บทที่ 249 ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาไม่เห็นเลือดที่กำลังไหล

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 249 ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาไม่เห็นเลือดที่กำลังไหล
ในขณะที่นางอยู่บนหลังม้า เฟิ่งชิงเฉินนางไม่เหมือนคนธรรมดา เฟิ่งชิงเฉินไม่เสียเวลาทันทีที่นางตกลงจากม้านางก็วิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับม้า
เฟิ่งชิงเฉินที่เคยวิ่งเป็นแนวหน้ากับหน่วยเก็บกู้ระเบิด เฟิ่งชิงเฉินจะตามหลังทีมระเบิดและทำหน้าที่เป็นแพทย์ให้สำหรับพวกเขา
สมาชิกของหน่วยรื้อถอนของกองกำลังรักษาสันติภาพล้วนเป็นชนชั้นสูง พวกเขาไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในการรื้อถอนเท่านั้น แต่ยังมีทักษะทางทหารระดับสูงอีกด้วย
ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้พยายามจะทำเท่ห์ต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินหมอสาวสวยคนนี้หรือเปล่า หรือว่าปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว พวกเขาลงรถโดยที่ไม่รอให้รถหยุดก่อน
เขาจับประตูรถแล้วกระโดดโดยรักษาจุดศูนย์ถ่วงและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งไปอย่างราบเรียบโดยไร้ความกังวล สำหรับพวกเขาแล้วมันง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก
การกระทำนี้ทำของพวกเขา ไม่เพียงแต่จะไม่อายแถมยังหล่อมาก เหมือนฉากในสนามรบ เฟิ่งชิงเฉินแพทย์สาวสวยที่อยู่ในสนามรบด้วยทำให้เป็นที่สนใจของคนอื่นๆ
สิ่งที่สำคัญคือการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่มีใครในสนามรบสามารถรู้ได้ว่าจะโดนระเบิดหรือโดนยิงจากศัตรูเมื่อไหร่ ทำไมไม่รอให้รถหยุดนิ่งก่อน? ระเบิดคงไม่รอให้เราวิ่งหนีก่อนได้หรอกจริงไหม?
ไม่ได้!
คนในทีมรื้อถอนเป็นคนที่เชี่ยวชาญกับระเบิดมากที่สุด ทักษะในการกระโดดขึ้นลงรถของพวกเขาจึงดีมาก
เฟิ่งชิงเฉินคิดว่ามันหล่อมากตั้งแต่แรกเห็น แต่ภายหลังนางรู้ว่านี่เป็นทักษะของพวกเขา ดังนั้นนางจึงให้คนจากทีมระเบิดเพื่อสอนเธอ
พูดกันตามความจริงแล้ว ทีมรื้อถอนไม่สนใจผู้หญิงเลย แต่สำหรับเฟิ่งชิงเฉินนั้นต่างกันออกไป
พวกเขามองว่าสำหรับในสนามรบแล้วผู้หญิงนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ แต่แพทย์สาวสวยอย่างเฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากจริงๆ
ในค่ายทหารส่วนใหญ่มีแต่ยศร้อยตรีร้อยเอก รวมถึงแม่ทัพใหญ่ก็แสดงความชื่นชมต่อเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อพยายามตีสนิทกับเฟิ่งชิงเฉินแต่เฟิ่งชิงเฉินนั้นปฏิเสธ
เทคนิคการกระโดดของเฟิ่งชิงเฉินได้รับการสอนโดยหัวหน้าทีมของทีมระเบิดเป็นการส่วนตัว น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินได้เรียนรู้เพียง30%เท่านั้น
คนธรรมดามักจะล้มและได้รับบาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อม แต่เฟิ่งชิงเฉิน ไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลยเพราะทุกครั้งที่นางจะได้รับบาดเจ็บหัวหน้าทีมสุดเท่ห์คนนี้ก็จะใช้ตัวเองเป็นแผ่นรองรับให้เฟิ่งชิงเฉิน
ถึงแจะเป็นเวลาเพียงไม่นานแต่ทักษะของนางก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางแต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับม้าตัวนี้
เห็นได้ชัดว่าม้ากระสับกระส่ายและเฟิ่งชิงเฉินโชคดีอย่างยิ่งที่นางมีสติแล้วเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เฟิ่งชิงเฉินคว้าหางม้าด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ม้าเหวี่ยงนางออกไป
ทันใดนั้น… นางก็นึกถึงคำพูดของหัวหน้าทีมระเบิดแล้ว ทำไมต้องกลัวที่จะล้มด้วย ล้มได้ก็กระโดดขึ้นใหม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินอดคิดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
มีบางคนเพิ่งออกมาจากสนาม เขาดูข้อมูลที่รวบรวมมาได้และก็เป่านกหวีด
“ฉันไม่ได้คาดหวังว่าไข้หวัดเล็กน้อยจะไม่หายเป็นเวลาเจ็ดวัน มันจะดีกว่าถ้าหมอเฟิ่งอยู่ที่นี่”
มีความรัก ความโหยหา และความหวานในดวงตา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นความเศร้า…
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิ่งเร็วเกินไปหรือเพราะรองเท้าขี่ม้าที่เท้าของนางมีคุณภาพไม่ดี เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าฝ่าเท้าของนางกำลังจะลุกเป็นไฟ และความเจ็บปวดทำให้เธอต้องพึมพำออกมา
คาดว่าม้าตัวนี้จะหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันไม่สามารถสลัดเฟิ่งชิงเฉินออกไปได้ มันพุ่งเข้ารั้วเหล็กที่ขอบสนาม
“ม้าตัวนี้มันบ้าไปแล้ว!” เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะบ่นถึงซีหลิงเหยาหวา
“อย่าว่าแต่เจ้าหญิงอันผิงเลย แม้แต่ครูฝึกม้าก็ไม่สามารถทำให้มันเชื่องง่ายๆ ถ้าหากเป็นเจ้าหญิงอันผิงคงถูกม้าตัวนี้เตะตายไปนานแล้ว . . ”
เมื่อเห็นว่าม้ากำลังจะชนเข้ากับรั้วเหล็ก เฟิ่งชิงเฉินก็กำหางม้าด้วยมือทั้งสอง
ฮึบ!
นางขับหางม้าและกระโดดขึ้น แล้วใช้กำลังแขนพยุงร่างกายกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า
“เฟิ่งชิงเฉิน สุดยอดมาก!” ฝูงชนที่หลั่งเหงื่อให้นางก็ส่งเสียงเชียร์อีกครั้ง
“แม่ทัพเฟิ่งเก่งมาก”
“เฟิ่งชิงเฉินนี่สุดยอดจริงๆ”
คนตงหลิงล้วนมีความสุข แต่ซีหลิงเหยาหวาและซู่หว่านไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น พวกเขาไม่เพียงกังวลว่าม้าสองตัวนั้น แต่ยังกังวลกับปฏิกิริยาของผู้ชายที่ห่วงใย…
ซีหลิงเหยาหวาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นการแสดงออกถึงความชื่นชมยินดีของตงหลิงจื่อลั่วและดวงตาของเขาเป็นประกาย แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะตงหลิงจื่อลั่วเห็นนางครั้งแรกเขาก็มองนางด้วยสายตาเช่นนี้
น่าทึ่งและน่าชื่นชม!
ซีหลิงเหยาหวา โกรธมากที่นางทำให้คนรอบข้างสนับสนุนนาง แม้ว่านางจะยังไม่แพ้ แต่ทุกคนคิดว่าทักษะที่ยอดเยี่ยมของเฟิ่งชิงเฉินอาจสามารถชนะได้ไม่ช้าก็เร็ว
ตรงกันข้ามกับความโกรธของเหยาหวา ซู่หว่านรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงสงบของตงหลิงจิ่ว
เท่าที่เห็นคือเสด็จอาเก้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉิน เพราะรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นมีทักาะที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่เป็นห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บ
ซู่หว่านหันไปมองที่ลุงจิ่วฮวงเพราะเหมือนมีคนมองนางจากความมืด แต่นางก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำตัวเปลี่ยนไป
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินขึ้นบนหลังม้า ม้าก็พุ่งเข้าชนรั้วเหล็กของสนาม
ปั้ง… หัวม้าชนรั้วเหล็ก เลือดไหล เฟิ่งชิงเฉินก็ล้มไปข้างหน้าด้วยแรงเฉื่อย แล้วก็ตกลงมาอย่างแรง
เสียงสะอื้น…เฟิ่งชิงเฉินอ้าปากค้างด้วยความเจ็บปวด นางรู้สึกว่าการปะทะเมื่อสักครู่ส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในของนางอย่างมาก
“นี่เป็นโอกาสที่เจ้าให้ข้า” เฟิ่งชิงเฉินดึงเชือกที่ผูกหัวม้าออกจากเอวของเขาแล้วเหวี่ยงไปข้างหน้าคล้องหัวม้าไว้
“เฟิ่งชิงเฉินสวมบังเหียนแลจะทำให้มันเชื่อง” สำหรับคนที่รู้เรื่องการฝึกม้าจะรู้ว่าการสวมบังเหียนนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก
แต่นั่นสำหรับม้าธรรมดา สำหรับม้าเหงื่อโลหิตนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะมันบ้าคลั่ง และมันก็วิ่งอย่างดุเดือดบนสนามแข่งม้า และมันจะไม่หยุดจนกว่าจะไล่เฟิ่งชิงเฉินจะยอมแพ้
เฟิ่งชิงเฉินต้องการหยิบยากล่อมประสาท แต่ยังไม่สามารถทำได้ เฟิ่งชิงเฉินเอนไปข้างหน้ากอดคอม้าและใช้ขาของนางรัดท้องม้าไว้อย่างแน่น
ม้าตัวนี้ไม่ได้ติดตั้งอาน มันง่ายที่จะถูกมันสะบัดทิ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงรัดท้องและกอดคอม้าแน่น แต่…