บทที่ 252 บาดเจ็บ ข้าเป็นห่วงแต่เจ้ามองไม่เห็น

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นอกจากบาดแผลที่ต้นขาด้านในแล้ว ยังรอยแผลขนาดใหญ่ที่ขาทั้งสองข้างอีกด้วย เนื่องจากว่า ฝ่าเท้าของนางถูกลากกับพื้นนานเกินไป จึงทำให้รองเท้าขาดและมีเลือดไหลออกมา เฟิ่งชิงเฉินเพียงมองดูพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมถอนหายใจออกมา มิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก

ทว่า รองเท้ามันพอดีกับเท้าของนางเลย หากพันผ้าพันแผลเข้าไปอีก มันจะทำให้นางไม่อาจใส่เข้าไปได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องอดทนในยามนี้

หลังจากใช้วิชานินจา ม้าตัวต่อไปของนางก็ได้ถูกฉีดยาระงับประสาทไว้ล่วงหน้าแล้ว ม้าที่ซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านเตรียมให้นางนั้น มันดูคุ้มคลั่งยิ่งนัก หากมิได้ยาระงับประสาทช่วยเอาไว้ ม้าตัวนี้ย่อมไม่อาจทำการปราบพยศได้แน่

นอกจากบาดแผลขชองเฟิ่งชิงเฉินภายนอกแล้ว ความแข็งแกร่งภายในร่างกายของนางก็ลดลงเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินพยายามจะหายาฟื้นฟูพลังในร่างกายจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ เนื่องจากไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว นางจึงได้แต่จำใจฉีดสารกระตุ้นให้กับตนเอง

สารกระตุ้น หากฉีดเข้าไปแล้วย่อมมีผลเสียต่อร่างกาย มีนักกีฬาบางคนที่แอบใช้ในยามแข่งขัน หากถูกตรวจพบละก็ ย่อมต้องได้รับผลที่ร้ายแรงตามมา หากแต่ที่นี่หาได้มีกฏเช่นนั้นไม่ เฟิ่งชิงเฉินจึงหยิบยาออกมาและกลืนมันลงไปในทันที

“ขอให้มันได้ผลทีเถอะ ในเมื่อ มันมิใช่การแข่งขันที่ยุติธรรมตั้งแต่แรก เช่นนั้น การกระทำของข้าในยามนี้ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติ” เฟิ่งชิงเฉินพลันเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าของนาง จากนั้นก็ทำการมัดผมเผ้าใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ดูมีพลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ยามที่นางหลับตาเพื่อที่พักผ่อนนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันคาดการณ์ภายในใจว่า แม้ว่าซูหว่านจักไม่มีประสบการณ์ในการปราบม้าพยศของตงหลิง แต่ถึงกระนั้น นางก็พอจะยืดเวลาออกไปได้สักครึ่งชั่วยามกระมัง หากแต่ เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์ผิดไป เพียงหลับตาไปครู่เดียว ขันทีพลันเข้ามารายงานว่า “เฟิ่งซิ่ว คุณหนูซูหว่านแพ้แล้วขอรับ ฝ่าบาทเชิญให้ท่านไปเข้าร่วมการแข่งขัน”

“อื้ม” เวลาเพียงเค่อเดียวก็ให้นางมิได้ ความอดทนของซูหว่านน่ำแย่ยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการทำให้องค์จักรพรรดิเสียหน้า

“ฝ่าบาทเพคะ” แม้ว่าอาภรณ์ของนางจักสกปรกไปบ้าง ทว่า สายตาอันแน่วแน่ของนาง กลับเจือประกายแวววาวออกมา ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอีกด้วย

“ชิงเฉิน เจิ้นรอตกรางวัลให้เจ้าอยู่” รูปลักษณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีนี้ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินถึงกับสงสัย นางไปปราบม้าพยศหรือไปออกรบกันแน่

“หม่อมฉันจะมิทำให้พระองค์ผิดหวังเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินตอบรับเสียงดัง ในยามนี้ นางไม่อาจพ่ายแพ้ได้แล้ว หากนางแพ้ฝ่าบาทย่อมมิอาจปล่อยนางไปได้แน่

“ได้! เจ้าไปเถอะ เจิ้นจักรอเจ้า” สถานการณ์ในยามนี้ แตกต่างจากสนามแรกยิ่งนัก ตอนนี้ องค์จักรพรรดิมั่นใจเป็นอย่างมากว่า เฟิ่งชิงเฉินจักต้องคว้าชัยกลับมาได้แน่ และเฟิ่งชิงเฉินก็จักต้องได้ชัยชนะกลับมาเท่านั้น

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินเดินลงสนามมานั้น ซูหว่านก็ได้สวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่แล้ว พร้อมกับเดินออกมา เมื่อทั้งสองคนได้พบหน้ากันแล้วนั้น สีหน้าของซูหว่านหาได้มีท่าทีวิตกกังวลไม่ กลับกัน นางเพียงแค่แย้มยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “เฟิ่งซิ่ว ดูแลตนเองดี ๆ ด้วยเล่า”

เฟิ่งชิงเฉินพลันเงยหน้าขึ้นมองไปที่ซูหว่าน “คุณหนูซูหว่านวางใจได้เพคะ ชิงเฉินย่อมมิอาจกระทำตัวเช่นคุณหนูซูหว่าน ที่เดินเข้าสนามและพ่ายแพ้ทันทีที่เริ่มแข่งขันไปได้ไม่นาน อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินย่อมคว้าม้าเหงื่อโลหิตและม้าดำชางชานกลับมาได้แน่นอนเพคะ”

“อ๋อ เช่นนั้นข้าจักรอ” ซูหว่านรีบเดินกลับไปยังที่นั่งของนางในทันที

เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังแผ่นหลังของซูหว่านด้วยท่าทีครุ่นคิด สำหรับการปราบม้าดำชางชานในครานี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่า ม้าตัวนี้ ซูหว่านต้องลงมือทำอันใดกับมันอย่างแน่นอน เช่นนี่ความยากในการปราบมันย่อมต้องเพิ่มมากขึ้น แต่นางก็ทำได้เพียงสงสัยเท่านั้น

พร้อมทั้งได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความปลงตกและเดินเข้าสู่สนามไป

หากมิมีหลักฐาน ย่อมมิอาจพูดอันใดออกไปได้ มิเช่นนั้นมันจะชักพาปัญหามาให้นาง แม้ว่านางจักมีหลักฐานแล้วอย่างไร นางก็ไม่อาจพูดออกไปได้อยู่ดี

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินลงไปที่สนามม้าแล้วนั้น ขันทีของตงหลิงจิ่วก็พลันปรากฏกายในทันที พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูว่า “ท่านอ๋องพะยะค่ะ นู๋ไฉเห็นว่าองค์รักษของคุณหนูซูหว่านทำอันใดบางอย่างกับม้า แต่นู๋ไฉมองไม่ชัดนัก เนื่องจากว่าคนของหนานหลิงได้มีการปกป้องคอกม้าไว้อย่างแน่นหนามากพะยะค่ะ ”

“อื้ม” ตงหลิงจิ่วพลันพยักหน้าด้วยท่าทีไร้อารมณ์เล็กน้อย หากแต่สายตาพลันจับจ้องไปยังสนามม้าที่อยู่เบื้องล่าง

มิรู้ว่าม้าตัวนี้มีความผิดปกติอันใด เฟิ่งชิงเฉินเจ้าจักจัดการได้หรือไม่?

“นี่มันม้าบ้าอะไรกัน?”

เฟิ่งชิงเฉินอยากจะเป็นบ้าตาย

ยาระงับประสาทก็ฉีดไปแล้ว บังเหียนม้าก็ได้รับการปรับเปลี่ยนไปแล้ว แต่ม้าตัวนี้ก็ยังคุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะวิ่งไปยี่สิบรอบแล้วก็ตาม หากแต่ความว่องไวหาได้ลดลงไม่ ม้าตัวนี้เหมือนนางในตอนนี้ยิ่งนัก เพราะทั้งมันและนาง ต่างก็ได้รับสารกระตุ้นทั้งคู่ พละกำลังย่อมไม่มีวันหมด อีกทั้งยังไม่อาจปราบพยศได้ง่ายอีกด้วย

เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่าร่างกายของนาง ใกล้จะแหลกสลายไปแล้ว นางจักวิ่งลงไปได้อย่างไร หากม้าไม่มีทางเหนื่อย ผู้ที่เหนื่อยจนตายย่อมเป็นนางเอง บาดแผลที่ถูกพันแผลเอาไว้ในต้นขาด้านใน ก็ค่อย ๆ แสดงความเจ็บปวดออกมา

“ท่านปู่ ม้าตัวนี้แลดูผิดปกติยิ่งนัก?” ตี๋ตงหมิงพลันเดินออกมาจากที่นั่งของตน แล้วก้าวเข้าไปใกล้ซู่ชินอ๋องเพื่อบอกเล่า

ซู่ชินอ๋องพยักหน้าลงเล็กน้อย หาได้เอ่ยอันใดออกมาไม่ ซู่ชินอ๋องหรือจะไม่รู้ ว่าม้าตัวนี้มีความผิดปกติ ทว่า มันจะมีประโยชน์อันใด หากจะให้พูดออกมาในยามนี้

ในเมื่อหนานหลิกล้ามาทำเช่นนี้บนแผ่นดินตงหลิงแล้วละก็ พวกมันย่อมต้องมั่นใจว่า พวกเขาไม่อาจหาหลักฐานออกมาได้แน่ ถึงแม้จะหาหลักฐานออกมาได้ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาพูด

ซู่ชินอ๋องพลันชำเลืองมองไปที่ซูหว่าน ใบหน้าของนางสละสลวยกำลังมองดูเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ในสนามม้า ด้วยท่าทีแย้มยิ้มออกมาอย่างได้ใจยิ่งนัก

“ท่านปู่ สตรีนางนั้น จิตใจหยาบช้ายิ่งนัก ท่าทางของนางเช่นนั้น เสมือนกับจะบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องพ่ายแพ้ให้กับนางเป็นแน่”

“หากม้าตัวนั้น ยังมีพลังงานเต็มเปี่ยมเช่นนี้อยู่ อย่างไรเฟิ่งชิงเฉินย่อมพ่ายแพ้เป็นแน่ เจ้าลองดูสิ ในยามนี้เฟิ่งชิงเฉินแทบจะไม่มีแรงนั่งแล้ว” ความแข็งแกร่งของเฟิ่งชิงเฉินดีเยี่ยม นางสามารถทำให้ซู่ชินอ๋องรู้สึกชื่นชมได้ ทว่า ความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างไร ก็ย่อมมีขีดจำกัดเช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ส่ายหัวโงนเงนไปมา ด้วยท่าทีหมดหนทาง

“ท่านปู่ ท่านออกหน้าให้นางไม่ได้หรือ? สตรีนางนั้นเป็นคนจากหนานหลิง ทว่า กลับกล้ามารังแกข่มแหงราษฏรของตงหลิงเช่นนี้?” ในยามนี้ ตี๋ตงหมิงก็ไม่อาจบอกได้เช่นกัน ว่าเป็นเพราะคำขอร้องของหวังจิ่นหลิง หรือเป็นเพราะความน่าสงสารของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้กันแน่ใช่

เขารู้สึกเป็นห่วงเฟิ่งชิงเฉินและยังรู้สึกเสียใจต่อนางยิ่งนัก

ยามที่พบนางในคราแรกนั้น นางมีทั้งความมั่นใจและเงียบสงบ ทั้งยังหยิ่งผยองยิ่งนัก แต่เมื่อได้พบนางอีกครั้ง นางเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด เรียบง่ายและมีความสงบ เขาเกลียดสตรีเช่นนี้ยิ่งนัก สตรีที่แข็งแกร่งเกินไป

ไม่ว่าอย่างไร ก็ชอบที่จะแข่งขันต่อสู้เพื่อเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า สตรีที่มีใจทะเยอทะยานเช่นนี้ ตี๋จงหมิงมันจะหลีกเลี่ยงพวกนาง เนื่องจากเขาคิดว่า สตรีพวกนี้ ขอเพียงแค่ได้อยู่สูงกว่าผู้อื่น พวกนางจักพยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้ปีนขึ้นไป

ที่เขารับปากหวังจิ่นหลิงว่าจะช่วยปกป้องเฟิ่งชิงเฉินนั้น มีอีกเหตุผลหนึ่ง ก็เพื่อจะจับตามองดูนาง เขากลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจักทำร้ายหวังจิ่นหลิง แต่ทว่า เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ตี๋ตงหมิงก็เข้าใจได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินหาได้อยากต่อสู้ไม่ อีกทั้ง นางยังไม่เคยมีความคิดที่จะไต่เต้าขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ

นางเพียงแค่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะต้องพยายามต่อสู้ เพื่อปีนป่ายขึ้นไปด้วยตนเองต่างหาก

ในโลกที่ผู้คนพยายามเหยียบย้ำผู้อื่นเพื่อปีนขึ้นมาเช่นนี้ แต่เขากลับมีท่านปู่คอยคุ้มครอง หวังจิ่นหลิงเองก็มีตระกูลหวังคอยปกป้อง ทว่า เฟิ่งชิงเฉินเล่า ? นางมีเพียงตัวคนเดียว

นางที่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง นางต้องการปกป้องตนเอง และใช้ชีวิตตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี นางไม่อาจไม่เข้าร่วมการต่อสู้ได้ นางไม่อาจไม่ปีนป่ายขึ้นไปที่สูงกว่านี้ได้

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินต้องตกระกำคลุกฝุ่นเช่นนั้น ไม่ว่าจะใคร ๆ ก็ต้องการให้นางตกตายไปเสีย แต่เฟิ่งชิงเฉินต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ หากนางต้องการที่จะเข้มแข็งขึ้น นางย่อมต้องรู้จักปกป้องตนเองก่อน

ความเห็นอกเห็นใจต่อเฟิ่งชิงเฉินนั้น ยามที่ซูหว่านและซีหลิงเหยาหวาต้องการบังคับให้นางลงไปปราบม้าพยศนั้น ตี๋ตงหมิงได้แต่ขอร้องซู่ชินอ๋องด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเท่านั้น

ซู่ชินอ๋องได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับกดเสียงต่ำกล่าวออกมาว่า “ตงหมิง เจ้าคิดว่าผู้คนในสนามแห่งนี้ มีเจ้าคนเดียวที่ฉลาดเฉลียวงั้นหรือ? เจ้าลองดูองค์รัชทายาท เสด็จอาเก้า ลั่วอ๋องและองค์ชายชุนหยูดูซิ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมองไม่ออกหรือ? มีบางเรื่อง ที่มิได้ง่ายดายดั่งสิ่งที่เราคิด”

ซู่ชินอ๋องไม่อาจวางใจในตัวตี๋ตงหมิงได้เลย เนื่องจากเด็กคนนี้ เขาหาได้มีความคิดเป็นของตัวเองไม่ ดังนั้น เขาจึงไม่อาจวางใจให้ตี๋ตงหมิงมารับช่วงต่อของกองกำลังพลเสินจีต่อจากเขาได้

หากไม่มีกองกำลังพลเสินจีอยู่ ตระกูลตี๋จักสามารถอยู่ในตงหลิงได้อีกหรือ? ทั้งบุตรชายและลูกสะใภ้ของเขาล้วนแต่ตายกันไปหมดแล้ว ตี๋ตงหมิงเองก็เป็นสายเลือดสุดท้ายของตระกูลตี๋แล้วเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จักต้องปกป้องสายเลือดตระกูลตี๋ไว้ให้ได้

“ท่านปู่ ข้า” ไหล่ของตี๋ตงหมิงลู่ลงด้วยความอ่อนแรง