ตอนที่ 439 น่าเวทนา
ฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างภาคภูมิใจขององครักษ์ก็หายไปยังห้องพักของเขาแล้วเริ่มทานอาหารชั้นดีของตน
จากนั้นปรากฏเสียงเปิดประตูดังจากห้องที่องครักษ์นำอาหารมาวางไว้เมื่อครู่
ใบหน้าที่ซูบผอมและซีดเซียวของอวี๋หมิงหลันปรากฏอยู่ด้านหลังของประตู
นางยกอาหารเข้าห้องอย่างเงียบ ๆ แล้วเปิดดู นางมองอาหารสามจานที่มีแต่ผักพร้อมข้าวเม็ดสีเหลืองอ่อนอีกหนึ่งถ้วย
นางเคยลำบากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร หากรู้ว่าจักเป็นเช่นนี้นางมิมีวันเอ่ยปากขอมาอยู่ที่เรือนร้างเด็ดขาด
เวลาครึ่งก้านธูปผ่านไปก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น อวี๋หมิงหลันจึงเปิดประตูออกและเห็นองครักษ์ยืนอยู่
“เชิญกู่เหนียง ได้เวลาทำงานแล้ว” องครักษ์ออกคำสั่งกับนางอย่างหยิ่งผยอง เมื่อเห็นอวี๋หมิงหลันยังยืนอยู่ที่เดิม เขาก็หัวเราะเสียงเย็นแล้วเรียกคนใช้ที่อยู่รอบข้างเข้ามา
“ในเมื่อเจ้ายังมิรู้ฐานะของตน เยี่ยงนั้นพวกเราก็จักบอกให้เจ้าทราบเอง”
องครักษ์ส่งสายตาให้เหล่าคนใช้ จากนั้นก็ยืนฟังเสียงอ้อนวอนและเสียงโดนทุบตีของอวี๋หมิงหลัน ก่อนเดินผละออกไปอย่างสบายใจพร้อมรอยยิ้ม
เขานึกถึงสิ่งที่เช่อเฟยทั้งสองสั่งว่าพอกู่เหนียงคนนี้มาอยู่เรือนร้างแล้วห้ามปล่อยนางออกไปโดยปลอดภัยเด็ดขาด
เดิมทีหลิงอวี่หนิงต้องการหลอกใช้อวี๋หมิงหลัน ทว่าในเมื่อมิสำเร็จก็มิอาจปล่อยอวี๋หมิงหลันให้มีชีวิตรอด !
ในเมื่อเอ่ยปากขออยู่เรือนร้างเสียเอง เช่นนั้นจักมาโทษพวกนางมิได้ !
ราตรีนั้น อวี๋หมิงหลันนอนซมพลางร้องห่มร้องไห้อยู่บนเตียง
นางคาดมิถึงว่าตนจักตกต่ำจนมาอยู่ในจุดน่าเวทนาเยี่ยงนี้ หากนางรู้ล่วงหน้าก็มิมีทางกล่าวเช่นนั้นเด็ดขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงอาศัยช่วงเวลากลางคืนกัดนิ้วของตนจนเลือดออกเพื่อใช้เขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ
จากนั้นค่อย ๆ ปีนขึ้นบนหลังคาแล้วอาศัยแรงลมยามค่ำคืนช่วยพัดพาจดหมายเลือดฉบับนี้ให้ลอยไปทางสวนดอกไม้ของจวน
“เรียนเหล่าหวางเฟย ด้านหน้าเหมือนมีบางอย่างตกอยู่เจ้าค่ะ” เช้าวันต่อมามู่เหล่าหวางเฟยออกมาเดินเล่นในสวนและสาวใช้ก็ตาดีจนเห็นบางอย่างเข้า นางจึงรีบไปเก็บขึ้นมาให้
มู่เหล่าหวางเฟยกวาดตามองข้อความที่เขียนด้วยโลหิตแล้วต้องขมวดคิ้ว
“เจ้าไปรายงานท่านอ๋อง ส่วนเจ้าตามข้าไปเรือนร้าง” มู่เหล่าหวางเฟยสั่งการเสร็จก็เดินไปที่เรือนร้างทันที
เมื่อคืนมู่เหล่าหวางเฟยค้างคืนที่จวนอ๋องเพราะฮ่องเต้มิได้บังคับให้นางกลับเข้าวัง เดิมทีวันนี้นางคิดกลับเข้าวังแต่คาดมิถึงว่าจักเกิดเรื่องเสียก่อน
เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนร้าง มู่เหล่าหวางเฟยก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจึงส่งสัญญาณห้ามสาวใช้ของตนส่งเสียงเพื่อมิให้คนด้านในรู้ตัวแล้วผลักประตูเข้าไปทันที
“เจ้าเป็นใคร ? บังอาจ…มู่เหล่าหวางเฟย ! ” น้ำเสียงหยิ่งผยองเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความกลัว
มู่เหล่าหวางเฟยมิได้สนใจอีกฝ่ายแต่เดินตรงเข้าไปในห้องนอนและได้เห็นสตรีรูปร่างบอบบางนอนสลบอยู่บนพื้นทั้งยังละเมอตลอดเวลา !
“พวกเจ้าบังอาจนัก ! ” มู่จวินฮานตามมาถึง พอเห็นหญิงสาวที่นอนสลบอยู่ในใจก็เต็มไปด้วยโทสะ
มู่จวินฮานเดินเข้าไปแล้วอุ้มอวี๋หมิงหลันขึ้นมาพลางเอ่ยด้วยความโมโห “ยังมิรีบไปตามหมอมาอีก ! ”
มู่เหล่าหวางเฟยปลอบโดยการลูบที่แผ่นหลังของมู่จวินฮานเบา ๆ และเป็นการเตือนให้เขาใจเย็น อวี๋หมิงหลันก็ถือว่าเป็นคนอดทนเพราะจดหมายฉบับนั้น…
มู่เหล่าหวางเฟยเป็นคนฉลาด แค่มองก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมิมีทางเป็นฝีมือของอันหลิงเกออย่างแน่นอน
หลังผ่านความวุ่นวาย ท่านหมอก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่วงนี้ในใจของอวี๋กู่เหนียงคงโศกเศร้า อีกทั้งร่างกายอ่อนแอและบนตัวยังมีร่องรอยถูกทุบตีจึงทำให้มีไข้ขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่จวินฮานก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาสั่งให้คนหามนางขึ้นเกี้ยวแล้วกวาดตามองคนใช้กับองครักษ์ที่อยู่ประจำเรือนร้าง
“บอกมา ! ผู้ใดสั่งให้พวกเจ้าทำเช่นนี้ ? ” มู่จวินฮานกำหมัดแน่นแล้วมองคนใช้ที่คุกเข่าตัวสั่นเทาตรงเบื้องหน้าด้วยแววตาดุดัน
ที่จริงแล้วเขาให้อวี๋หมิงหลันมาอยู่ที่นี่ก็แค่อยากให้นางสำนึกผิด หลังจัดการเรื่องที่อยู่ใหม่นอกจวนของนางเรียบร้อยแล้วก็จักส่งนางออกนอกจวนอ๋องทันที
คาดมิถึงว่าจักเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
“เรียน…เรียนท่านอ๋อง ทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งขององครักษ์หลิว มิเกี่ยวกับพวกเราเจ้าค่ะ ! ขอท่านอ๋องได้โปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ” เหล่าคนรับใช้รีบโยนความผิดพร้อมโขกศีรษะลงพื้นจนเลือดไหลเต็มหน้าผาก
มู่จวินฮานส่งเสียง หึ ออกมาแล้วมองไปยังองครักษ์ที่ก้มหน้าลงพื้นพร้อมเนื้อตัวที่สั่นเทา
“อวี๋กู่เหนียงทำผิดจึงถูกส่งมาสำนึกผิดที่ตำหนักเย็น แต่เปิ่นหวางสั่งให้ดูแลนางให้ดีมิใช่หรือ ! ” มู่จวินฮานค่อยๆ ก้าวเข้าไปแล้วถีบไปที่องครักษ์ผู้นั้น “บอกมา ผู้ใดสั่งให้เจ้าทำเรื่องนี้?”
องครักษ์ที่โดนถีบเมื่อครู่รู้สึกหวาดกลัวท่านอ๋องจับใจจึงรีบลุกนั่งแต่มิกล่าวความจริงออกมา
เพราะตอนที่อวี๋กู่เหนียงเข้ามาเรือนร้าง ตัวเขาก็สั่งสอนนางไปมิน้อย
“เป็น เป็นพระชายาสั่งมาขอรับ” องครักษ์ทำตามที่หลิงอวี่หนิงสั่งและเพียงวิธีนี้จึงจักมีคนปกป้องชีวิตเขาได้
พระชายา
สีหน้าของมู่จวินฮานดูแย่ทันใด “ลากตัวไป ! ”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย ! ”
“จวินฮาน เรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับเกอเอ๋อแน่นอน” มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยออกมา
“หมู่เฟย ลูกทราบขอรับ ส่วนอวี๋หมิงหลันก็ส่งออกไปนอกจวนเถิดขอรับ ! ”
มู่จวินฮานสงบลงเพราะมิอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จึงอาศัยตอนที่อวี๋หมิงหลันหมดสติอยู่จัดหมอดูแลนางพร้อมส่งไปอยู่นอกจวน
อันหลิงเกอยังมิรู้เรื่องที่เกิดขึ้น นางเพิ่งรดน้ำดอกไม้เสร็จและพอเดินเข้ามาในเรือนก็เห็นมู่จวินฮานนั่งเดินหมากอยู่คนเดียว
“กลับมาแล้วหรือ ? ” น้ำเสียงที่ทุ้มและนุ่มของมู่จวินฮานแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน
เรื่องเมื่อครู่แก้ไขเรียบร้อยแล้วจึงมิส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาอีก
“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเดินเข้าไปแล้วทิ้งตัวในอ้อมกอดของสามีพลางบ่นนู่นนี่นิดหน่อยแล้วเงยหน้ามองปลายคางของมู่จวินหาน
“อวี๋หมิงหลัน…” มู่จวินฮานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟัง
อันหลิงเกอถึงขั้นตกตะลึงทันทีแล้วถามขึ้นว่า “ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไรเจ้าคะ ? ”
“ข้าส่งนางออกนอกจวนไปแล้ว” มู่จวินฮานก้มลงและใช้ริมฝีปากแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากของอันหลิงเกอ เขารู้ดีว่าหากปล่อยให้อวี๋หมิงหลันอยู่ในจวนต่อไปคงมิดีต่อเกอเอ๋อ
“อื้อ” นางทำมิสนใจเขาด้วยการไปรดน้ำดอกไม้ในสวนมาครู่เดียว เหตุใดเขาต้องกัดปากนางเช่นนี้ด้วย
อันหลิงเกอหมายจักหยิกเอวมู่จวินฮานแต่เขาหลบทันแล้วรีบจับมือที่ปัดไปมาของนางไว้ จากนั้นเอ่ยเบา ๆ ที่ข้างหูของนาง “หมู่เฟยมาแล้ว”
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขารินรดที่ลำคอของอันหลิงเกอจนนางอดหน้าแดงขึ้นมามิได้
“จวินฮาน แม่ต้องกลับวังแล้ว มิเช่นนั้นฝ่าบาทจักทรงระแวงเจ้าได้”
“ลูกจักไปส่งขอรับ…”
“มิต้องหรอก แม่ไปเองได้”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ มู่จวินฮานและอันหลิงเกอจึงมิกล้าขัดอีก ทั้งสองเดินมาส่งนางที่หน้าประตูจวน
“ท่านคิดว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยในตัวท่านหรือยังเจ้าคะ ? ” แววตาของอันหลิงเกอลุ่มลึก เมื่อก่อนฮ่องเต้ใช้มู่เหล่าหวางเฟยบีบบังคับมู่จวินฮาน แต่ตอนนี้พระองค์ให้อิสระนาง นับเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนคาดมิถึงจริง ๆ
“พระองค์ต้องการใครบางคนมาคานอำนาจขององค์ชายเจ็ด” มู่จวินฮานแสดงความคิดเห็น