ตอนที่ 437 รวมหัว
“พระชายา ท่านได้ยินเรื่องที่ฟางซู่ซู่พยายามฆ่าตัวตายหรือไม่เจ้าคะ ? นางพยายามตั้งหลายครั้ง มิรู้ว่าคิดอันใดกันแน่ อยู่เงียบ ๆ มิได้หรืออย่างไรเจ้าคะ ? ” ปี้จูยกน้ำชาพลางเดินเข้ามาพร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนให้อันหลิงเกอฟัง เมื่อเอ่ยถึงฟางซู่ซู่ก็อดส่ายหน้าอย่างเอือมระอามิได้
“อย่างนั้นหรือ ? มิต้องไปสนใจนางหรอก” อันหลิงเกอยิ้มออกมา มิได้ใส่ใจเรื่องนี้นักเพราะทุกครั้งที่ฟางซู่ซู่ฆ่าตัวตาย นางก็แอบช่วยอย่างลับ ๆ ให้ฟางซู่ซู่รอดมาได้ทุกครั้ง
เมื่อเห็นพระชายาจัดดอกไม้ต่อ ปี้จูก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก ทำแค่ยืนข้าง ๆ อย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น
พริบตาเดียวก็ล่วงเลยมาถึงเดือนเจ็ดแล้ว ดอกบัวที่บานเต็มสระส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมาทำให้อดเบิกบานมิได้
“พระชายา พระชายาเจ้าคะ” หมิงซินรีบวิ่งเข้ามาหาอันหลิงเกอ นางหอบเสียจนมิสามารถกล่าวออกมาเป็นประโยคได้
“เจ้ารีบร้อนอันใด ค่อย ๆ พูดก็ได้” อันหลิงเกอวางถ้วยชาในมือลง ช่วงต้นฤดูร้อนนางชอบนั่งดื่มชาในห้องเพื่อเป็นการคลายร้อน ทั้งยังทำให้จิตใจสงบอีกด้วย แต่วันนี้กลับถูกเด็กน้อยมาทำลายความสงบเสียได้
นางจึงส่งถ้วยชาให้ หมิงซินที่รับไปก็รีบดื่มสองอึกใหญ่ หลังดื่มเสร็จก็ปรับลมหายใจแล้วกล่าวออกมา “ข่าวดีเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ฮูหยินจวนแม่ทัพลวี่เพิ่งคลอดคุณชายน้อย อีกมิกี่วันก็จัดงานฉลองครบเดือน เมื่อครู่เพิ่งส่งเทียบเชิญมาให้เจ้าค่ะ” กล่าวจบหมิงซินก็ส่งเทียบเชิญที่อยู่ในกระเป๋าอกเสื้อให้อีกฝ่าย
หืม ? ซูเอ๋อน่ะหรือ ? ก่อนหน้านี้ตอนอยู่จวนโหว นางก็สนิทกับซูเอ๋อมิน้อยเพราะเด็กคนนี้เป็นผู้หญิงเรียบง่ายที่หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง
“ในที่สุดนางก็ได้เป็นแม่คนเสียที ช่วงนี้มิได้เจอกันเลย ข้ายังคิดถึงนาง มิรู้ว่านางเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าให้คนกลับไปรายงานว่าข้าต้องไปอย่างแน่นอน”
อันหลิงเกอก้มมองเทียบเชิญสีแดงในมืออย่างพิจารณา เมื่อเห็นลายมือที่คุ้นเคยก็อดส่ายหน้าอย่างเอ็นดูมิได้ เด็กคนนี้มีความตั้งใจมิน้อยเพราะเพิ่งคลอดลูกได้มินานแต่ฝืนร่างกายมาเขียนเทียบเชิญด้วยตนเอง เช่นนี้นางจักมิไปได้อย่างไร
วันนั้นเองที่หน้าประตูจวนแม่ทัพลวี่ก็มีเกี้ยวคันหนึ่งมาขวางทางเอาไว้ องครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าเห็นดังนั้นก็รีบขับไล่ทันที ทว่ามิเห็นคนด้านในเกี้ยวออกมาทั้งยังมิยอมขยับเกี้ยวออกไปอีกด้วย
และตอนนั้นเองสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างเกี้ยวก็เอ่ยว่า “ไปเรียกฮูหยินของพวกเจ้ามาต้อนรับ เช่นนั้นนายหญิงของข้าก็จักมิเข้าไป”
องครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วอึดใจ “บังอาจ ! นายของพวกเจ้าเป็นผู้ใด ? กล้าสั่งให้ฮูหยินของเราออกมาต้อนรับ เจ้ารู้หรือไม่ว่าฮูหยินของเราสนิทกับพระชายามู่มากเพียงใด หาใช่คนที่พวกเจ้าจักมาเรียกใช้ได้”
สาวใช้มิรู้ควรกล่าวอย่างไรดี ในเกี้ยวก็เกิดเสียงนุ่มนวลดังขึ้นเสียก่อน “บอกให้ไป พวกเจ้าก็ไปทำ หากทำให้เสียเวลาระวังจักโดนโทษมิน้อย”
แม้เสียงของอันหลิงเกอนุ่มนวลแต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ทุกคำที่ส่งไปถึงองครักษ์ทำให้พวกเขาต้องยอมทำตามแต่โดยดี
เพียงมินานซูเอ๋อก็ออกมาปรากฏตัวที่ด้านข้างของเกี้ยว พอเห็นหน้าหมิงซิน นางก็รีบเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น “พระชายาลงมาเถิดเจ้าค่ะ คงมิต้องถึงขั้นให้ข้าเดินไปจูงออกมาจากเกี้ยวกระมัง ? ตอนนี้ร่างกายของซูเอ๋อยังเคลื่อนไหวมิค่อยสะดวกเจ้าค่ะ…” นางแกล้งหยอกคนที่อยู่ภายในเกี้ยว
อันหลิงเกอจึงก้าวออกมา องครักษ์สองนายที่อยู่ด้านหลังของซูเอ๋อ เดิมคิดที่อยากเห็นหน้าคนในเกี้ยวว่าเป็นผู้ใด แต่พอม่านที่ปิดบังเกี้ยวโดนเปิดออก ทั้งคู่ก็ทรุดลงกับพื้นทันที
แม้ครั้งนี้อันหลิงเกอแต่งตัวธรรมดาก็ยังแผ่รัศมีน่าเกรงขามของพระชายาออกมาจนสามารถรับรู้ได้
“ดีที่ท่านยังรู้จักมาหาข้า มิเช่นนั้นข้าจักบอกลูกชายว่าพระชายามิได้สนใจเขาแม้แต่น้อย”
ซูเอ๋อกล่าวไปพลางเดินเข้าไปจูงมือของอันหลิงเกอ ดวงตาคลอไว้ด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ
อันหลิงเกอกุมมือของนางเอาไว้เพราะนางเพิ่งคลอดลูกได้มินาน ร่างกายจึงยังมิกลับมาเป็นปกติเท่าใดนัก ฝ่ามือที่อวบขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยจึงทำให้อดสงสารมิได้ “เพิ่งคลอดหลานชายของข้า เจ้าก็ดื้อมาเขียนเทียบเชิญให้ข้าเสียแล้ว”
“ข้ารู้ว่าหากท่านเห็นก็ต้องใจอ่อนแล้วยอมมาหาข้าแน่”
“ครั้งหน้าเจ้าห้ามดื้อรั้นเช่นนี้อีก” อันหลิงเกอเห็นซูเอ๋อก็เหมือนได้เห็นความทรงจำที่ผ่านมา ความรู้สึกคุ้นเคยจึงปะทะหัวใจดวงน้อยทันที
“ครั้งหน้าอันใดกันเล่า ครั้งนี้ข้าเกือบทนมิไหวอยู่แล้ว” ทั้งสองเดินไปพลางหยอกล้อกันไปด้วยจนเข้าไปถึงด้านในจวนลวี่
“วันนี้พระชายาไปที่ใด ? ” ขณะเดียวกันเสียงของมู่จวินฮานก็ดังขึ้นในจวนอ๋องคล้ายกำลังมิพอใจอยู่
“เรียนท่านอ๋อง พระชายาไปจวนแม่ทัพลวี่เจ้าค่ะ”
จวนแม่ทัพลวี่อย่างนั้นหรือ ?
“เหมือนว่าพระชายาอยากไปขอหมั้นบุตรชายที่เพิ่งคลอดของท่านแม่ทัพเอาไว้ก่อนเจ้าค่ะ”
เร็วขนาดนี้เชียวหรือ ? มู่จวินฮานอดยิ้มออกมามิได้ หัวใจที่เย็นชาของเขาหลอมละลายเพราะความคิดนี้ของนาง
ทั้งสองคนยังมิทันมีบุตร เกอเอ๋อก็รีบไปหาคู่หมั้นให้บุตรแล้วหรือ ?
ดูท่าแล้วเขาต้องขยันให้มากกว่านี้
แต่มู่จวินฮานรู้ความคิดอีกอย่างของอันหลิงเกอดี การกล่าวเรื่องหมั้นหมายครั้งนี้ก็เพราะนางอยากปกป้องจวนลวี่เอาไว้ เนื่องจากสถานการณ์ในเมืองหลวงช่างวุ่นวายและดูท่านางคงอยากให้จวนลวี่มาอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขากระมัง
หลังกลับจากจวนลวี่ อยู่ ๆ อันหลิงเกอก็ล้มป่วย
พอนางตรวจร่างกายของตนจึงได้รู้ว่านางโดนวางยาพิษ
ทว่าตอนนั้นที่กลับถึงจวน นางก็พบแค่อวี๋หมิงหลันยกน้ำชามาให้ผู้เดียวเท่านั้น
“ท่านอ๋อง ได้โปรดเมตตาสาวใช้ของข้าน้อยสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ” อวี๋หมิงหลันคุกเข่าอยู่ด้านหน้ามู่จวินฮาน น้ำเสียงที่อ่อนโยนอยู่เป็นนิจเอ่ยอย่างสั่นเครือและร่างกายที่บอบบางก็สั่นเทา
อดีตที่ผ่านมาอวี๋หมิงหลันได้อยู่กับมู่จวินฮาน อย่างน้อยเขาย่อมมีความรู้สึกอันใดบ้าง อวี๋หมิงหลันจึงเริ่มร้องไห้มิหยุด
ในที่สุดนางก็รู้ฐานะของตน นางเข้ามาในจวนเพราะความรักที่มีต่อท่านอ๋อง นางในตอนนี้มิได้มีคนสนับสนุนและที่พึ่งเดียวก็คือชายผู้นำแสงสว่างเข้ามาในชีวิตผู้นี้
นางรู้ว่ามู่จวินฮานเคยชื่นชมความใจดีมีเมตตาที่นางแสร้งทำขึ้นมา นางจึงต้องรักษาการแสดงนั้นเอาไว้เพื่อเขารวมถึงเพื่อตัวนางเองด้วย
อวี๋หมิงหลันหลับตาลง บางทีนางต้องเข้าไปอยู่ในเรือนร้างเพื่อทบทวนตนเองเพราะภายในจวนนี้นางมิสามารถปกป้องคนข้างกายหรือแม้แต่สาวใช้ได้ด้วยซ้ำ
หลายวันก่อนนางสั่งให้สาวใช้ไปวางยาอันหลิงเกอตามที่หลิงอวี่หนิงบอก แต่คาดมิถึงว่าจักถูกมู่จวินฮานจับได้ อีกทั้งสาวใช้คนนั้นก็ยังเป็นคนเดียวกับที่คอยอยู่ข้างกายนางด้วย
ตอนนี้สาวใช้ของนางจึงโดนคุมขังอยู่ มิรู้ว่าเป็นตายเช่นไร
“หมิงหลัน…” มู่จวินฮานเรียกนางเบา ๆ เขามิอยากทำร้ายนาง แต่อวี๋หมิงหลันมิรู้จักเจียมตนเสียเลย
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยอยากอยู่เงียบ ๆ ให้ข้าน้อยไปสำนึกตนที่เรือนร้างเถิดเจ้าค่ะ” อวี๋หมิงหลันยังคงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
เรือนร้างของจวนอ๋องก็เหมือนตำหนักเย็นแห่งวังหลวง
ดวงตาของมู่จวินฮานจึงเข้มขึ้น ขณะมองเงาที่เดินจากไปของอวี๋หมิงหลัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอนุญาตให้สาวใช้คนนั้น…ไปดูแลเจ้าในเรือนร้างต่อแล้วกัน”
……
……
“พระชายาดีขึ้นบ้างหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาเปี่ยมความกังวล