ตอนที่ 438 เรือนร้าง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 438 เรือนร้าง

อันหลิงเกอที่ยังหลับตาอยู่ก็เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้ามิเป็นอันใดแล้ว ท่านอ๋องมิต้องเป็นห่วง เกอเอ๋อแค่เหนื่อยและอยากนอนพักเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

“อืม เช่นนั้นเจ้าก็นอนพักเถิด” มู่จวินฮานก็มิรู้ว่าควรกล่าวอันใดเพราะเขาเองที่ทำผิดต่อนาง

“พระชายา ฮูหยินท่านแม่ทัพมาเจ้าค่ะ” มู่จวินฮานเพิ่งจากไป หมิงซินก็เดินเข้ามารายงานทันที

ใบหน้าของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความดีใจ “ซูเอ๋อมาหรือ ! รีบหวีผมให้ข้าเร็วเข้า”

“มิต้องหรอก มิสบายก็นอนพักเถิด” ซูเอ๋อแม้เป็นแม่คนแล้วก็เดินเหินคล่องแคล่ว เมื่อกล่าวจบตัวคนก็เดินมาถึงเตียงของอันหลิงเกอเสียแล้ว

ทุกคนในจวนต่างรู้ดีว่าพระชายามีความสัมพันธ์อันดีกับฮูหยินแม่ทัพลวี่ ฮูหยินเองก็มักมาอยู่เป็นเพื่อนพระชายาบ่อย ๆ จึงมิมีผู้ใดขวางเมื่อนางเข้ามาในจวน

ปี้จูที่เห็นพวกนางต้องการคุยกันจึงถอยออกไปรอด้านนอก

“เหตุใดถึงโดนวางยาพิษได้เล่า ? ” ซูเอ๋อเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง นางมีกันอยู่สองคน แม้อันหลิงเกอได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง แต่นางก็ยังมิวางใจอยู่ดี

“ข้า…” อันหลิงเกอมิชินกับการโกหกจึงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหันหน้าไปทางอื่น “ข้า…มิเป็นไร”

อันหลิงเกอรู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอวี๋หมิงหลัน แต่ดูแล้วน่าจักเป็นความคิดของหลิงอวี่หนิงและนางมิอยากให้ซูเอ๋อเป็นกังวลจึงมิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้

“คารวะหมู่เฟยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอลุกขึ้นคำนับ

“หลิงเกอ มานั่งตรงนี้สิ” มู่เหล่าหวางเฟยชี้ไปยังที่นั่งด้านข้างของตน

“หมู่เฟยเรียกลูกมา มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอคุกเข่าลง สาวใช้ทั้งหมดต่างก็ถอยออกไปนานแล้ว มู่เหล่าหวางเฟยถอนหายใจก่อนช่วยประคองอันหลิงเกอให้ลุกขึ้น

แต่อันหลิงเกอมิยอมลุก นางจับแขนเสื้อของมู่เหล่าหวางเฟยเอาไว้เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเรียกตนมาพบต้องเป็นเรื่องของอวี๋หมิงหลันอย่างแน่นอน

อย่างไรตอนแรกมู่เหล่าหวางเฟยก็เป็นคนเห็นด้วยเรื่องการตอบแทนบุญคุณตระกูลอวี๋ ครั้งนี้คงมิใช่ต้องการยกโทษให้อวี๋หมิงหลันหรอกกระมัง ?

เห็นอันหลิงเกอทำเช่นนี้ มู่เหล่าหวางเฟยก็นึกถึงภาพอวี๋หมิงหลันในวัยเยาว์ เด็กคนนั้นนางก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก นิสัยเป็นอย่างไรนางย่อมรู้ดี

หากมิใช่เพราะเรื่องของจวินฮานและเกอเอ๋อทำร้ายจิตใจหมิงหลันมากถึงเพียงนี้ หมิงหลันก็คงมิวางแผนทำร้ายผู้อื่นเป็นแน่

การต่อสู้ของเรือนหลังมักเป็นเรื่องน่าเศร้า แม้อวี๋หมิงหลันทำผิดจริง แต่โชคดีที่อันหลิงเกอมิได้ทำให้มู่เหล่าหวางเฟยผิดหวังไปด้วย

“ลุกขึ้นเถิด แม่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี” มู่เหล่าหวางเฟยเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าให้อันหลิงเกอ

“เรื่องของอวี๋หมิงหลัน แม่จักให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง” อันหลิงเกอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับ

“เป็นถึงพระชายาแล้วจักมาทำตัวอ่อนแอเช่นนี้มิได้” มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยเตือน

เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย อันหลิงเกอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมารดา มู่เหล่าหวางเฟยดีกับตนมากเหลือเกินจึงทำให้อันหลิงเกอรู้สึกปลอดภัย

หมู่เฟยของมู่จวินฮานก็คือหมู่เฟยของนาง ดังนั้นนางต้องดูแลอย่างดีเช่นกัน

“ลูกเป็นเช่นนี้ต่อหน้าหมู่เฟยเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอรู้สึกเขินอายแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย

“หมู่เฟยเพิ่งได้เป็นอิสระก็ต้องมากังวลเพราะเรื่องของลูก ทั้งยังมิได้พักผ่อนอย่างสบายอารมณ์ ช่วงนี้ดอกไม้ในสวนกำลังบานสะพรั่ง ลูกไปชมดอกไม้เป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”

หลังผ่านเรื่องโรคระบาดและปัญหาความอดอยากในครั้งนี้ ฮ่องเต้ก็ลดความหวาดระแวงที่มีต่อมู่จวินฮานลงมิน้อยซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่ยอมคืนอิสรภาพให้มู่เหล่าหวางเฟย

“ดีเหลือเกิน” มู่เหล่าหวางเฟยตอบรับทันที

บุปผาหลากหลายสีสันแข่งกันเบ่งบาน ทัศนียภาพในสวนช่างงดงามเสียจริง

“เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ แม่นมชมว่าเจ้าฉลาดเฉลียวแล้วเหตุใดมิพูด…”

“ก็แค่พูดเก่ง ฉลาดเฉลียวที่ไหนกันเล่า…”

“คือ…”

มู่เหล่าหวางเฟยและอันหลิงเกอเพิ่งเดินเข้าไปที่สวนก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจนทั้งสองขมวดคิ้วมุ่น

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสตรีสี่ห้าคนสวมชุดสีขาวธรรมดากำลังร่วมกันพูดถากถางสตรีอีกคนที่มีใบหน้างดงามอยู่

สตรีที่โดนเยาะเย้ยแม้อับอายแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีคนมากกว่าจึงอดทนมิตอบโต้ แต่ดวงตาดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความมิยอมคน

ปกตินิสัยเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดีและสตรีเช่นนี้ย่อมมีที่ยืนหยัดภายในวังหลวงได้อย่างแน่นอน

มู่เหล่าหวางเฟยคิดดังนั้นก็ส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกายไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้า

“หลิงเกอ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสตรีนางนั้นแม้มีนิสัยดื้อรั้นแต่ก็รู้จักถอย เจ้าเองต้องดูไว้เป็นเยี่ยงอย่าง” มู่เหล่าหวางเฟยเห็นสาวใช้คลี่คลายสถานการณ์ได้แล้วก็หันมาชี้แนะอันหลิงเกอ

“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพยักหน้ารับ อีกฝ่ายพูดมิผิดเพราะนางก็เป็นคนดื้อรื้นและน้อยครั้งที่จักยอมถอยง่าย ๆ

บางทีอาจเพราะภายในใจมีความแค้นสุมอยู่จึงทำให้อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าตนค่อนข้างแข็งกร้าว

“คารวะหมู่เฟย” มู่จวินฮานทราบว่ามู่เหล่าหวางเฟยและเกอเอ๋ออยู่ที่นี่ก็รีบมาหาทันที

มู่เหล่าหวางเฟยเห็นบุตรชายแล้วภายในอกเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องอวี๋หมิงหลันก็แสร้งทำท่าทางขึงขังขึ้นมาแล้วเอ่ยตำหนิเขา

มู่จวินฮานก็นิ่งเงียบเพื่อรับฟัง ‘คำสั่งสอน’ ของมู่เหล่าหวางเฟยอย่างนอบน้อม

ท่าทางเช่นนี้ในสายตาของมู่เหล่าหวางเฟยทั้งน่าโมโหและน่าขัน นิสัยช่างเหมือนบิดาของเขาเสียจริง ทำให้มู่เหล่าหวางเฟยนึกถึงสามีขึ้นมา

มู่จวินฮานได้ยินเสียงของมู่เหล่าหวางเฟยเงียบลงจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นท่าทางใจลอยของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่านางกำลังคิดถึงฟู่หวางเป็นแน่

แม่ลูกย่อมรู้ใจกันที่สุด มู่เหล่าหวางเฟยรู้ดีว่ามู่จวินฮานมีนิสัยเหมือนบิดาของเขาคือรักมั่นคงและยืนยาว

“จวินฮาน แม่รู้ความคิดของเจ้าดี หมิงหลันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเราแต่ก็เป็นคนละเรื่อง ครั้งนี้ถ้าจัดการเรียบร้อยแล้วให้เจ้าส่งนางออกนอกจวน แม้ต้องสร้างจวนตระกูลอวี๋ให้นางใหม่ก็มิควรปล่อยหญิงสาวคนหนึ่งมาอยู่ในจวนเช่นนี้เรื่อย ๆ ”

คำพูดของมู่เหล่าหวางเฟยตรงกับสิ่งที่มู่จวินฮานคิดเอาไว้ แววตาของเขาจ้องไปยังใบหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยเพื่อหวังได้รับคำชี้แนะสำหรับใช้แก้ปัญหานี้

“แม่อยู่มาครึ่งชีวิตแล้วย่อมเข้าใจดี ทุกอย่างมิสามารถเป็นไปตามที่ใจต้องการได้ ขอเพียงเจ้ามิละทิ้งความตั้งใจเดิมแล้วเปลี่ยนวิธีเผชิญหน้ากับปัญหา ทุกอย่างก็สามารถแก้ไขได้” มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยชี้แนะ

มู่จวินฮานได้ฟังแล้วดวงตาก็เป็นประกายพลางพยักหน้ารับ “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”

วันนี้อากาศดีมิน้อย ทว่าสิ่งที่ตรงข้ามกับอากาศก็คือเรือนร้างของจวน

“นี่ อวี๋กู่เหนียง เจ้ามาอยู่ที่เรือนร้างแล้วก็อย่าคิดฝันถึงสิ่งที่มิควรอีกเลย”

หน้าประตูเรือนที่ดูหนาวเย็นมีองครักษ์สวมชุดสีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่งที่เชิดหน้ากล่าวกับคนที่อยู่ด้านใน…

เรือนร้าง

เดิมทีนางคิดว่าครั้งนี้อันหลิงเกอจักปล่อยนางไป แต่คาดมิถึงว่าสุดท้ายนางต้องมาอยู่ที่เรือนร้างจริง ๆ

นางคิดว่าการถอยครั้งนี้จักทำให้สามารถก้าวไปอีกขั้น แต่เป็นนางที่ต้องมาติดอยู่ในนี้

ผู้หญิงตัวคนเดียวเยี่ยงนางจักไปต่อกรกับอันหลิงเกอได้อย่างไร ?

องครักษ์ปัดฝุ่นบนตัวออกและวางอาหารไว้บนบันไดแบบมิใส่ใจ “นี่คืออาหารของเจ้า หากเจ้ายังก่อความวุ่นวายและทำลายข้าวของอีกก็คงมิมีผู้ใดมาสนใจเจ้าที่อยู่ในเรือนร้างอีกแล้ว”