอ ชานี้มีประโยชน์ต่อความแข็งแกร่งในการฝึกตนซงฉิงเฟิงรู้สึกว่าความแข็งแกร่งเขายังไม่พอเท่าที่ใจต้องการ “อ้อ .. ข้าได้ยินมาว่าสาวๆ ก็เข้าร่วมกันต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยหรือ?”
ฟางฉีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเนื่องจากสาวๆ หลายคนนั้นดูนุ่นมนวลและน่ารักซึ่งไม่เข้ากันกับรูปแบบของนักรบสักนิด
“ใช่!” ซงฉิงเฟิงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “อย่าประมาทพวกเรา!”
ฟางฉีสับไพบนโต๊ะแล้วพูดว่า “เจ้ากลัวไหมหากมีศัตรูมากมาย”
“ไม่มีอะไรต้องกลัว” ซงฉิงเฟิงยังคงพูดต่อว่า “หลังจากที่เราทั้งหมดได้ต่อสู้เหตุการณ์นั้นผ่านมาแถมตอนนี้เรายังต่อสู้ในเกมทุกวันเพื่อเป็นการสะสมพลังและฝึกฝนไปในตัว ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะมีตั้งแต่สิบถึงหลายร้อยเราก็พร้อมจะรับมือ!”
ยูซินพูดเสริม “เรารู้สึกตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าท่านกงซูเกาและครอบครัวแอบโจมตีเมืองของเราโชคดีที่ข้าเองอยู่ตรงขอบของเหล่าผู้คนข้าเองก็เป็นหนึ่งแรกที่ช่วยให้การร่ายเกราะ”
“มันเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น” เฟงหัวพูดด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อยเมใื่อนึกถึง “โชคดีอาจารย์ของเราเตือนเราว่าอย่ายืนอยู่ตรงกลางเพราะนั้นจะเป็นเป้าหมายหลัก”
“ข้าสอนนางเรื่องนั้น” ฟางฉีพูดกระแทกเสียง “ถ้าเจ้าคิดจะโจมตีคนกลุ่มใหญ่ให้เลือกโจมตียังจุดศูนย์กลาง ในสถานการณ์นั้นผู้คนที่ยืนอยู่ขอบๆ จะดูฉลาดกว่า”
“ใช่! เจ้าพูดถูก” แม้ว่าซูเทียนจิจะไม่ชอบทัศนคติของฟางฉีเท่าไรนัก แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดมันมีผลมาก
แม้ว่าในคิวโซนจะไม่ได้มีการต่อสู้แบบเกมอื่นๆ แต่ผู้คนสามารถรวมตัวกันที่นี่ได้อย่างฟางฉีเองแม้ว่าเขาจะอยู่ในที่แสนไกลอย่างดินแดนทะเลดวงดาวเขาก็ยังเข้ามานั่งพักผ่อนและพูดคุยราวกับอยู่ข้างๆ กัน
หลังจากพายุแห่งสงครามได้ผ่านไปแล้ว บ้านหลังเล็กในเกมและการพักผ่อนแบบนี้เป็นเหมือนกับสวรรค์เล็กๆ พวกเขานั่งผ่อนคลายราวกับว่าอยู่ห่างไกลจากความขัดแย้งทั้งหมดในโลก
แน่นอนว่ามันจะรู้สึกแบบนี้ต่อไปหากพวกเขาไม่เรียกร้องที่จะเล่นไพ่ให้หมดตัว!