บทที่ 253 ตกหลังม้า อาภรณ์ขาด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“ตงหมิง เกาทัณฑ์หากได้ง้างไกออกไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืน เฉกเช่นเดียวกับการแข่งขันเช่นกัน นอกจากเฟิ่งชิงเฉินจะต้องตาย มิเช่นนั้น การแข่งขันย่อมไม่อาจหยุดลงได้ เฟิ่งชิงเฉินย่อมรับรู้ได้ว่าม้าผิดปกติตั้งแต่แรกแล้ว ทว่า นางหาได้พูดออกมาไม่ เนื่องจากนางรู้ดี ว่าเรื่องนี้มีทางเดียวคือกล้ำกลืนลงท้องไปเสีย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจพูดออกไปได้

ม้าป่าเช่นนี้ ย่อมเป็นม้าที่แต่ละแคว้นตระเตรียมมา เจ้าคิดว่าม้าของซีหลิงมิได้ถูกทำอันใดงั้นหรือ? เจ้าคิดว่าม้าของตงหลิงเองจะมิได้ทำอันใดเช่นกันหรือ? เรื่องพวกนี้ พวกเขาล้วนแต่รู้แจ้งแก่ใจอยู่แล้ว หากแต่ไม่อาจจะออกมาพูดต่อสาธารณะชนได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปู่!” ตี๋ตงหมิงพลันนั่งลงด้วยความเศร้าใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูหว่านด้วยแววตาคมกริบ น่าเสียดาย ที่ซูหว่านหาได้สนใจอันใดไม่

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่า นางไม่อาจทนมันได้อีกแล้ว หากม้ายังไม่ยอมหยุดอีก นางอาจจะตกลงมาจากหลังม้าก็เป็นได้ อีกทั้ง หากนางตกลงมาจากหลังม้าแล้ว คงไม่พ้นความตายที่รออยู่

แต่เดิมนางมิอยากจะใช้ยาแฝดเลยแม้แต่น้อย หากนางใช้ยาแฝดไป ม้าตัวนี้จักต้องสลบเป็นแน่ อีกทั้ง มันจะทำให้ผู้คนสงสัยเอาได้ แต่ในยามนี้ นางไม่อาจทนไหวอีกแล้ว นางไม่อยากจะคิดอันใดอีก ขอเพียงแค่ให้ม้าตัวนี้หยุดก็พอ

“ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่อาจทนได้แล้ว” ครั้งนี้ เป็นคุณชายอายุน้อยท่านหนึ่ง สังเกตุเห็นความผิดปกติในตัวเฟิ่งชิงเฉิน

ทุกคนต่างพากันเหงื่อตกแทนเฟิ่งชิงเฉินเสียเอง

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหว่านค่อย ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พร้อมกับมุมปากที่โค้งขึ้นราวกับผู้ชนะในครานี้

แต่ในขณะเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินกับตบไปที่ตูดม้าอย่างแรง พร้อมทั้งใช้มือดึงเชือกเอาไว้ พร้อมกับเขย่าบังเหียนเพื่อเป็นการเร่งความเร็วของม้าอีกครั้ง

“ไป!”

ความรวมเร็วดั่งสายฟ้าของม้าดำชางชานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยามที่เกือกม้าวิ่งพุ่งตรงไปด้านหน้านั้น ด้านหลังพลันมีฝุ่นควันโขมงพวยพุ่งขึ้นมาไม่มีหยุด จนผู้คนไม่อาจมองเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ในสนามม้าได้

“เฟิ่งชิงเฉินนางบ้าไปแล้วหรือ”

นี่คือสิ่งที่ผู้คนในสนามคิดไปในทางเดียวกัน

ในยามที่กำลังเร่งความเร็วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา พร้อมกับกดมันไปที่จมูดของม้าดำชางชานในทันที

ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมานั้น นางก็นอนลงไปบนหลังม้าในทันที พร้อมกับใช้สองมือกอดคอม้าเอาไว้ ยามที่กดผ้าเช็ดหน้าลงไปนั้น แม้ว่าม้าจักส่ายหน้าไปมา เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องพยายามกดมันเอาไว้ ขอเพียงแค่ยังมีลม ยาจักต้องได้ผลแน่นอน

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกดผ้าเช็ดหน้าไปที่จมูกม้า นางก็ต้องกลั้นหายใจไปด้วยเช่นกัน หากตนเองโดนฤทธิ์ยาแฝดและเป็นลมสลบไป ย่อมเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินเสียงเกือกม้าดังสนั่นนั้น จู่ ๆเฟิ่งชิงเฉินก็พลันได้ยินเสียงอาภรณ์ของตนเองที่ถูกกระชากขาดในทันที

แควกแควก

เสียงมิได้ดังมากนัก แต่กลับรุนแรงผิดปกติ

“อาภรณ์ขาดหรือ? จักเป็นไปได้อย่างไร?”

ชั่วพริบตาเดียว แรงสะบัดของม้าในครั้งสุดท้าย พร้อมกับเสียงกรีดร้องของเฟิ่งชิงเฉินที่ตกลงจากหลังม้าในทันที

“เฟิ่งชิงเฉินตกจากหลังม้าแล้ว!”

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน

เสียงสะบัดในครั้งสุดท้าย ทำให้ผู้คนต่างก็ลุกขึ้นมามองในทันที แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน เพื่อต้องการที่จะค้นหาร่างของเฟิ่งชิงเฉินและม้าดำชางชาน

ภายในละอองฝุ่นที่คละคลุ้งแต่ทว่า ฝุ่นควันหนาเกินไป ทุกคนที่ยืนขึ้น ต่างก็มองเห็นได้เพียงภาพลาง ๆ เท่านั้น พร้อมด้วยเสียง”ตุบ”ตามมา พลันทำให้ทุกคนตกตะลึงไปในทันที

“นั่นมันเสียงอะไรกัน? ม้าดำชางชานเล่า? เหตุใดถึงไม่เห็นแล้ว?”

มันคือเสียงม้าดำชางชานที่ล้มลงบนพื้น

เฟิ่งชิงเฉินใช้สองมือกุมหัวตนเองไว้ พร้อมกับกลิ้งอยู่บนสนามม้าอยู่หลายตลบ จนในที่สุดก็หยุดลง หลังจากที่พักไปเพียงชั่วครู่ เฟิ่งชิงเฉินก้ได้สติขึ้นมา ทว่า หัวสมองของนางรู้สึกมึนเบลอไปเล็กน้อย นางจึงต้องใช้แรงกัดไปที่ลิ้น

เมื่อได้รับความเจ็บปวด ทำให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจสถานการณ์ในยามนี้ได้ในทันที ในยามนี้ ทั่วร่างของนาง อาภรณ์พลันขาดรุ่งริ่ง สิ่งที่นางกลัวมากที่สุด คือบาดแผลบนหลังของนาง เนื่องจากอาภรณ์ถูกฉีกขาด ยามที่แผ่นหลังถูกถูไปยังบนพื้นทรายนั้น ทรายพวกนั่น ย่อมฝังอยู่ในผิวหนังของนางเป็นแน่

แม้แต่ในเวลาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินหาได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดไม่ ในเวลานี้ สติสัมปชัญญะของนาง ต่างจับจ้องไปยังอาภรณ์ที่ขาดรุ่งริ่งแทน

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่อดทนกัดลิ้นของตนเอง เพื่อข่มอารมณ์ไม่ให้ร่ำให้ออกมา

เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางที่ไม่ครบชุดเช่นนี้ นางจักไปมีหน้าพบผู้คนได้อย่างไร ข่าวลือวันงามสมรสนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มันจะสงบลงได้ หรือว่า นางจักต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนั้นอีกแล้วหรือ? หรือว่า นางจะต้องโดนผู้คนดูถูกเหยียบย่ำนางอีกครั้งหรือ?

เฟิ่งชิงเฉินพลันหลับตาลง พยายามที่จะไล่หยาดน้ำตาออกจาดวงตาของนาง

นางอยากจะให้ตนเองเป็นลมหมดสติไปเหลือเกิน หากนางหมดสติไป ก็จักได้ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้ นางมิได้มีความกล้ามากพอ ที่จะให้ผู้คนได้เห็นสภาพร่างเปลือยเช่นนี้ได้

เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้าไป พร้อมกับค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา พลันหัวเราะเยาะเย้ยให้กับตนเอง

ในเมื่อเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางหมดสติล้มไป ย่อมไม่อาจรังแกซูหว่านกับเหยาหวาได้ง่าย และยังมีพวกที่อยู่เบื้องหลังและยังทำให้นางมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก

แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักต้องถูกทุบตีจนตาย นางก็ไม่เชื่อว่า อาภรณ์จักมาขาดเพียงเพราะการกระทำที่รุนแรงของนางเช่นนี้

หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็มิควรนเป็นเสื้อตัวกลางและเสื้อตัวนอกที่มาขาดพร้อมกันเช่นนี้ อีกทั้ง จุดที่ขาด ก็มิได้มาอยู่แถวตะเข็บอาภรณ์อีกด้วย

ก่อนที่ฝุ่นควันจักจางหายไป เฟิ่งชิงเฉินก็พลันหยิบกรรไกรออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ จากนั้นก็ตัดเสื้อคลุมตัวนอก พร้อมกับมันเอาไว้ ยามที่นางลุกขึ้น มันจักได้มาบังเสื้อคลุมตัวกลางที่กำลังตกลงมาพอดี

โหดร้าย เป็นวิธีที่โหดร้ายยิ่งนัก ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินเหมือนว่าตนเองคือขอทาน ทั่วร่างสกปรกเลอะเทอะ อีกทั้ง อาภรณ์ยังขาดรุ่งริ่งอีก

สิ่งที่โชคดีที่สุดคือ ผิวหนังของนางที่สามารถถูกปิดบังเอาไว้ได้ราง ๆ แล้ว แม้ในยามนี้ นางจะอยู่ในสภาพที่น่าอับอาย แต่นางก็มีหน้าตาพอจะไปเจอผู้คนได้แล้ว

ยามที่ละอองฝุ่นค่อย ๆ จางหายไป ถูกคนก็พลันเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่มีท่าทางแปลก ๆ พร้อมกับลำตัวที่โงนเงนค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นมาจากพื้น ผมเผ้าที่รุงรัง พร้อมกับใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ทั่วร่างของนาง ไม่มีที่ใดสะอาดสะอ้านเลยสักนิด

ผู้คนพลันตกอยู่ในความเงียบงัน แม้แต่ผู้คนที่ยืนอยู่ ก็หาได้มีปฏิกิริยาอันใดไม่

เฟิ่งชิงเฉินนางยืนขึ้นแล้ว ม้าดำชางชานเล่า?

ผู้คนพลันช่วยกันมองหาในทันที ทว่า ก็เห็นได้แต่ร่างของม้าดำชางชานที่อยู่ไกล ๆ

นี่มันอะไรกัน?ม้าดำชางชานตายแล้วหรือ? ไม่น่าใช่กระมัง เฟิ่งชิงเฉินไม่น่าจะทำวิธีเช่นนั้นได้

ผู้คนต่างก็พากันอ้าปากออกมา ทว่า หาได้มีผู้ใดกล้าเอ่ยอันใดออกมาไม่

ซูหว่านพลันขยี้ตาตนเองไปมา ปากพลันพึมพำกล่าวออกมาว่า “ไม่จริง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ นางจักทำได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนแล้ว”

เฟิ่งชิงเฉินหาได้พูดคุยอันใดไม่ เพียงแต่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน พร้อมกับสายตาคมกริบที่กวาดตามองดูผู้คนโดยรอบ ผู้คนที่ยืนอยู่บนสนามบางคน มองไม่ค่อยเห็นนัก หากแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ พวกเขาจะพบกับ แววตาที่เย็นชาของเฟิ่งชิง ราวกับมีลูกไฟลุกออกมาจากดวงตาของนางในทันที

ทุกคนคล้ายกับว่าจะถูกสาปไปในทันใด แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักมิได้ขยับตัว ทว่า ผู้คนที่ยืนมองอยู่ก็หาได้เอ่ยอันใดออกมาเช่นกัน ยามที่เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ เดินลากขาข้างซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บออกมาจากสนามม้านั้น ผู้คนก็พลันโห่ร้องแสดงความยินดีออกมา พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อเฟิ่งชิงเฉินเสียจนลั่นสนาม

ในครานี้ หาได้มีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่ อีกทั้ง นางก็หาได้มีท่าทีเฉลิมฉลิงในชัยชนะของตนด้วย นางยังคงไว้ที่ท่าที่เย็นชาและเย่อหยิ่งเช่นเดิม พร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้ามาหาองค์จักรพรรดิของตงหลิง

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาจากสนามม้านั้น ตงหลิงจิ่วก็พลันส่งสายตาสั่งให้ขันทีนำเสื้อคลุมไปให้นางในทันที ยามที่เฟิ่งชิงเฉินเดินไปได้ไม่ถึงสิบก้าว ขันทีก็พลันส่งเสื้อคลุมมาให้เฟิ่งชิงเฉิน

“คุณหนูเฟิ่ง เสด็จอาเก้ามีรับสั่งให้นู๋ไฉนำมาให้ท่านพะยะค่ะ” ขันทีพลันกางเสื้อคลุมออก ยามที่จะจัดการผูกให้กับเฟิ่งชิงเฉินนั้น กลับถูกเฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธออกมาแทน

“ขอบคุณมาก” เฟิ่งชิงเฉินพลันรับเสื้อคลุมมา จากนั้นก็โยนมันขึ้นไปบนอากาศ พร้อมกับดึงให้มันกลับมาห่อหุ้มร่างกายของตนในทันที

“เสด็จอาเก้า” เฟิ่งชิงเฉินพลันเงยหน้ามองตามไปยัง เสด็จอาเก้าที่นั่งอยู่บนที่นั่งสวยงามเหล่านั้น แม้จะอยู่ไกลนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นางเพียงรู้สึกว่า ในครานั้น เสด็จอาเก้าส่งเสื้อคลุมกันหนาวให้กับนาง ยังทำให้นางอบอุ่นหัวใจถึงเพียงนี้ ทว่า ในครานี้เล่า?

เสื้อคลุมตัวนี้ เฟิ่งชิงเฉินมัดไว้กับตัว เสมือนกับว่าในยามนี้ นางหนาวยิ่งนัก

ในครานี้ เฟิ่งชิงเฉินคล้ายจักเข้าใจคำว่า แม้เลือดไหลหยาดน้ำตาก็ไหลออกมาเช่นกัน

ในยามนี้ นางกำลังพยายามเพื่อแคว้นตงหลิง หากแต่ผู้คนในตงหลิงให้อะไรกับนางบ้าง?

ในขณะที่นางกำลังพยายามเพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด ผู้คนในตงหลิงกลับจ้องจะแทงนางจากด้านหลัง