ตอนที่ 441 หึงหวง
“ทำไมหรือ? เป็นแค่สาวใช้กล้ามิทำตามที่ข้าสั่งอย่างนั้นหรือ ? ” หลิงอวี่หนิงเห็นนางมิขยับจึงตวาดใส่ทันที “ข้าเป็นถึงเช่อเฟย เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้ผู้อื่นจักคิดว่าเพราะพระชายาสั่งให้เจ้าขัดคำสั่งเอาได้”
อันหลิงเกอขมวดคิ้ว อีกฝ่ายพูดเช่นนี้เพื่อกระทบนางแต่นางก็มิได้พูดขัด
เพราะตอนนั้นอันหลิงเกอบังเอิญไปเห็นเงาของใครบางคนเข้าพอดี
“ขัดคำสั่งเจ้าแล้วอย่างไร ? ” มู่จวินฮานเอ่ยเสียงเย็น “บังอาจต่อหน้าพระชายาและอวี๋กู่เหนียงถึงเพียงนี้ เป็นมารยาทที่ตระกูลหลิงสอนเจ้ามาหรือ ? ”
หลิงอวี่หนิงถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้ามึนตึงขึ้นมาทันทีแล้วคุกเข่าลงพื้นเพื่อเคารพเขา “อวี๋กู่เหนียงอย่างนั้นหรือ ? ”
มู่จวินฮานเดินเข้ามาด้วยหน้าตาบึ้งตึงก่อนที่มือข้างหนึ่งจักประคองอวี๋หมิงหลันที่ร่างกายอ่อนแอเอาไว้และถลึงตาใส่หลิงอวี่หนิงที่อยู่ตรงหน้า
แม้มู่จวินฮานมิได้ชอบพออวี๋หมิงหลันแต่เขารู้สึกดีกับนางมากกว่าหลิงอวี่หนิง
อย่างไรก็ยังมีบุญคุณค้ำคออยู่
“กู่เหนียงโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ! ข้ามีตาแต่ไร้แวว ! ” หลิงอวี่หนิงคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้วพูดขอโทษมิหยุด
แต่เป็นมู่จวินฮานที่เอ่ยอย่างเย็นชา “แม้แต่แขกของเปิ่นหวาง เจ้ายังกล้าเรียกใช้ ต่อไปคงกำเริบถึงพระชายาและเปิ่นหวางกระมัง ? เช่อเฟยเช่นนี้เปิ่นหวางมิกล้ารับไว้หรอก ! ”
หลิงอวี่หนิงหมอบลงกับพื้นพลางร้องคร่ำครวญทันที ความผิดครั้งนี้มิรู้ว่านางจักโดนลงโทษเช่นไรบ้าง
มู่จวินฮานสืบจนรู้ว่าเรื่องในเรือนร้างครั้งนี้มีหลิงอวี่หนิงสั่งการอยู่เบื้องหลัง ใจเขาเองก็อยากลงโทษนางอยู่แล้ว
อันหลิงเกอมองมู่จวินฮานด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม มู่จวินฮานที่ประคองอวี๋หมิงหลันอยู่จึงทำได้เพียงสบตานางด้วยสายตาแน่วแน่เพื่อสื่อความหมายว่าให้นางเป็นคนจัดการเรื่องนี้
อันหลิงเกอก้มมองหลิงอวี่หนิงพร้อมรอยยิ้มเบาบาง “หลิงเช่อเฟยมิรู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ ให้ถอดตำแหน่งของนางชั่วคราวแล้วขังไว้ในเรือนร้าง”
เมื่อรอให้องครักษ์นำตัวนางออกไปแล้ว อันหลิงเกอก็มองชายหญิงที่ประคองกันอยู่ด้วยรอยยิ้มบาง อวี๋หมิงหลันที่เกาะมู่จวินฮานอยู่ก็มิคิดปล่อยมือแต่อย่างใด
“ท่านอ๋อง ตอนนี้อวี๋กู่เหนียงยังอยู่ในช่วงพักฟื้น ร่างกายยังอ่อนแอและต้องลำบากท่านอ๋องไปส่งนางที่เรือนเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้น เกอเอ๋อเล่า ? ”
อันหลิงเกอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เดิมทีแล้วเกอเอ๋อต้องการออกมาเดินเล่น ในสวนลมแรงจักปล่อยให้อวี๋กู่เหนียงที่อุตส่าห์พักฟื้นร่างกายจนดีขึ้นเป็นหวัดเพราะที่นี่มิได้เจ้าค่ะ”
นึกมิถึงว่าอวี๋หมิงหลันที่ซบอกของมู่จวินฮานกลับขืนตัวและยืนตรงอีกครั้ง ใบหน้าซีดเซียวดูอ่อนแรงเผยรอยยิ้มออกมา “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว เชี่ยเซินแค่อยู่ในห้องจนเบื่อจึงอยากออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง มิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น ท่านอ๋องเดินเล่นเป็นเพื่อนพระชายาดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอลอบประเมินอวี๋หมิงหลัน มิรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีนิสัยเปลี่ยนไปเช่นนี้
ผู้ที่มาสวนดอกไม้ล้วนก็มารอมู่จวินฮานมิใช่หรือ? เช่นนั้นท่าทางของนางแค่อยากหลอกให้ตายใจใช่หรือไม่ ?
เมื่อเห็นอวี๋หมิงหลันมีท่าทีอ่อนแออยู่ มู่จวินฮานจึงยอมไปส่งนาง
แต่อันหลิงเกอที่มองมู่จวินฮานอุ้มสตรีอีกคนจากไปกลับอดหัวเราะเยาะตนเองมิได้ ช่างเป็นภาพบาดตาเสียจริง
มู่จวินฮานอุ้มอวี๋หมิงหลันเดินลงสะพานได้หันมามองพระชายาอีกครั้ง เขาเห็นอันหลิงเกอที่อยู่อีกฝั่งกำลังนั่งลงบริเวณริมทะเลสาบ กระโปรงสีอ่อนที่นางสวมใส่ยิ่งส่งให้นางดูงดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก
สตรีที่งดงามราวเทพธิดา บัดนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและอ้างว้างคล้ายมีความคิดนับพันที่มิสามารถเอื้อนเอ่ยได้ มู่จวินฮานเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกจุกแน่นในอกไปหมด
“ท่านอ๋องมีอันใดเจ้าคะ ? ” อวี๋หมิงหลันมองเขาด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำใส นางขืนตัวลงยืนแต่มิระวังจนข้อเท้าเคล็ด
สายตาของมู่จวินฮานจึงกลับมาสนใจนางอีกครั้งแล้วรีบก้มดูอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย
ตอนนี้เขาเพียงหวังให้อวี๋หมิงหลันแข็งแรงโดยเร็ว จากนั้นจักรีบส่งนางออกจากจวน เขาจึงมิอยากให้นางต้องบาดเจ็บอีก
อวี๋หมิงหลันส่ายหน้าก่อนยกยิ้มขึ้นมา “เชี่ยเซินมิเป็นอันใด ท่านอ๋องไปดูพี่สาวเถิดเจ้าค่ะ”
พอเขาหันกลับไปอีกครั้งจึงได้เห็นใบหน้าของอันหลิงเกอดูโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิมจนเขาแทบอยากหาทุกอย่างที่ดีที่สุดมามอบให้นาง เพื่อให้นางได้มีรอยยิ้มเหมือนเคย
“ขออภัยด้วย วันหลังข้าจักไปเยี่ยมเจ้าก็แล้วกัน” มู่จวินฮานประคองนางส่งให้แม่นมอีกคนที่มีร่างกายแข็งแรง เขามองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนรีบก้าวยาว ๆ ไปทางที่อันหลิงเกอนั่งทันที
“ท่านอ๋อง ? เหตุใดจึงกลับมาเช่นนี้เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอมองเขาอย่างแปลกใจจนอดหันไปมองอีกฝั่งของสะพานมิได้ เมื่อเห็นอวี๋หมิงหลันถูกคนรับใช้สามสี่คนประคองกลับไป ภายในใจนางก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา
มู่จวินฮานจับปอยผมที่ร่วงลงมาทัดไว้ที่ข้างหูของนางเบา ๆ แล้วเอ่ยหยอกเย้า “ทำไมหรือ ? พระชายามิชอบอย่างนั้นหรือ ? ”
อันหลิงเกอเอียงหน้าไปมองอวี๋หมิงหลันแต่ถูกเขาจับต้นคอไว้ให้มองแค่เขาเพียงผู้เดียว “มีเวลาเป็นห่วงผู้อื่นเช่นนี้ มิสู้เอามามองข้าดีกว่า”
เมื่อเห็นท่าทางเผด็จการของคนตรงหน้า อันหลิงเกอก็พ่นเสียงหัวเราะออกมา “ท่านต่างหากที่เป็นห่วงผู้อื่นก่อน…”
มู่จวินฮานยกยิ้มอย่างเอ็นดู จากนั้นจับมืออีกฝ่ายและชวนกันเดินไปพลางคุยไปด้วย “เจ้ากำลังหึงหวงข้าหรือ ? ”
อันหลิงเกอเห็นเขามีท่าทีสบายใจเช่นนี้จึงเอียงคอมองเขาอย่างน่ารัก “ถ้าหึงแล้วจักเป็นอย่างไรเจ้าคะ ? ”
“เมื่อก่อนข้ามิเห็นเจ้ากล้าถึงเพียงนี้เลย” มู่จวินฮานเลิกคิ้วขึ้นแต่ยิ้มทั้งปากและดวงตา “แต่ข้าชอบที่เจ้าหึงหวงเช่นนี้”
เพราะอย่างไรอันหลิงเกอก็เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่อัน ความสัมพันธ์กับมู่หวางเฟยก็ถือว่าสนิทสนมกัน ตอนเด็กทั้งสองก็รู้จักกันอยู่แล้วจึงมิมีการมองว่าใครอยู่สูงกว่าใคร
ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันเหมือนสามีภรรยาทั่วไป เมื่อเห็นอันใดที่คุ้นเคยก็หยิบยกมาพูดคุยอย่างมีความสุข
“ช่วงนี้ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง ? ” มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยถามระหว่างยกถ้วยชาขึ้นจิบ
สาวใช้คนหนึ่งคุกเข่าลงพื้นอย่างนอบน้อม ก่อนเล่าเรื่องที่ตนไปสืบมาอย่างละเอียด
“หืม ? ท่านอ๋องและพระชายาเดินเล่นในจวนหรือ ? แล้วอวี๋กู่เหนียงยังก่อเรื่องอีกหรือไม่ ? ” มู่เหล่าหวางเฟยถามอย่างสนใจ “นางกลับเรือนไปเลยอย่างนั้นหรือ ? ”
สาวใช้พยักหน้า มู่เหล่าหวางเฟยจึงยกยิ้มอย่างพอใจ หากยอมอยู่อย่างสงบจริงก็ถือเป็นเรื่องดี
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่เหล่าหวางเฟยก็ออกคำสั่ง “พวกเจ้าไปนำของบำรุงร่างกายในห้องเก็บของส่วนตัวข้าแล้วมอบให้อวี๋กู่เหนียง” อย่างไรก็ถือว่าลำบากอีกฝ่ายมิน้อย
วันรุ่งขึ้นในท้องพระโรง หัวหน้าขันทีได้เอ่ยขึ้นว่า “หากมีเรื่องให้ถวายฎีกาก็เดินขึ้นมา หากมิมีเรื่องอันใดก็ให้พอแต่เพียงเท่านี้”
เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ทยอยถวายฎีกามากมาย
ตอนนั้นเองที่เสนาบดีกรมโยธาธิการได้เอ่ยขึ้น “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้อุทยานหลวงยังซ่อมแซมมิแล้วเสร็จ ทว่างบประมาณที่มีอยู่มิเพียงพอ ขอฝ่าบาทได้โปรดวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนอนุมัติงบให้อีกก้อนแต่สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางมิเข้าใจก็คือฮ่องเต้ให้ใช้เงินของคลังหลวงแทนคลังส่วนพระองค์
หัวหน้าองครักษ์เห็นเหล่าขุนนางมิเข้าใจและเริ่มส่งเสียงคัดค้าน แต่เมื่อเห็นสายพระเนตรที่ฝ่าบาทส่งมาก็ทำได้เพียงตะโกนออกไปว่า ‘เลิกประชุม’ แล้วเดินตามฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรง