ตอนที่ 88 เห็นแก่หน้า ?

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์

กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ ตอนที่ 88 เห็นแก่หน้า ?

ตอนที่ 88 เห็นแก่หน้า ?

 

ยามเช้าตรู่ พ่อบ้านตระกูลได้เตรียมรถม้าสําหรับจี้เทียนซิงและจี้เค่อ

 

นอกเหนือจากสารถีแล้วก็ยังมีทหารยามอีก 4 คนผู้ซึ่งจะร่วมเดินทางไปสู่นิกายหนุนสวรรค์

 

จี้ชางคงพาเหล่าบรรดาสมาชิกตระกูลจิ้มากมายออกมาส่งจี้เทียนซิงและจี้เค่อพร้อมกับโบกไม้โบกมือร่ําลา

 

รถม้าสองคันวิ่งผ่านเมืองจักรวรรดิชิงหยุนก่อนจะทะลุผ่านประตูเมืองมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

 

แต่เดิมจี้เทียนซิงและจี้เค่อคิดจะโดยสารรถม้าคันเดียวกันและสัมภาระเดินทางของทั้งคู่ก็อยู่ในคันเดียวกันเช่นกัน

แต่ทว่าตระกูลชี้ได้จัดเตรียมรถม้าสองคันเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยและข้อครหาต่อองค์หญิงน้อย

 

ผู้ใดจะปล่อยให้องค์หญิงน้อยที่มีร่างกายล้ําค่าดั่งทองพันชั่งให้เบียดเสียดในรถม้ากับชายหนุ่มอย่างงี้เทียนซิง ?

 

หากมีผู้คนทราบเรื่องไม่เหมาะสมนี้ ราชวงศ์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?

 

แต่ทว่า…. หลังจากรถม้าสองคันพ้นประตูเมืองจักรวรรดิองค์หญิงน้อยก็พรวดพราดเข้ามาในรถม้าของจี้เทียนซิงและเบียด เสียดกันทันที

 

เหตุผลของนางฟังดูดีไม่น้อย เนื่องจากระยะทางจากเมืองจักรวรรดิไปสู่นิกายหนุนสวรรค์นั้นไกลมาก มันทําให้นางเบื่อ เกินไปหากนั่งรถม้าเพียงลําพังโดยไม่มีสหายสนทนาแน่นอนว่าจี้ เทียนซิงไม่อาจปฏิเสธนางได้เขาจึงต้องปล่อยให้นางเข้ามาและพูดคุยสนทนากันตลอดทาง

 

พอตกบ่าย จี้เค่อก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยและฟุบหลับในอ้อมแขนของจี้เทียนซิง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะปลุกนาง เขาเพียงแค่จัดแจงที่ให้นางได้หลับอย่างสบาย และจ้องมองอย่างเงียบงัน

 

ในเวลากลางคืน รถม้าสองคันก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งจากนั้นทุกคนก็หาโรงเตี้ยมเพื่อพักค้างแรม

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาออกจากที่พักเติมเสบียงอาหารและน้ําจนพร้อมสรรพจากนั้นก็เดินทางต่อทันที

 

จากรัฐนภากระจ่างจนถึงดินแดนดาราบรรพกาลซึ่งเป็นที่ตั้งของนิกายหนุนสวรรค์นั้นมีระยะทางหลายพันไมล์ มันคือการเดินทางข้ามแคว้น

 

โชคดีที่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสัญจรหลักของทุกแคว้นซึ่งทําให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วมากคณะเดินทางของจี้เทียนซิงเดินทางได้ไกลหลายร้อยไมล์ต่อวัน

อีกสามวันต่อมารถม้าก็ถือว่าพ้นจากอาณาเขตปกครองของรัฐนภากระจ่างโดยสมบูรณ์และเข้าสู่แคว้นเหมาหรง

 

แคว้นเหมาหรงเต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ํามากมาย ทิวทัศน์งดงามและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนก็นับว่าแตกต่างจากรัฐนภากระจ่างไม่น้อย

 

จี้เทียนซิงกับจี้เค่อโดยสารรถม้าคันเดียวกันและเพลิดเพลินไปกับการชมทิวทัศน์ด้วยกันพวกเขาดูมีความสุขมาก

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเค่อที่เติบโตขึ้นมาในวังและไม่ค่อยได้มีโอกาสออกนอกเมืองจักรวรรดินางเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะสัมผัสบรรยากาศของโลกภายนอกมาโดยตลอด

 

การออกจากรัฐนภากระจ่างและมุ่งหน้าไปยังนิกายหนุนสวรรค์ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตของนางแล้ว

 

นอกจากนี้การได้อยู่ใกล้ชิดกับชายที่หลงใหลก็ทําให้นางเต็มไปด้วยความสุขและตื่นเต้นยินดีเป็นพันล้น

 

หลังจากผ่านไปสามวัน ความสัมพันธ์ของนางกับจี้เทียนซึ่งก็นับว่าใกล้ชิดกันมากขึ้น

 

ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะมองนางเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งแต่นางก็มิได้ใส่ใจ นางพึงพอใจกับความสัมพันธ์เช่นนี้และไม่แคร์สายตาผู้คนรอบข้างเรื่องศักดิ์ฐานะ

นางแอบสวดภาวนาในใจลับๆว่าหากได้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้อยู่เคียงข้างพี่ใหญ่เทียนซิงของนางมันคงวิเศษอย่างที่สุดแล้ว !

 

เก้าวันต่อมารถม้าก็ออกจากแคว้นเหมาหรงและเข้าไปในเขตแดนของแคว้นเหิงชวน

 

ตราบใดที่ข้ามแคว้นเหิงชวนไปแล้วก็นับว่าคนผู้นั้นมาถึงดินแดนดาราบรรพกาลเป็นที่เรียบร้อย

 

ตกเย็นของวันนี้จี้เทียนซิงและคณะก็ได้เดินทางเข้าสู่เมืองที่มีชื่อว่าเมืองเฟิงหยาง

เมืองนี้มีขนาดเล็กมากและมีขนาดเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งของเมืองจักรวรรดิชิงหยุน

 

แต่ทว่าเมืองนี้กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนสัญจรไปมาเข้าออกอย่างคึกคักแม้กระทั่งตกดึกก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน

ท้ายที่สุดแล้วเมืองเฟิงหยางก็เป็นประตูสู่แคว้นเหิงซวนนั่นเองบรรดาพ่อค้าและผู้สัญจรไปมาจากรัฐนภากระจ่างกับแคว้นเหมาหรงล้วนต้องผ่านเมืองนี้

จี้เทียนซิงและคณะเข้าสู่เมืองเฟิงหยางและหาโรงเตี้ยมที่ดีที่สุดในเมืองเพื่อพักผ่อนในคืนนี้

โรงเตี้ยมนี้มีขนาดใหญ่และมีแขกเหรื่อหลายคนอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่ง จี้เทียนซิงและจี้เค่อเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับทหารยามสองคนและนั่งลงเพื่อรอสั่งอาหาร

เหล่ารุ่นเยาว์รอบๆไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนแต่เบิกตากว้างเมื่อได้ยลโฉมหน้าอันงดงามขององค์หญิงน้อยจี้เค่อ

 

ท้ายที่สุดแล้วจี้เค่อไม่เพียงแค่เป็นองค์หญิง นางยังมีเสน่ห์และน่ารักเป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศรอบตัวนางเต็มไปด้วยความสูงส่งและสง่างาม

 

ถึงแม้ว่านางจะมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่ก็นับว่าเป็นสาวงามที่หาได้ยากยิ่งหากนางเติบโตขึ้นกว่านี้อีกสัก 2-3 ปีคงไม่แคล้วเป็นหญิงงามล่มเมืองผู้หนึ่ง !

ชายหนุ่มมากมายที่อยู่รอบๆทําได้เพียงแอบมองจี้เค่อ พวกมันไม่กล้าคิดทําอะไรเมื่อสังเกตเห็นมารยาทและการวางตัวของนางรวมไปจี้เทียนซิงและบรรดาทหารยามที่อยู่รอบๆ มันบ่งชี้ถึงฐานันครที่โดดเด่นไม่ธรรมดาของนางได้เป็นอย่างดี พวกมันรู้ว่ารู้คนประเภทนี้ไม่อาจยุแหย่ได้เด็ดขาด

 

จี้เค่อเมินเฉยต่อปฏิกิริยาของทุกคน ในสายตาของนางมีเพียงเทียนซิงผู้เดียวเท่านั้น

โดยปกตินางมักจะวางตัวสูงส่งไม่ว่าจะเป็นมารยาทหรือการพูดจามีเพียงยามอยู่ต่อหน้าฉีเทียนซิงเท่านั้นที่จะนางจะแสดงความรู้สึกและอารมณ์แท้จริงออกมา

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทั้งสองกินอาหารได้ไม่นานก็มีจอมยุทธ์อาภรณ์สีน้ําเงินที่กุมกระบี่เดินมาที่โต๊ะ

บุคคลผู้นี้มีลักษณะราวกับเป็นยอดฝีมือผู้คุ้มกันให้ผู้สูงศักดิ์บางตระกูล ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าหรืออาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนแสดงถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดานอกจากนี้ยังดูหยิ่งยโสเล็กน้อย

เขาไม่สนใจจี้เทียนซิงที่นั่งร่วมโต๊ะกับนาง เพียงกล่าวอย่างอ่อนน้อมกับจี้เค่อว่า “แม่นางท่านนี้ เผอิญว่าคุณชายของตระกูลข้ามีเจตจะสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะเห็นแก่ใบหน้าของคุณชายเจียดเวลาไปพบสักครู่จะได้หรือไม่ ?”

 

หลังจากนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่บนชั้นสอง

 

จี้เทียนซิงและจี้เค่อขมวดคิ้ว ทั้งสองวางชามอาหารและตะเกียบลงบนโต๊ะพลางช้อนสายตามองขึ้นไปยังห้องที่หรูหรา

พวกเขาได้เห็นว่าห้องบนชั้นสองนั้นได้มีการตกแต่งอย่างงดงามหรูหราและมีชายหนุ่มรูปงามในชุดสีขาวยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองจี้เค่อจากด้านบน

 

ชายหนุ่มผู้นี้มีอายุประมาณยี่สิบปี เกล้าผมไว้ด้วยมงกุฎหยกและถือพัดใบหน้าของเขาขาวเนียนและหล่อเหลาไม่น้อยซึ่งเผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองและชื่อเสียงที่มี

 

เมื่อเห็นจี้เค่อเงยหน้าขึ้นมอง มันก็ทักทายกลับด้วยการผงกศีรษะเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น

มันยากที่จะต่อต้านดวงตาคู่งามอันสดใสอ่อนโยนและรอยยิ้มของดรุณีน้อยนางนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้นตัวมันเองยังเป็นคุณชายที่มีบุคลิกและรูปร่างหน้าตาดีอิสตรีหน้าไหนจะกล้าปฏิเสธคําเชื้อเชิญของมัน ?

 

แต่น่าเสียดายที่จี้เค่อไม่ใช่สตรีสามัญเหล่านั้น และคงทําให้ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ต้องผิดหวังเสียแล้ว

 

นางรั้งสายตากลับมาและหันไปจ้องมองผู้ติดตามของคุณชายท่านนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ําเสียงไม่แยแสว่า “โปรดแจ้งต่อคุณชายของเจ้าข้าไม่สนใจจะเสวนาหรือทําความรู้จักกับเขาอีกทั้งไม่คิดจะเห็นแก่หน้าผู้ที่ข้าไม่รู้จักมักคุ้นอีกด้วย !”

 

ทันใดนั้นเองใบหน้าของผู้ติดตามก็เปลี่ยนไป ดวงตาของมันหรี่ลงและตะโกนออกมาว่า “นังผู้หญิงคนนี้ ! เจ้าไม่รู้หรือไงว่าคุณชายของข้าเป็นใคร ? เจ้ากล้าไม่ตอบรับคําเชิญของท่านรี ?!”

 

จี้เค่อเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยามพลางกล่าวว่า “แล้วคุณชายของเจ้าเป็นใคร ? เรารู้จักกันหรือ ? ก็ไม่”

 

“นอกจากนี้ เจ้ากับคุณชายรู้หรือเปล่าล่ะว่าข้าผู้นี้เป็นใคร ? กล้าเสียมารยาทกับข้าได้อย่างไร !”

ในเวลานี้จี้เทียนซิงก็ออกคําสั่งกับทหารยามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หลงหวี่ หากคนผู้นี้กล้าส่งเสียงดังรบกวนพวกเราอีกจงจับมันโยนออกไป !”

ทหารยามที่ชื่อหลงหวี่นั้นแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของหอเงากระบี่ที่จี้เทียนซิงพาติดตามมาด้วย มันเป็นมือกระบี่ผู้เลือดเย็นที่มีความแข็งแกร่งในเขตแดนเชื่อมลมปราณขั้นที่สอง !

 

เมื่อได้ยินคําสั่งของจี้เทียนซิง แววตาอันดุดันของหลงหวี่ก็จับจ้องไปที่ผู้ติดตามของคุณชายรูปงามอย่างเย็นชา

 

ถึงแม้ว่าคุณชายของมันจะเป็นคนใหญ่คนโตและมีชื่อเสียงแต่มันก็ไม่กล้าหักกับหลงหรูในที่สาธารณะ

มันเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มรูปงามบนชั้นสองจากนั้นก็ผละจากไปด้วยความฉุนเฉียว