บทที่ 251 ปราบม้าพยศสำเร็จ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 251 ปราบม้าพยศสำเร็จ
หากมีข่าวลือของม้าเหงื่อโลหิตกระจายออกไป ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทหารม้าแคว้นซีหลิงเป็นแน่
ทว่า ผู้ที่อยู่ในอาการตกใจนั้น ก็ยังมีซูหว่าน อีกทั้งความกังวลของนาง พลันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในทันที พร้อมทั้งหันกลับไปหาองค์รักษ์ที่อยู่ด้านหลัง พร้อมกับชี้นิ้วไปมา แล้วจึงกระซิบที่ข้างหูของพวกเขา แววตาขององค์รักษ์ผู้นั้นพลันฉายแววระยิบระยับออกมาในทันที เพียงชั่วครู่ก็กลับมาเคร่งขรึมตามเดิม พร้อมกับพยักหน้าลงเล็ก ๆ น้อย จากนั้นพลันหายไปในฝูงชน ในยามที่ทุกคนมิทันได้สังเกตุเห็น
ในยามนั้น ความสนใจของผู้คนถูกดึงดูดไปยังเฟิ่งชิงเฉินที่เพิ่งปราบม้าพยศเสร็จ หากแต่เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีใจการกระทำเล็ก ๆ น้อยของซูหว่านไม่ มีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้น ที่จ้องมองอยู่
ถึงแม้ว่าในสายตาของคนภายนอก จะมองว่าเสด็จอาเก้าหาได้สนใจดูการแข่งขันที่อยู่ตรงหน้าไม่ ทว่า เสด็จอาเก้ามองเห็นทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง ยามที่คนสนิทของซูหว่านจากไปนั้น ขันทีที่อยู่ข้างกายของเสด็จอาเก้าก้ได้รับคำสั่งให้ตามไปดูเช่นกัน
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินขี่ม้าเหงื่อโลหิตที่ปราบได้เข้ามาหานั้น แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกเจ็บรู้สึกปวดเพียงใดก็ตาม แต่ทว่า ภายนอกของนางกลับต้องแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมาด้วยท่วงท่าที่มั่นใจของตนเองออกมา
นางไม่ต้องการความสงสารหรือความเห็นใจจากผู้อื่น และนางก็มิต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงความอดทนและความพยายามอย่างทุกข์ทรมานของนางอีกด้วย ให้พวกเขาได้เห็นนางในด้านที่สดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ก็พอ
เฟิ่งชิงเฉินพยายามที่จะไม่สนใจอาการปวดของขาทั้งสองข้างที่กำลังปะทุขึ้นมา ยามที่นางกระโดลงมาจากหลังม้า เพื่อมาคุกเข่าต้อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดินั้น
ท่วงท่าเช่นนี้ กลับทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ภายนอกรู้สึกได้ถึงความสง่างามยิ่งนัก แต่ทว่า ในความรู้สึกของเฟิ่งชิงเฉิน กระบวนท่าทั้งสองนี้ กำลังทำให้แผลของนางปริแตก พร้อมกับความเจ็บปวดที่ค่อย ๆ พรั่งพรูออกมา
เฟิ่งชิงเฉินพลันก้มหน้าลง พร้อมกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่มั่นใจว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมิทำให้พระองค์ผิดหวัง ในที่สุดก็สามารถปราบม้าเหงื่อโลหิตที่พยศลงได้แล้วเพคะ”
“ดี!ดี!ดี! ชองเฉินรีบลุกขึ้นเร็ว” ฝ่าบาทในยามนี้มีความสุขยิ่งนัก แม้จะเอ่ยปากออกมาเพียงแค่สามคำ แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขมากมาย หาได้มองเห็นท่าทีที่เหนื่อยอ่อนและอ่อนล้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่ ทั้งยังกล่าวออกมาด้วยท่าทางยินดีอีกว่า “ชิงเฉิน เจ้าปราบม้าเหงื่อโลหิตที่พยศลงได้ เจิ้นจักตงรางวัลเจ้าเป็นอย่างดี”
“ฝ่าบาทเพคะ นี่เป็นสิ่งที่ชิงเฉินควรจะทำ ถ้าหากฝ่าบาทต้องการมอบรางวัลให้หม่อมฉันละก็ โปรดรอจนกว่าชิงเฉินจักปราบม้าดำชางชานของซีหลิงได้ก่อนเพคะ แล้วค่อยมอบรางวัลให้” เฟิ่งชิงเฉินพลันชำเลืองมองเหยาหวาด้วยท่าทียั่วยุ
สีหน้าขององค์หญิงเหยาหวาในยามนี้ ถมึนทึงยิ่งนัก ทั้งยังแสดงออกท่าทีพ่ายแพ้ออกมาอย่างหมดรูป ในแววตากลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและหวาดกลัวไปในคราเดียวกัน
นางกับเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกนางไม่อาจแพ้ได้
หากแต่ผู้ชนะและผู้แพ้ ต่างก็เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก!
ฮ่าฮ่าฮ่า เพียงได้เห็นท่าทีของเหยาหวาที่คล้ายจะตรอมใจตายได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่าความพยายามของนางได้รับการตอบแทนมาบ้างแล้ว
หากนางชนะ ความรุ่งโรจน์ย่อมบังเกิดแก่นางอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนางจักได้หยิ่งผยองและภูมิใจในตนเองได้เสียที นางจักทำให้ผู้คนในใต้หล้าได้รับรู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ ยอดเยี่ยมมากเพียงใดและจักไม่มีใครกล้ามายุ่งกับนางได้อีก
แม้ว่านางจักต้องเจ็บปวดเคล้าคลอไปด้วยหยาดน้ำตา แต่นางสามารถกลับไปทำแผลให้ตนเองที่จวนได้
“มีความมุ่นมั่น เจิ้นรับปาก!” ก่อนหน้านั้น องค์จักรพรรดิเอาแต่พึ่งให้โชคช่วยมาโดยตลอด แต่ทว่าในยามนี้ พระองค์มั่นใจได้ถึงเก้าส่วน ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักสามารถเอาชัยกลับมาได้
ดูจากท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน ที่มิได้เหนื่อยหอบเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังร่าเริงแจ่มใสอีก ดูท่าแล้ว การที่นางจักปราบพยศม้าดำชางชานก็ใช่ว่าจักเป็นไปไม่ได้
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขอให้พระองค์ทรงพระเจริญเป็นหมื่นหมื่นปี” หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าทำความเคารพเสร็จ ยามที่นางยืนขึ้นมานั้น ซูหว่านก็พลันก้าวเท้ายาว ๆ ออกมาด้านหน้า เพื่อที่จะบอกให้มีการปล่อยตัวม้าดำชางชานออกมา หากแต่ เฟิ่งชิงเฉินกลับไวกว่า
“คุณหนูซูหว่าน ชิงเฉินเพิ่งจะปราบพยศม้าเหงื่อโลหิตเสร็จ ในยามนี้ทั้งเหนื่อยทั้งล้า หม่อมฉันคิดว่า คุณหนูซูหว่านคงไม่รีบให้ชิงเฉินลงไปปราบในเร็ว ๆ นี้หรอกกระมัง?”
“ถ้าหากข้าต้องการเล่า? ทำไม? เฟิ่งซิ่วกลัวงั้นรึ?” ซูหว่านโมโหยิ่งนัก โมโหที่เฟิ่งชิงเฉินชิงนางพูดก่อน
“กลัวรึ? คุณหนูซูหว่าน กลัวมิกลัวมิใช่ปัญหา หากแต่เป็นเรื่องของความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมต่างหาก แน่นอนว่า หากคุณหนูซูหว่านต้องการให้ชิงเฉินลงไปปราบม้าพยศอีก ชิงเฉินก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องพูด ผู้ใดให้ชิงเฉินเป็นเพียงราษฏรคนธรรมดา จักไปสู้ คุณหนูที่มีฐานะสูงส่งของซีหลิงได้อย่างไรกัน
แต่ทว่า ชิงเฉินรู้สึกสงสัยยิ่งนัก นักฝึกม้าในซีหลิงทุกคนจักต้องเหมือนชิงเฉินหรือไม่ ที่ภายในหนึ่งวัน จักต้องปราบพยศม้าให้ได้ถึงสองตัว ทั้งยังต้องใช้เวลาติด ๆ กันอีก?”
คำพูดนี้เฟิ่งชิงเฉินจงใจให้ฝ่าบาทได้ยิน สตรีสูงศักดิ์ของซีหลิง กลับมารังแกราษฏรของตงหลิงเช่นนี้ เขาที่เป็นถึงจักรพรรดิของแคว้นไม่คิดจะทำสิ่งใดเลยหรือ?
“แค่กแค่ก” ฝ่าบาทเพียงไออกมาสองครั้ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ไป ไปนำม้าของตงหลิงออกมา” นั่นหมายความว่า มิจำเป็นต้องให้เหยาหวาและซูหว่านเอ่ยอันใดออกมาอีก
ซูหว่านและเหยาหวาย่อมมิกล้าโต้เถียงองค์จักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นช่นไร พวกนางย่อมไม่อาจ ทำให้องค์จักรพรรดิตงหลิงตกอยู่ในท่าทีลำบาก องค์จักรพรรดิหาใช่เฟิ่งชิงเฉินไม่ เขามิใช่คนที่พวกนางจักรับมือได้ แต่หากจักให้พวกนางมีความประนีประนอม พวกนางก็ไม่อาจทำใจได้ได้เช่นกัน
“ฝ่าบาทเพคะ เหยาหวายอมแพ้ในตานี้เพคะ” หากนางไม่อาจปฏิเสธได้ พวกท่านก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เช่นกัน อยากจะให้ข้า ซีหลิงเหยาหวาลงสนามงั้นรึ อยากจะให้ข้าทำทีเป็นครูฝึกต้อนม้างั้นหรือ พวกเจ้าฝันไปเถอะ
ข้า ซีหลิงเหยาหวา หากจักต้องพ่ายแพ้ ก็ขอให้เป็นพ่ายแพ้ที่สวยงาม
“ยอมแพ้? ในเมื่อองค์หญิงหยาหวายอมแพ้เช่นนี้ แล้วคุณหนูซูหว่านเล่า” แม้ว่า องค์จักรพรรดิจักไม่พอใจ ในท่าทีต่อต้านของซีหลิงเหยาหวานัก
แต่คำพูดขององค์จักรพรรดิถือเป็นที่สุด ผู้ใดก็มิอาจขัดคำสั่งได้
ซูหว่านเองนางก็อยากจะยอมแพ้เช่นกัน ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าที่บึ้งตึงขององค์จักรพรรดินั้น นางจึงได้แต่ตัดพ้อต่อโชคชะตา พร้อมกับก้มหน้าเดินลงสนามไป
แท้จริงแล้ว นางและเหยาหวาเก่งในเรื่องของการขี่ม้า หากแต่การปราบม้าพยศนั้น นางมิเคยทำ การปราบม้าพยศมีความอันตรายยิ่งนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาคงไม่พ้นความตายหรือพิการ พวกนางที่มีชาติกำเนิดสูงส่งเพียงนั้น จักไปทำสิ่งที่อันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร
ซูหว่านพลันมีแผนการภายในใจ หากนางลงไปในสนามเมื่อใด นางจักไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินมีเวลาพักผ่อนมากไปนัก
“ฝ่าบาทเพคะ ชิงเฉินขอตัวไปจัดเตรียมความพร้อมก่อน” เพียงซูหว่านเดินออกไป เฟิ่งชิงเฉินก็รีบหันกายจากไปเช่นกัน หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินออกไปไม่นานนัก ทั้งตงหลิงจิ่ว ตงหลิงจื่อลั่วและองค์รัชทายาทต่างก็พากันออกมา
ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว พวกเขาหาได้สนใจซูหว่านไม่ เมื่อเห็นท่าทางของการปราบพยศของเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว การแสดงของซูหว่านย่อมมิอาจดึงดูดพวกเขาให้สนใจได้อีก
ด้วยการนำทางของขันทีเพื่อมายังห้องพักที่ใกล้ที่สุด ยามที่ขันทีออกไปแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็เก็บรอยยิ้มลงไปในทันที
“ผัวะ”
เฟิ่งชิงเฉินเจ็บปวดเสียแทบขาดใจ นางค่อย ๆ ดึงกางเกงของตนเองลง กางเกงสีดำพลันเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดมากมาย ทั้งยังเต็มไปด้วยฝุ่นควันอีกด้วย ทั่วทั้งกางเกงพลันเปรอะเปื้อนไปด้วยทั้งฝุ่นและเลือดจนแทบจะแยกสีแทบไม่ออ
กยามที่เฟิ่งชิงเฉินดึงกางเกงลงนั้น กางเกงที่ถูกติดกับบาดแผลพลันถูกลากลงมาด้วย พร้อมกับเศษเนื้อที่ค่อย ๆ หลุดตามออกมา เพิ่มความเสียหายให้กับบาดแผลเป็นครั้งที่สอง
บาดแผลบนต้นข้าที่ถูกเปิดออกมานั้น ทางต้นขาด้านใน หาได้มีชิ้นเนิ้อดี ๆ อยู่ไม่ บาดแผลเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินเห็นมานักต่อนักแล้ว คล้ายกับบาดแผลการถูกระเบิดก็ไม่ปาน
“ยามที่อยู่ในสนามรบ มิเคยจักต้องมาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เลยสักครา มิคิดเลยว่า แค่ในสนามม้าเช่นนี้ ก็ยังสามารถทำให้บาดแผลสาหัสถึงเพียงนี้ได้” เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ส่ายหน้ามา พร้อมทั้งรู้สึกว่า แรงที่จะในการระงับความเจ็บปวดของนางเริ่มจะไม่มีเหลือแล้ว
เมื่อเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินก็หยิบผ้าพันแผลและยาออกมา พร้อมทั้งเทยาแก้ปวดลงบนผ้าพันแผล จากนั้น ก็ค่อย ๆ พันแผลขึ้นไปทีละชั้น ๆ อย่างเรียบง่ายเอาไว้
ที่จริงแล้ว บาดแผลเช่นนี้จักต้องได้รับการล้างแผล และใส่ยาดี ๆ ทว่า นางหาได้มีเวลามากพอไม่ จึงได้เพียงพันแผลให้ดีเท่านั้น รอจนกว่าจะทำการปราบม้าเสร็จ นางค่อยกลับมาจัดการใหม่อีกครั้ง
หลังจากพันแผลทั้งสองข้างเสร็จแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆสวมใส่กางเกงเปื้อนเลือดคู่เดิม เนื่องจากว่า ได้ทำการพันแผลไปแล้ว เช่นนั้น บาดแผลของนางย่อมไม่มีเลือดไหลออกมาอีก ถึงแม้จะรู้สึกปวดอยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าคราแรกยิ่งนัก อย่างน้อย การปราบพยศม้าอีกตัว ต้นขาด้านในของนาง จักได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด ราวกับโดนมีดกรีดอีก
เฟิ่งชิงเฉินมิได้รู้ตัวเลยว่า ยามที่นางกำลังทำแผลให้ตัวเองอยู่นั้น จักมีบุรุษผู้หนึ่ง ยืนมองนางอยู่ด้านนอกของหน้าต่าง
“เฟิ่งชิงเฉิน ขอโทษ!” แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วงนางยิ่งนัก สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำทีถอนหายใจและค่อย ๆ หายตัวไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก