ตอนที่ 289

Black Tech Internet Cafe System

ทุกวันนี้กองกำลังทั้งหมดรอบตาจินที่เคยติดตามดินแดนหยุนเตียนได้เงียบสงบลงและกลับตัวเป็นกลางไม่เข้าฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ข้ามคืนสถานการณ์ในทั้งทวีปดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้แต่เมืองเล็กๆ หรือประเทศเพื่อนบ้านพร้อมด้วยกองกำลังขนาดยิบย่อยที่เคยพร้อมจะมีปัญหากับตาจินตอนนี้ก็เงียบลง

 

ณ กลุ่มใต้ชิ

 

ชายชราผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวลวดลายสีทองนั่งไขว้ห้างอยู่ข้างทะเลสาบพร้อมกับเบ็ดตกปลาในมือ เขาดูสนุกสนานกับการตกปลาโดยที่ไม่มีตะขอห้อยอยู่ในน้ำ หากเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มใต้ชิป่านนี้เขาคงเป็นชายธรรมดาคนหนึ่งที่สนุกกำลังตกปลาทั่วไป

 

ขณะเดียวกันศิษย์คนหนึ่งก้าวเขามาใกล้เขาด้วยความเคารพ

 

“อาณาจักรหยุนเตียนอันดับสูงพ่ายแพ้หรือ?” ก่อนที่ศิษย์จะพูดอะไรออกไปเสียงชายชราสวนถามอย่างอ่อนโยน

 

“ท่าน ..” สาวกถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้?”

 

ชายชรายิ้มพลางลูบเคราเบาๆ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา “ถ้าแรงสนับสนุนของพวกเขาอ่อนแอ ไม่มีทางหรอกที่กลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยจะไม่กล้าโดดออกจากทะเลสาบอย่างเจ้าปลาคาร์พสีทอง”

 

“ดี ดีมาก!” ชายชราพูดพร้อมหัวเราะ “ข้าจะรอดูว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน”

 

“เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงหรือ?” สาวกถาม

 

“ด้วยการจับกงหยางจุนและกงซูเกาน่ะหรือ? หึ! ทั้งสองตระกูลจะต้องกระสับกระส่ายเป็นแน่!” ชายชราพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ

 

 

ถัดไปทางตะวันตกของดาจิน พื้นที่ภูเขาและเมืองมากมายที่สร้างอยู่บนเขาสูงนั้นเรียกว่าดินแดนหยุนเตียนระดับสูง กองกำลังส่วนใหญ่รวมตัวกันที่นี่และที่นี่ถือเป็นหัวใจของผู้ฝึกฝนทุกคน!

 

วันนี้สองในสี่ครอบครัวหลักได้หายไปซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าหวั่นไหวสำหรับดินแดนหยุนเตียนระดับสูงไม่น้อย!

 

ในเมืองหยูจิงเมืองไข่มุกที่สวยงามที่สุดในภูมิภาคนี้ ..

 

กงยีซิวมีผมสีขาวด้วยเวลาที่เนิ่นนานเวลาก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของเขา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาอาจจะดูเป็นรุ่นน้องที่เด็กที่สุดในหมู่ผู้ฝึกฝนก็ตาม

 

ข้างๆ เขาคืออาจารย์อีกคนหนึ่งจากตระกูลกงซุนเขามีผมสีขาวหน้าตาของเขาเหมือนชายโบราณที่ออกมาจากนิยายจีน ถ้าไม่ใช่ดวงตาที่ดูแจ่มใสและท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉง ใครจะไปเชื่อว่าเขาเป็นเจ้านายใหญ่ของตระกูลอันดับสองในดินแดนหยุนเตียน

 

“ตอนนี้กงซูเกาและกงหยางจุนทั้งสองตระกูลอยู่ในระดับสามและสี่ในดินแดนหยุนเตียนของเรานั้นพ่ายแพ้โดยเหล่านักรบ ..” เสียงของกงซุนซุยพูด “สอบครอบครัวนี้อ่อนแอลงทุกวัน!”

 

“อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็ยังเอาตัวรอด!” กงยีซิวพูดต่อว่า “อย่างน้อยพวกเขาก็หลบหนีมาได้”

 

ในขณะที่เขาส่ายหัว “ข้ากลัวว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยจะไม่ได้จัดการง่ายอย่างที่คิด”

 

“โอ้!?” กงซุนซุยไม่พอใจเล็กน้อยที่กงยีซิวพูดเช่นนั้นเขารู้สึกไม่สามารถเพิกฌแยต่อความคิดแบบนี้ได้ “ท่านอาจารย์กงยีท่านคิดว่ากลอุบายเล็กๆ น้อยๆ และพลังที่ปรากฏขึ้นนั้นอยู่ที่ไหนในตาจิน? เป็นไปได้หรือว่าจะมีอาณาจักรแห่งการฝึกฝนอีก”

 

เห็นได้ชัดว่ากงซุนซุยไม่คิดว่าจะมีพลังใดๆ ที่จะสามารถเทียบเท่ากับเหล่านักบวช

 

กงยีซิววิเคราะห์สถานการณ์และกล่าวว่า “เราได้ทำการกดดันกลุ่มพันธมิตรเพราะคิดว่าพวกเขาจะเชื่อฟังแล้ว แต่ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

“มันแสดงให้เราเห็นว่าพันธมิตรของกลุ่มวู่เว้ยนั้นคิดสั้น” กงซุนซุยยังคงเย้ยหยัน

 

กงยีซิวกล่าวว่า “งั้นที่เราคิดว่าพันธมิตรวู่เว้ยจะต้องถูกบดขยี้โดยการลงโทษทางเศรษฐกิจของเรา แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร?”

 

“อืม ..” กงซุยซุยลูบเคราและพูดด้วยความเย็ชา “พวกเขาอาจจะโชคดีที่ได้พบกับเทคนิคพร้อมสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่แปลกใหม่ซึ่งถ่ายทอดด้วยพลังเวทย์มนตร์แถมยังช่วยเสิรมพลังให้แก่สมบัติของพวกเขาก็เป็นได้”

 

กงยีซิวพยักหน้า “อืม จากความคิดนี้หากเราทำการโจมตีครั้งที่สามและใช้กำลังทหารเจ้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

 

“เอ่อ ..” กงซุนซุยมองไม่เห้นทางอื่นนอกจากคำว่าแพ้ในหัว ใต้ความบังเอิญมันไม่สามารถบังเอิญได้ย้ำหลายครั้ง

 

แม้ว่ากองทัพของตาจินและกลุ่มพันธมิตรวู่เว้ยจะต้อยต่ำเหมือนมดแต่ตอนนี้มันไม่ได้อย่างที่พวกเขาเคยมองในแบบที่ผ่านมาพวกเขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

“บางทีพลังนี้อาจมีความสามารถพิเศษ” กงซุนซุยต้องยอมรับความจริงข้อนี้ “แต่ข้ามองว่าพวกเขาอาจถึงขีดจำกัดแล้ว”

 

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำการต่อสู้กับเราอย่างไม่ยอม “หืม? เจ้าแห่งตระกูลกงยี ท่านกลัวพวกเขาหรือ?”

 

“กลัว?” กงยีซิวเย้ยหยันและยืนขึ้นจากเก้าอี้ “ตราบใดที่ข้ามีเหล่านักบวชจากสามประตูข้ากงยีซิวจะต้องไปกลัวอะไร!”

 

“ถ้าอย่างนั้นแผนของท่านคืออะไร?” กงซุนซุยถาม “เราควรจะไปตาจินเพื่อทำลายพลังนั้นมั้ย?”

 

“อาจารย์แห่งกงซุน” กงยีซิวจ้องหน้าเขา “ถ้าพลังนั้นทำลายง่าย ผู้ส่งสารจากกลุ่มใต้ชิคงไม่ส่งสารเพื่อมาข้อความช่วยเหลือจากเราหลอก!”

 

“ข้าเชื่อว่าเจ้ายังจำได้เรื่องหม้อปีศาจ” กงยีซิวเหล่ตา “เราควรจะรักษาชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้ยืนยาว”

 

“กงซูเกาและกงหยางจุนตกเป็นเชลย” กงยีซิวกล่าวว่า “ข้าจะส่งคนไปเจรจาและไถ่ตัวพวกเขา”

 

“สำหรับประเด็นที่ว่าเราควรต่อสู้กับพวกเขาหรือเข้าร่วมสนธิสัญญากับสันติภาพหรือไม่นั้น .. ” กงยีซิวกล่าวต่อว่า “เราสามารถตัดสินใจได้หลังจากที่เห็นร้านนั้น”

 

“เราควรไปเป็นการส่วนตัวหรือไม่?”

 

“แน่นอน!” กงยีซิวพูดอิย่างมั่นคง “ลูกเสือกลับมาพร้อมกับรายงานเกี่ยวกับเรื่องเกมและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ”

 

“ครั้งนี้ ข้าจะไปสำรวจร้านค้าด้วยตนเอง!” กงยีซิวพูดด้วยเสียงเย็นชา

 

เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตาจินและพันธมิตรวู่เว้ยมาจากร้านนี้

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่าน!” กงซุนซุยกำชับ

 

 

ณ เมืองครึ่ง

 

“มีข่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้ที่ตาจินได้ทำสงครามหรือ?”

 

“สามารถเอาชนะผู้ฝึกฝนแถมยังทำให้พวกเขาแพ้อย่างราบคาบ?”

 

“ผู้ฝึกฝนถูกกองทัพทหารจัดการ ผู้ฝึกฝนพวกนั้นอ่อนแอแค่ไหนกัน?”

 

“พวกเจ้าจะไม่พูดถ้ารู้ความจริง” ผู้ฝึกฝนชุดคลุมสีดำกล่าว “มีข่าวว่ากองทัพนั้นมีผู้ฝึกฝนที่ถูกโจมตีอย่างหนักแม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะอยู่ในระดับสูงแล้วแต่ก็ยังถูกโจมตีจนแทบไม่มีชิ้นดีแถมฝั่งตาจินมีเกราะป้องกันเวทย์มนตร์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย”

 

“จริงหรือ?” ผู้ฝึกฝนอีกคนพูดด้วยความประหลาดใจ “เกราะป้องกันนั้นมีพลังมากหรือ? ข้าอยากเห็นมาก เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งขายหนังสือทักษะนั้นไปสองร้อยคริสตัล!”

 

“สองร้อยคริสตัลหรือ?” ผู้ฝึกฝนชุดคลุมสีดำหัวเราะ “มันขายได้ตั้งเกือบสองพันคริสตัลน่ะ!”

 

“หืม!?”

 

“หนังสือทักษะนั้นศักดิ์สิทธิ์มากในตอนนี้มีคนต้องการมากถึงพันเล่ม!”