ตอนที่ 440 เรื่องของโรคระบาด
“พรุ่งนี้เจ้าตามข้าเข้าวังด้วย” อยู่ ๆ มู่จวินฮานก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องนั้นเขายังมิได้จัดการให้เรียบร้อย
และเขาก็มิค่อยสันทัดเรื่องยาพิษมากนัก อย่างไรก็คงต้องให้อันหลิงเกอเป็นคนดู
“เจ้าค่ะ”
นางมิได้ถามเหตุผลใด เพราะขอเพียงเขาต้องการแล้วนางก็ยินดีไป
วันต่อมา เมื่อเสร็จงานในราชสำนักและออกจากวัง เหล่าหวางเฟยก็กลับมาที่จวนอ๋องด้วย
ตอนนี้นางได้รับอิสระแล้วจึงอยากเห็นหน้าบุตรชายตลอดเวลา
“วันนี้สถานการณ์ในวังเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร ? ” มู่จวินฮานเอ่ยถามขณะอยู่บนรถม้า
“เรื่องในครั้งนี้คงเป็นโรคระบาดที่ฝ่าบาทสร้างขึ้น แต่นึกมิถึงว่าองค์ชายเจ็ดจักใช้ประโยชน์จากโรคระบาดมาทำร้ายฮ่องเต้เช่นนี้เจ้าค่ะ ! ”
โชคดีที่ตอนนี้ฮ่องเต้หายดีเพราะยาที่ได้จากหอสดับพิรุณ หากเป็นเช่นนี้หอสดับพิรุณก็จักได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักไปด้วย อีกทั้งบุญคุณครั้งนี้ก็เพราะอันหลิงเกอจึงยิ่งทำให้คนของหอสดับพิรุณพยายามช่วยนางตามหาคนเผ่าพิษหนอนกู่อย่างกระตือรือร้น
“ท่านอ๋อง แย่แล้วขอรับ ! ”
“เกิดอันใดขึ้น ? ”
“เมื่อวานนี้พวกเราคิดว่าจักอาศัยตอนที่อวี๋กู่เหนียงหมดสติแล้วส่งนางออกนอกจวน แต่นึกมิถึงว่าสาวใช้ของนางเอาไปป่าวประกาศว่าเจ้านายของตนมิบริสุทธิ์แล้วจักออกจากจวนเช่นนี้มิได้ขอรับ ! ”
หืม ?
อันหลิงเกอฟังอย่างสนใจ ดูท่าแล้วอวี๋หมิงหลันมิยอมไปไหนง่าย ๆ
“ตามใจนางเถิด ให้นางอยู่ที่เรือนเดิมก็ได้” มู่จวินฮานยังมิทันได้ตอบอันใด อันหลิงเกอก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“เช่นนั้นแม่จักไปดูนางเอง ! ”
มู่เหล่าหวางเฟยมองอวี๋หมิงหลันที่ยังหมดสติอยู่บนเตียง แม้ในใจของนางเกิดความสงสาร แต่เด็กคนนี้ฉลาดเกินไป ทั้งยังมีจิตใจมิบริสุทธิ์อีกด้วย
“ท่านอ๋อง เกี้ยวมาถึงแล้วขอรับ” องครักษ์ที่เดินเข้ามาก้มหน้ารายงานเบา ๆ มู่จวินฮานพยักหน้าแล้วหันไปมองมู่เหล่าหวางเฟย
เมื่อเห็นบุตรชายมองมา มู่เหล่าหวางเฟยก็หัวเราะอย่างระอา “ทำไมหรือ ? ในสายตาเจ้าคือแม่มิควรอยู่ต่อหรือไร ? ยังมิรีบพาอวี๋กู่เหนียงเข้าเรือนไปอีก”
มู่เหล่าหวางเฟยยังมิขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวแต่เดินตามพวกเขาเข้าไปด้านในเรือน
หลังจัดการให้อวี๋หมิงหลันพักผ่อนแล้ว มู่จวินฮานก็ยังมิวางใจ “หมู่เฟยไปพักผ่อนเถิดขอรับ ฮานเอ๋ออยากอยู่ที่นี่สักพัก”
มู่เหล่าหวางเฟยมิเห็นด้วย “เจ้าเป็นถึงท่านอ๋อง ต้องแบ่งแยกให้ออกว่าสิ่งใดควรมิควร เรื่องของอวี๋กู่เหนียงนี้ แม่จักดูแลแทนเจ้าเอง”
ในที่สุดเขาก็ยอมออกไป มู่เหล่าหวางเฟยส่ายหน้าอย่างระอาแล้วกุมมือที่บอบบางของอวี๋หมิงหลันไว้ มิรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“อืม…”
เสียงจากคนที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้น มู่เหล่าหวางเฟยจึงเงยหน้ามองก็เห็นอวี๋หมิงหลันขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
อวี๋หมิงหลันกะพริบตาหลายครั้งก่อนที่ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น
“มู่เหล่าหวางเฟย ! ” อวี๋หมิงหลันรู้สึกแปลกใจแล้วรีบลุกขึ้นคำนับแต่ถูกมู่เหล่าหวางเฟยห้ามไว้เสียก่อน “ตอนนี้ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ มิต้องลุกขึ้นมาหรอก แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ? รู้สึกมิสบายตรงไหนหรือไม่ ? ”
นางรีบส่ายหน้าคล้ายกำลังคิดอันใดบางอย่าง มู่เหล่าหวางเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจักรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติไปจึงจับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย
เป็นจริงดังคาด มือของอวี๋หมิงหลันกำแน่น แววตาก็ฉายอารมณ์บางอย่างออกมาจริง ๆ
“อวี๋กู่เหนียง ? ” มู่เหล่าหวางเฟยเรียกนางเบา ๆ “หมิงหลันคิดอันใดอยู่ เหตุใดใจลอยเพียงนี้เล่า ? ”
อวี๋หมิงหลันได้สติขึ้นมาทันที นางตอบมู่เหล่าหวางเฟยอย่างนอบน้อม “มู่เหล่าหวางเฟยโปรดอภัย เชี่ยเซินเพียงนึกถึงสาเหตุที่มิสบายเจ้าค่ะ”
มู่เหล่าหวางเฟยเหลือบตามองที่นิ้วชี้ของอีกฝ่าย “อวี๋กู่เหนียงกล่าวถึงเรื่องอันใด ? จักเกิดจากอันใดได้ ? ดูท่าแล้วเรือนร้างทำให้เจ้าลำบากมิน้อย ! ”
นางกล่าวถึงเพียงนี้แล้วต้องดูท่าทีของอวี๋หมิงหลันว่าจักยอมปล่อยเรื่องนี้ไปหรือไม่
อวี๋หมิงหลันแอบขบกรามแน่น ดวงตาวาวโรจน์ !
มู่เหล่าหวางเฟยที่จ้องอวี๋หมิงหลันอยู่ตลอดจึงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังโกรธแค้นอันหลิงเกออยู่จึงพูดเกลี่ยกล่อมไปว่า “ท่านอ๋องน่าสงสารมิน้อย เพราะทุกคนในจวนควรช่วยกันแบ่งเบาภาระของท่านอ๋องและอย่านำเรื่องของพวกเจ้าไปทำให้ท่านอ๋องลำบากใจอีก”
สีหน้าของอวี๋หมิงหลันนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนค่อย ๆ พยักหน้า
มู่เหล่าหวางเฟยที่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็รู้ว่ามิได้ปล่อยวาง ดังนั้นน้ำเสียงที่กล่าวออกมาจึงดุดันกว่าปกติ “หากยังทำให้ท่านอ๋องที่เหนื่อยจากงานราชการต้องลำบากใจเพราะเรื่องของเจ้าอีก เจ้าก็ออกไปจากจวนนี้เสีย ! ”
หลายวันต่อมา ขณะที่อวี๋หมิงหลันพักฟื้นร่างกายอยู่นั้น อันหลิงเกอก็ช่วยมู่จวินฮานจัดการงานราชการทุกวัน
จนวันนี้นางจึงอยากมาดู ‘อวี๋กู่เหนียง’ เสียหน่อย
“อวี๋กู่เหนียงอาการดีขึ้นบ้างหรือไม่ ? ” ทันทีที่นั่งลงอันหลิงเกอก็ทำท่าทางราวกับเป็นห่วงอวี๋หมิงหลันที่นอนอยู่บนเตียง ความจริงแล้วอันหลิงเกอรู้ดีว่าครั้งนี้อวี๋หมิงหลันตั้งใจใส่ร้ายตน !
ยังมิทันได้ตอบคำถามของอันหลิงเกอ อวี๋หมิงหลันก็ได้ยินรายงานว่ามู่จวินฮานมาด้วย นางจึงหันไปส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขาแทน
หลังคำนับมู่จวินฮานเสร็จแล้ว อันหลิงเกอก็หันมามองอวี๋หมิงหลันต่อ
“เจ้ายังอยู่ในช่วงพักฟื้น พวกนี้เป็นของบำรุงที่ครั้งก่อนฝ่าบาทประทานให้ข้า” อันหลิงเกอยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เพียงแต่ร่างกายข้าตอนนี้มิได้เจ็บป่วย ข้าจึงรู้สึกเสียดายของดีเหล่านี้มิน้อย”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มของอวี๋หมิงหลันกำหมัดแน่น แต่ใบหน้ายังเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาออกมา “ขอบคุณพี่สาวที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมิได้ใส่ใจคำเรียกขานแต่อย่างใดเพราะอยู่ภายในจวน อยากเรียกอันใดก็ปล่อยให้เรียกไป
มู่จวินฮานเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อคุยกันไปเรื่อยเปื่อย มินานฟ้าก็มืด
เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้วอันหลิงเกอจึงลุกขึ้น “วันนี้ดึกแล้วข้ารบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าเท่านี้ดีกว่า”
มู่จวินฮานคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่ามีเหตุผลจึงสั่งความอีกเล็กน้อยแล้วกลับไปยังเรือนของตน อวี๋หมิงหลันที่เห็นเงาของทั้งสองเคียงข้างกันไปก็ขบกรามแน่นด้วยความเคียดแค้น
ในที่สุดวันนี้อวี๋หมิงหลันก็ทนมิไหว นางจึงลากสังขารที่ยังมิหายดีมาที่สวนเพื่อนั่งรอให้มู่จวินฮานผ่านมา
“เอ๋ ? เจ้าเป็นสาวใช้ของเรือนไหน ? เหตุใดมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว ? เจ้าแอบมานั่งอู้งานใช่หรือไม่ ? ” หลิงอวี่หนิงที่เดินผ่านมาเห็นสตรีมานั่งอยู่ที่สะพานและใส่เสื้อผ้าธรรมดาจึงเข้าใจผิดว่าเป็นสาวใช้
“เมื่อครู่ข้าทำต่างหูหล่นไปข้างหนึ่ง เจ้ารีบช่วยข้าหารอบ ๆ ทีสิ” หลิงอวี่หนิงเหลือบมองอวี๋หมิงหลันปราดหนึ่งแล้วสั่งออกมา
อวี๋หมิงหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้ามิใช่…”
“พระชายาหรือ ? คารวะพระชายาเจ้าค่ะ” หลิงอวี่หนิงตาดีเห็นอันหลิงเกอที่กำลังเดินมาทางนี้จึงรีบก้มหน้าคำนับทันที
อันหลิงเกอเหลือบมองทั้งสองคน ก่อนพยักหน้าให้น้อย ๆ แต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา
หลิงอวี่หนิงเมื่อคำนับเสร็จก็สั่งให้อวี๋หมิงหลันไปทำงานตามที่สั่งอีกครั้ง
อันหลิงเกอจึงเฝ้ามองทั้งคู่อย่างเงียบงัน