หากไม่ใช่เพราะยังมีความยั้งคิดอยู่บ้าง หลินจือก็อยากจะเอาเหล้าที่ถือในมือสาดไปที่หน้าของเทาเท่
แต่ถึงแม้เธอจะไม่ได้สาดมันไป แต่สถานการณ์มันก็แย่อยู่แล้ว
เธอยิ้มเยาะและประจันหน้ากับสายตาที่ไม่พอใจของเทาเท่ จากนั้นก็พูดอย่างใจเย็นว่า“ ใช่ ฉันเรียกร้องความสนใจ ”
“ฉันอยากให้ทุกคนมาสนใจฉัน แล้วมาลงทุนกับบทละครที่ฉันเขียน แบบนี้ฉันถึงจะโด่งดังได้ไม่ใช่เหรอ?”
ในเมื่อเขาคิดว่าเธอเป็นคนทำได้ทุกอย่างแบบนั้น งั้นเธอก็ยอมรับมันแล้วกัน
ยังไงเสียตอนนี้เธอกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะต้องมานั่งอธิบายทำไม
หลินจือยอมรับอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่กลับทำเอาเทาเท่ถึงกับต้องเม้มปากและเงียบไป
เขาขมวดคิ้วมุ่นและจ้องไปที่หลินจือ ดวงตาคู่คมดำขลับ มองไม่เห็นถึงอารมณ์ที่รู้สึก
ในตอนนี้เองเจเทาวน์ก็หาจังหวะเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้างว่า“ประธานเทาเท่ ประธานโซเมน เรายังมีธุระที่ต้องทำต่อ ขอตัวไปทางนั้นก่อนนะครับ ”
เจเทาวน์พูดจบก็พาตัวหลินจือจากไป หลินจือหันหลังให้อย่างเด็ดเดี่ยวและทันทีทันใด ไม่แม้แต่จะชายตามองไปที่เทาเท่เลย
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เจเทาวน์ก็ถามหลินจือเสียงเบาว่า “คุณโอเคใช่ไหม?”
คำพูดของเทาเท่นั้น ฟังดูแย่มาก
แต่ตามหลักแล้ว คนที่มีตำแหน่งอย่างเทาเท่ เป็นไปไม่ได้ว่าจะใช้ภาษาไม่เป็น แต่ทำไมถึงจ้องจะทำร้ายหลินจืออยู่ตลอด ?
มีเพียงคำอธิบายเดียวนั้นก็คือเขาใส่ใจ ดังนั้นจึงเลือกใช้คำพูดที่ไม่ถูกต้อง
หลินจือยกยิ้มและพูดว่า “ฉันสบายดีค่ะ”
เธอไม่เป็นไรเลยจริงๆ
ในตอนแรกนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดมากกับคำพูดของเทาเท่ แต่เพียงครู่เดียวเธอก็ปล่อยวางมันได้
เจเทาวน์ถอนหายใจ“ดูเหมือนประธานเทาเท่จะจงใจตั้งแง่กับคุณ ไม่รู้ว่าเพราะรักหรือเพราะเกลียด……”
หลินจือหัวเราะเยาะตัวเอง“มันจะเป็นเพราะรักได้ยังไง ? ต้องเกลียดและชิงชังอยู่แล้ว”
เพราะเกลียดเธอ ดังนั้นก็เลยพูดจาเยาะเย้ยเธอ
ทางฝั่งของชายหนุ่ม โซเมนนั่งจิบเหล้า แล้วถามเทาเท่อย่างไม่เข้าใจว่า“นี่นาย ทำไมระหว่างพวกนายต้องมาทำร้ายกันแบบนี้ด้วย?”
คำพูดของเทาเท่ทำร้ายหลินจือเป็นเรื่องจริง แต่ท่าทีที่ยอมรับโดยไม่แก้ต่างของหลินจือก็ทำร้ายเทาเท่ด้วยเช่นกัน
เพราะเธอไม่แม้แต่จะพูดแก้ตัวใดๆ นั่นก็หมายความว่าเธอไม่สนใจเทาเท่เลยสักนิด
แต่ในมุมมองของโซเมน เทาเท่ก็สมควรโดน
ใครใช้ให้เขาปากดีพูดไม่คิดแบบนั้นกัน ?
เห็นๆอยู่ว่าวันนี้การแต่งตัวของหลินจือนั้นทำเอาเทาเท่ทึ่งมาก ไม่ต้องการให้เธอเป็นจุดสนใจทำเอาพวกผู้ชายต้องน้ำลายหก แต่คำพูดที่พูดออกไปนั้นกลับเป็นคำพูดที่ดูรังเกียจ
ตามแบบฉบับของคนที่ปากไม่ตรงกับใจ
แววตาของเทาเท่มีร่องรอยของความหงุดหงิด ภายในใจมีความพ่ายแพ้ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
ช่วงนี้เขาในสายตาหลินจือ รู้สึกเหมือนทำอะไรก็ผิดไปหมด ซึ่งในช่วงชีวิตอายุสามสิบสองปีของเขา ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน
โซเมนยกมือขึ้นแล้วตบไปที่บ่าของเขา พูดเตือนด้วยความจริงใจว่า“ชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด หากนายยังใช้วิธีเดิมๆเหมือนเมื่อก่อนที่คอยแต่จะอยู่เหนือหลินจือ เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายสองคนคงมีแต่จะแย่ลงเท่านั้น”
โซเมนพูดจบก็เดินจากไป ออกไปพบปะสังสรรค์กับสังคมของตัวเอง
เทาเท่เงยหน้าขึ้นแล้วกระดกเหล้าในแก้วตัวเอง ทันใดนั้นก็เห็นซูซีเดินเข้ามาหา
ซูซีหลบอยู่ในห้องน้ำเป็นเวลานานก็ยังติดต่อพินอินไม่ได้ ไม่มีทางเลือกจึงเดินออกมาด้วยความเป็นกังวล
เดิมทีเธอต้องการจะหลบหลีกกลุ่มบุคคลอันมีชื่อเสียงเหล่านั้น แล้วแอบไปหาพินอิน
ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเจอเข้า เลยเดินเข้าไปทักทายกันอีกรอบ
ซูซีขบฟันแน่น ตัดสินใจจะเดินเข้าไปหาเทาเท่เอง
อย่างแรกเลยก็จะสามารถอยู่ให้ห่างจากผู้หญิงกลุ่มนั้นด้วย และอย่างที่สองเธอก็อยากจะคุยกับเทาเท่อย่างจริงจังอีกครั้ง
ดังนั้นเธอจึงส่งยิ้มให้พวกผู้หญิงกลุ่มนั้น จากนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปหาเทาเท่
เมื่อครู่ตอนที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นเทาเท่กับโซเมนถือแก้วเหล้าและกำลังยืนอยู่กับหลินจือและเจเทาวน์ เธอขบริมฝีปากตัวเองแน่น กลัวมากว่าเทาเท่กับหลินจือจะมีปฏิสัมพันธ์กันต่อหน้าสาธารณชน
ไม่คิดว่าพวกเขาจะพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ เจเทาวน์ก็พาหลินจือเดินจากไป
สีหน้าของเทาเท่ดูแย่มาก ราวกับมีเรื่องกับหลินจือมาจนหงุดหงิด
ซูซีก็ถึงกับโล่งใจขึ้นมาทันที เทาเท่กับหลินจือเข้ากันไม่ได้ คนที่มีความสุขที่สุดก็คือเธอ
ถือชายกระโปรงแล้วเดินเข้าไปหา เทาเท่เหลือบมองเธออย่างเย็นชาแวบหนึ่ง“ มีอะไร ?”
ดวงตาซูซีแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอพูดเสียงต่ำด้วยท่าทีเจียมตน มองไปยังเทาเท่อย่างอ้อนวอน“ เทาเท่ เรามาคุยกันหน่อย ดีไหม ?”
เทาเท่หันมองดูเธออีกครั้ง จากนั้นก็เม้มปากหันหลังแล้วเดินออกจากงานเลี้ยงไป ซูซีเองก็เดินตามไปติดๆ
ในสวนด้านนอกของงานเลี้ยง ซูซียืนนิ่งและสะอื้นออกมาเบาๆ“เทาเท่ ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันสัญญา ว่าต่อไปจะไม่ไปหาเรื่องหลินจืออีก ”
เทาเท่พูดเสียงเรียบ“ ปัญหาระหว่างเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินจือ ”
ซูซีร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก เทาเท่ก็พูดอีกว่า“ซูซี ความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันเป็นอดีตไปแล้ว”
“ตั้งแต่ที่เราเลิกกัน นี่ก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว หลังจากที่ผมหย่า ก็เคยเปิดใจยอมรับคุณเข้ามาเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมก็พบว่าระหว่างเรามันเหมือนคนแปลกหน้ากันไปแล้ว”
เวลาสี่ปีไม่สั้นเลย เพียงพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่บางเบาของคนทั้งสองหมดลง
ซูซีรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน เธอเดินเข้าไปหาแล้วคว้าตัวเทาเท่เอาไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น“เทาเท่ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ!”
“ฉันเปลี่ยนตัวเองได้ เปลี่ยนได้ทุกอย่าง!”ซูซีในตอนนี้ ทำได้ทุกอย่างเพื่อจะรั้งเทาเท่เอาไว้
แต่เทาเท่กลับดึงมือเธอออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย หันหลังแล้วจากไป
ซูซียกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง และร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ตอนนั้นเธอเลิกกับเทาเท่ด้วยใจที่ฮึกเหิมและก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งพอกลับมาเทาเท่จะไม่รอเธออยู่ที่เดิมอีกแล้ว
หากรู้ว่าจะมีวันนี้ เธอไม่มีทางเลิกกับเขาเด็ดขาด และจะแต่งงานกับเทาเท่ด้วย
น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว……
ซูซีร้องไห้จนเครื่องสำอางเลอะหน้าไปหมด ทำได้เพียงต้องเข้าห้องน้ำแล้วไปแต่งหน้าใหม่
ช่างบังเอิญเหลือเกิน เพราะทันทีที่เธอเข้ามาในห้องน้ำ ก็เจอเข้ากับหลินจือที่ล้างมือเสร็จและกำลังจะออกจากห้องน้ำไป
หลินจือเห็นซูซีที่ร้องไห้จนเครื่องสำอางเลอะแบบนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ซูซีในสายตาของเธอ เป็นคนที่สดใสสวยงามและสง่า วันนี้เป็นอะไรไป ?
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะสนใจ เธอละสายตาออกทันที หลุบตาลงเบี่ยงตัวหลบเพื่อจะเดินออกไป
ทันทีที่ซูซีเห็นหลินจือก็โกรธจัด ยิ่งอับอายมากขึ้นเมื่อนึกถึงเครื่องสำอางที่เลอะอยู่เต็มใบหน้าในตอนนี้ ก้าวเดินไปคว้าตัวหลินจือไว้แล้วตวาดเสียงดัง“หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลินจือถูกซูซีลากจนเกือบล้ม หลังจากที่ยืนนิ่งได้สิ่งแรกที่ทำคือสะบัดแขนให้หลุดออกจากการถูกควบคุม
“เธอเป็นบ้าอะไร!”หลินจือโกรธจัด
ตลอดทั้งคือเธอพยายามอยู่ให้ห่างจากพวกเขา กับเทาเท่ก็พูดคุยไปด้วยแค่สองสามคำก็แยกกัน แล้วไปยั่วโดนอะไรซูซีอีก ?
ช่างน่าแปลกจริงๆ!
“ฉันบ้างั้นเหรอ?”ซูซีตะคอกเสียงดัง“ถ้าไม่เพราะเธอ ฉันจะบ้าอย่างนี้เหรอ?”
หลินจือเอามือกอดอกแล้วหัวเราะเยาะพร้อมถามกลับว่า“อย่าบอกนะว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับเทาเท่นั้นมีปัญหากัน?”
“และอย่าบอกนะว่า เธอมาหาเรื่องฉันเพราะเรื่องนี้ ”
ซูซีกล่าวโทษ“ใช่แล้วไง!ไม่ใช่เพราะเธอคอยยุแหย่อยู่เบื้องหลังหรอกเหรอ?