ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 272 เสียงที่ดังขึ้นข้างหู

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สวีเฟยมองโพรงหินที่บานประตูใหญ่ปิดสนิทตรงหน้า จมสู่ห้วงความคิด

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อมีจอมยุทธ์เข้าฌาน มักจะห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องรบกวนโดยเด็ดขาด หากถลันเข้าสถานที่เข้าฌานของผู้ใดโดยพลการ แม้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่อาจถึงขั้นผูกพยาบาทก็เป็นได้

ภายในสำนักเดียวกัน จอมยุทธ์คนหนึ่งเข้าฌาน ต่อให้เป็นผู้อาวุโสหรืออาจารย์ ทั่วไปแล้วก็ต้องนัดแนะเอาไว้ก่อน ถึงจะเข้าไปได้เช่นกัน

มิเช่นนั้นไม่ถึงขั้นสุดวิสัย ล้วนจะไม่พรวดพราดเข้าไปในสถานที่เข้าฌานของคนอื่นโดยพลการง่ายๆ

นี่ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น ในการที่จอมยุทธ์บำเพ็ญฝึกฝน บางครั้งการรบกวนเพียงเล็กน้อย ล้วนอาจทำให้ความพยายามที่ทุ่มเทไปก่อนหน้าเปล่าโยชน์ หรือถึงขั้นอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส

คนคนหนึ่งเข้าฌานจนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ พลันถูกคนรบกวน ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่กล้าจะคิด

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าไฉนคนส่วนมากเข้าฌานบำเพ็ญฝึกฝนเป็นเวลานาน จะขอให้คนช่วยเหลือคุ้มกันโดยเฉพาะ หรือเป็นเหตุผลที่ตนเองตั้งมหาค่ายกลป้องกันไว้เช่นกัน

ศิษย์สืบทอดสายหลักกว่างเฉิงเฉกเช่นลู่เวิ่น แม้สถานที่เข้าฌานจะไม่ได้มีการป้องกันรักษาโดยเฉพาะ ทว่าก็มีอาจารย์ตั้งค่ายกลคุ้มกันไว้นานแล้ว

โพรงหินเหมือนเช่นที่ลู่เวิ่นเข้าฌานอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ที่พำนักแต่เดิมของเขาเองแต่อย่างใด ทว่าเป็นสถานที่เข้าฌานที่สำนักเขากว่างเฉิงเตรียมไว้ให้ศิษย์ระดับสุดยอดเป็นการเฉพาะ

ตอนที่สวีเฟยบำเพ็ญเพียรอย่างหนักในอดีต ก็เคยเข้าไปในสถานที่คล้ายๆ กันมาก่อนเช่นกัน

กระนั้นบัดนี้ สวีเฟยมองดูโพรงหินที่ลู่เวิ่นเข้าฌาน ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่สงบในใจอยู่บ้าง

หลังจากที่เขาออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจเมืองซู่โจวแห่งเกาะทราย เมื่อกลับมายังสำนักก็ได้รับหน้าที่ใหม่ ซึ้งไม่ได้อยู่ที่ตำหนักอาญาของสือเถี่ย อาจารย์ของตน หากแต่เป็นตำหนักสืบวิชา ที่เดิมเป็นหน้าที่ของเยี่ยนตี๋

สวีเฟยเป็นผู้อาวุโสคุมการณ์ใต้บัญชาตำหนักสืบวิชาในปัจจุบันที่เยาว์วัยที่สุด

บริหารจัดสรรโพรงหินเข้าฌานให้แก่ศิษย์สำนัก ก็เป็นหน้าที่ของตำหนักสืบวิชา

สวีเฟยมีความสามารถในการเปิดโพรงหินเข้าฌานของลู่เวิ่นได้โดยลำพัง ส่วนใหญ่นี่เป็นการพิจารณาจากเหตุผลด้านความปลอดภัย

เคยมีจอมยุทธ์เข้าฌาน เนื่องด้วยฝึกหนักจนเกิดธาตุไฟเข้าแทรก สาหัสถึงขั้นสิ้นใจ หลังจากเสียชีวิตภายในห้องลับ เนิ่นนานก็ไม่มีผู้ใดรับรู้

ดังนั้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ตำหนักสืบวิชาจึงตั้งใจเตรียมการอยู่บ้างเป็นพิเศษ

ทว่านี่เป็นเพียงการป้องกันเหตุสุดวิสัยเท่านั้น หากไม่มีความจำเป็น ผู้อาวุโสตำหนักสืบวิชาก็จะไม่ย่างเหยียบสถานที่ที่คนอื่นกำลังเข้าฌานเช่นกัน

หลังจากไตร่ตรองชั่วขณะหนึ่ง แม้จะรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ทว่าในที่สุดสวีเฟยยังคงยื่นมือดันไว้บนประตูใหญ่ของโพรงหิน

ประเดี๋ยวเดียว ประตูใหญ่โพรงหินเปิดออก จากนั้นสวีเฟยจึงเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง

เมื่อทะลุผ่านระเบียง สวีเฟยมาถึงภายในห้องสงบจิต อันเป็นสถานที่เข้าฌานที่อยู่ลึกที่สุด ก่อนจะแลเห็นชายผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น

ชายผู้นี้หนวดเครารุงรัง ดวงหน้าถูกผมเผ้ายาวเฟื้อยปรก ดูแล้วเหมือนคนป่าคนหนึ่ง

ไม่ว่าผู้ใดเห็นแวบแรก ก็ยากจะโยงเข้ากับลู่เวิ่น ผู้ที่แต่ก่อนสูงสง่าสุภาพบุรุษเช่นกัน

กระนั้นสวีเฟยยังคงจำลู่เวิ่นได้ตั้งแต่แรกเห็น หากแตสิ่งที่ทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าคือร่างกายลู่เวิ่นในขณะนี้ แจ่มชัดว่ากำลังสั่นเทา คล้ายกับตื่นตระหนกอย่างไรอย่างนั้น

สวีเฟยไม่รู้สึกขณะนี้ลู่เวิ่นกำลังเดินลมปราณอยู่ ร่างกายอีกฝ่ายสั่นเทิ้ม หาใช่เพราะฝึกยุทธ์ไม่ หากแต่เหมือนว่าอารมณ์ฮึกเหิมเสียมากกว่า

“ไม่ปกติ!” ในใจสวีเฟยพลันหนักอึ้ง กุลีกุจอเข้าไปใกล้เบื้องหน้าลู่เวิ่น

เขาไม่ได้อำพรางร่องรอยการเคลื่อนไหวของตน ทว่าลู่เวิ่นกลับมองเขาไม่เห็น เพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตานั่งอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม

ครั้นเพ่งมองดวงหน้าอีกฝ่ายอย่างละเอียด สวีเฟยพลันค้นพบว่า ดวงตาทั้งสองของลู่เวิ่นบัดนี้ปิดสนิท สีหน้าซีดเซียว เหงื่อซ่กเต็มใบหน้า ราวกับป่วยหนักอย่างไรอย่างนั้น

สวีเฟยตะโกนเรื่องเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์น้องลู่!”

ลู่เวิ่นคล้ายกับรู้สึกตัวโดยพลัน ในที่สุดก็ลืมตา นัยน์ตาทั้งสองมองตรงเบื้องหน้า ทว่าแววสายตากลับไม่รวมศูนย์

เมื่อมองดูลูกตาดำทั้งสองดวงอย่างถี่ถ้วน สวีเฟยถึงเห็นว่าในลูกตาของอีกฝ่ายมีแสงสีโลหิตจางๆ กำลังเปล่งประกายอยู่อย่างชัดเจน

ร่างกายของลู่เวิ่นสะท้อนความเลื่อนลอยออกมา กระนั้นกลับสามารถทำให้สวีเฟยรู้สึกถึงอารมณ์อันอาฆาตแค้นและเจตนาอันไม่ยินยอมได้อย่างชัดแจ้ง

สีหน้าท่าทางสวีเฟยเปลี่ยนเป็นจริงจังและหนักอึ้ง

หลังจากผ่านการหลอกล่อไต่สวนภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต บัดนี้สวีเฟยและสำนักเขากว่างเฉิงเข้าใจสถานการณ์ผู้ที่ถูกมารครอบงำบ้างแล้วคร่าวๆ เช่นกัน

คนสู่มารร้าย เป็นรูปแบบขั้นตอน

ผู้คนโดยส่วนมากถึงขั้นที่ ความคิดร้าย ความยึดติด ความคิดเป็นพิษ และความปรารถนาให้ได้มา นั้นสามารถพูดได้ว่าทุกคนต่างก็มี เพียงแต่ผู้คนสามารถเพิ่มการยับยั้ง และไม่ให้ความคิดแง่ลบเหล่านี้ครอบงำตัวเอง

ทว่าครั้นยามบางความคิด ถูกนพยมโลกกระตุ้น ทะลวงขีดจำกัด ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความคิดมาร

ความคิดมารแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสะสมนานย่อมยากแก้ไข จนกระทั่งท้ายที่สุดสัมผัสเข้ากับไอมารโลกภายนอก ลวงตาภายในกลายสภาพเป็นจริงภายนอก กลายเป็นมารโดยสมบูรณ์ในที่สุด

ลักษณะเฉพาะของผู้กลายเป็นมารชัดแจ้งอย่างยิ่ง ลูกตาดำเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่าม ขณะเดียวกันก็ยิงแสงโลหิตแจ่มชัดออกมา

กระนั้นก่อนที่จะกลายเป็นมารอย่างแท้จริง ผู้คนที่จิตใจมีความคิดมารร้าย รูปโฉมภายนอกกลับไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป

มีเพียงข้อยกเว้นเดียว แม้ชั่วขณะที่ความคิดในใจทะลวงขีดจำกัด เปลี่ยนเป็นความคิดมาร ก็จะมีลักษณะเฉพาะเช่นกัน

ลักษณะเฉพาะนี้ ก็คือท่าทางของลู่เวิ่นในตอนนี้!

บัดนี้ลู่เวิ่นกำลังอยู่ในจุดวิกฤต กำลังเปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นมารร้าย!

ถึงแม้จะเผชิญหน้าสวีเฟยผู้นี้ ทว่าแววตาของลู่เวิ่นไม่ได้รวมศูนย์ คล้ายกับมองไม่เห็นสวีเฟย

เขาพึมพำส่งเสียงทุ่มต่ำอีกทั้งไม่ได้ศัพท์ออกมา “เยี่ยน… จ้าว… เกอ…! เยี่ยน… จ้าว… เกอ…! เยี่ยน… จ้าว… เกอ…”

สวีเฟยเห็นดังนั้นก็ลอบถอนใจครั้งหนึ่ง ทว่าไม่กล้าลังเล เชสเหยียดสองมือออกไป ออกแรงตบไปบนไหล่ทั้งสอง!

“ศิษย์น้องลู่!”

ลู่เวิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ราวกับวิกลจริตไปเสียอย่างนั้น

สวีเฟยเอื้อนเอ่ยเสียงหนักแน่น “ศิษย์น้องลู่ เจ้าฝึกยุทธ์ก็เพียงเพื่อที่จะถ่วงศิษย์น้องเยี่ยนลงอีกขั้นอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ร่างกายลู่เวิ่นก็สั่นเทิ้มครู่หนึ่ง เขาหยุดพึมพำ ทว่าแววตาทั้งสองยังคงไร้ชีวิตชีวา

สวีเฟยกล่าว “เจ้าเข้าสำนักมาหลายปี ฝึกยุทธ์ลำบากยากเข็ญมาหลายปี สุดท้ายแล้วเพื่ออะไร? ตอนแรกเจ้ากราบอาจารย์ร่ำเรียนวิชาเพราะอะไร?”

การแสดงออกบนใบหน้าลู่เวิ่นเริ่มแปรเปลี่ยน

ชั่วครู่หนึ่งดิ้นรนทุกข์ทรมาน ชั่วครู่หนึ่งกลับตัดขาดบ้าคลั่ง เปลี่ยนแปลงสลับอยู่สองแบบ

สวีเฟยผ่อนเสียงลง “ศิษย์น้องลู่ เจ้าคิดให้ดี ตัวเจ้าเองต้องการอะไรกันแน่ เพื่ออะไรถึงเดินมาถึงวันนี้?”

การสั่นไหวของร่างกายลู่เวิ่นค่อยๆ หยุดลง แสงโลหิตในดวงตาทั้งสองก็ค่อยๆ จางลงไปเช่นกัน

ครั้นเห็นดังนั้น สวีเฟยถึงผ่อนลมหายใจคำหนึ่งในที่สุด

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เส้นสายตาของลู่เวิ่นรวมศูนย์อีกครั้ง เขามองดูสวีเฟย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ศิษย์พี่สวี…”

สวีเฟยกล่าว “สงบจิตสงบใจไว้”

ลู่เวิ่นผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า ปิดเปลือกตาทั้งสองอีกครั้ง บนดวงหน้าซีดเซียวเปี่ยมด้วยความอ่อนล้า เหงื่อดุจฝนพรำ ทว่าร่างกายไม่สั่นเทิ้มอีกต่อไป การแสดงอารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเช่นกัน

สวีเฟยมองเขา “ศิษย์น้องลู่ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าเพิ่งจะสงบอารมณ์ลง มีบางเรื่องอาจไม่ยินดีที่จะหวนนึกถึง แต่เรื่องเกี่ยวข้องกับกิจการพื้นฐานสำนัก ชักช้าไปไม่ได้ มีบางเรื่องข้าจำต้องทำความเข้าใจให้เร็วที่สุด”

“ก่อนหน้านี้ มีคนติดต่อเจ้า กระตุ้นความยึดติดในใจเจ้า ทำให้มันหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับที่สื่อสารกับนพยมโลกได้ใช่หรือไม่?”

ลู่เวิ่นเบิกตาขึ้นมา แล้วผงกศีรษะช้าๆ “มีคนกระซิบข้างหูข้าจริงๆ ก้นบึ้งในใจข้าเหมือนกับมีเสียงหนึ่งดังก้องตลอดเวลา ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเกลื่อนกลาดสมองข้าไปหมด”

—————————–