บทที่ 254 ผิดหวัง จักรพรรดิไร้ใจ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ประเทศชาติ ประเทศชาติหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า ประเทศชาติอย่างไรก็คือประเทศชาติ อย่างไรก็ไม่ใช่บ้านของนาง ถ้าหากเป็น “บ้าน” หากต้องมีบ้านเช่นนี้

เฟิ่งชิงเฉินขอไม่มีดีกว่าขาซ้ายของเฟิ่งชิงเฉินคล้ายกับถูกหินก้อนใหญ่ทับ บาดแผลพลันถูกเปิดเผยออกมา ยามที่นางเดินเข้ามาหาผู้คนนั้น เลือดก็พลันไหลออกมาเป็นทางยาว แม้ว่าเสื้อผ้าอาภรณ์จักเป็นสีเข้มแล้วอย่างไร หากแต่ก็ไม่อาจปกปิดร่างกายที่ถูกเปิดเผยออกมารวมไปถึงความอับอายที่นางได้รับในยามนี้ได้อีกแล้ว

จากสนามม้าเดินมาหยุดอยู๋ตรงหน้าของพระพักตร์ของฝ่าบาทนั้น หาใช่ระยะทางสั้น ๆ ไม่ เฟิ่งชิงเฉินพลันแบกร่างกายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยบาดแผลเดินเข้ามาด้วยความยากลำบาก เมื่อผู้คนที่ได้เห็นเช่นนั้น หาได้มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยพยุงตัวนางไม่

คนพวกนี้ เอาแต่มองเฟิ่งชิงเฉินอยู่เช่นนั้น พร้อมกับมองเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ในท่าทีที่น่าอับอายที่สุดและอยู่ในท่าทีที่หยิ่งจองหองมากที่สุดเช่นกัน

ทุกย่างก้าวของเฟิ่งชิงเฉิน คล้ายว่าจะมีคมมีดคอยกรีดนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุก ๆ ครั้งที่นางก้าวเดิน บาดแผลก็ค่อย ๆ พรั่งพรูออกมาด้วยความเจ็บปวด เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เช่นกัน ว่าตนเองสามารถอดทนได้อย่างไร

“ปัก” เสียงหัวเข่าของเฟิ่งชิงเฉินที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ “ทูลฝ่าบาท ชิงเฉินมิทำให้พระองค์ผิวหวัง ชิงเฉินสามารถปราบม้าดำชางชานของแคว้นหนานหลิงได้แล้วเพคะ”

น้ำเสียงที่พูดขึ้นด้วยท่าทีอันสงบนิ่ง หาได้มีท่าทีโกรธหรือโมโหอันใดไม่ เนื่องจากชัยชนะของเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจหุบยิ้มลงได้เลย ยามที่เผชิญหน้ากับท่าทางแปลก ๆ ของเฟิ่งชิงเฉิน ฝ่าบาทจึงคิดไปเองว่านางเหนื่อยมาก

“เฟิ่งชิงเฉิน ม้าดำชางชานเป็นลมตาย หาใช่เพราะเจ้าปราบพยศมันไม่” ฝ่าบาทยังมิทันได้เอ่ยอันใดออกมา ซูหว่านก็รีบพูดขึ้นมาในทันที

ในยามนี้ซูหว่านโมโหยิ่งนัก แต่เดิม นางคิดว่าแผนการทุกอย่างจักเป็นไปได้ด้วยดี ไม่คิดเลย ว่าแผนการของนางจักถูกเฟิ่งชิงเฉินทำล่มเช่นนี้

เจ้าพวกบ้า มิใช่นางบอกให้พวกเขาให้ม้ากินยาคึกไปแล้วหรือ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ หมอหลวงกล่าวว่ายานี้ จะทำให้ม้าคุ้มคลั่งเป็นหนึ่งวันหนึ่งคืนเชียว ทว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาเล่า? ยังมิทันครบหนึ่งชั่วยาม ม้าก็พลันล้มลงไปแล้ว

มิรอให้ฝ่าบาทพูดอันใดออกม เฟิ่งชิงเฉินพลันลุกขึ้นพูดออกมาในทันที “มิใช่การปราบพยศ? ผู้ใดพูดกันว่าไม่ใช่! ม้าดำชางชานเป็นลมตายไปงั้นหรือ? ผู้ใดพูดกันว่า ม้าดำชางชานตายแล้ว! ม้าดำชางชานยอมจำนนบนแทบเท้าของข้าต่างหาก หากมิได้มีคำสั่งของข้า มันย่อมไม่อาจลุกขึ้นยืน”

เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยเสียงดังฉะฉาน แม้น้ำเสียงจักแหบแห้งไปบ้าง แต่ทว่า คำพูดของนางในทุก ๆคำ ผู้คนที่อยู่ภายในสนามต่างก็ได้ยินกันหมด

ผู้คนพลันตกอยู่ในความอับอายไปในทันที แต่จู่ ๆ ก็พลันเผยท่าทีชื่นชมเฟิ่งชิงเฉินออกมา

ความสามาถของเฟิ่งชิงเฉินในยามที่เอ่ยคำพูดกลับดำเป็นขาวได้อย่างน่าชื่นชมยิ่งนัก

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้กลับคำวาจาเช่นนี้ แท้จริงแล้วม้าดำชางชานเป็นลมตายไป จะไปเรียกว่าปราบพยศได้อย่างไรกัน ไม่มีคำสั่งจากเจ้า มันถึงไม่ลุกขึ้นมา หากเจ้ามีความสามารถ เรียกมันลุกขึ้นมาเสีย?” ซูหว่านในยามนี้ นางโมโหยิ่งนัก มันเห็นได้ชัดว่า ในยามนี้เฟิ่งชิงเฉินกำลังพูดจากลับดำเป็นขาว

“เจ้านับว่าเป็นตัวอันใดกัน คนเช่นเจ้านะหรือ มีสิทธิ์อันใดมาสั่งข้าได้?” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าววาจาเยาะเย้ยออกมา พร้อมกับหันไปเอ่ยกับองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาทเพคะ ชิงเฉินทำการปราบม้าดำชางชานได้แล้ว ทั้งม้าขององค์หญิงเหยาหวาและคุณหนูซูหว่าน ในเมื่อเป็นไปตามข้อตกลงที่พวกนางให้มา ทั้งม้าเหงื่อโลหิตและม้าดำชางชาน ตั้งแต่นี้เป็นต้นใดมันคือสมบัติของชิงเฉิน ชิงเฉินจะขอรับของขวัญเป็นม้าเหงื่อโลหิตและม้าดำชางชานจากฝ่าบาทเป็นของขวัญพระราชทานนะเพคะ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญเป็นหมื่นหมื่นปี”

เฟิ่งชิงเฉินชอบม้าทั้งสองตัวยิ่งนัก แต่นางก็รู้ดีว่า นางไม่อาจรักษาม้าทั้งสองตัวนี้ไว้กับตนได้ แทนที่นางจะรอให้ฝ่าบาทมาแย่งชิงมันไป ไม่สู้นางเอ่ยปากขอแทนจักดีกว่าหรือ

“เจ้า เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหาได้ปราบม้าพยศไม่” ซูหว่านรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาในทันที หากจักรพรรดิตงหลิงมอบมันให้เฟิ่งชิงเฉินแล้ว นางจักเอามันกลับคืนมาได้อย่างไร

“มิได้ปราบม้า? คงมีแต่คุณหนูซูหว่านผู้เดียวกระมังที่คิดเห็นช่นนั้น ท่านสามารถสอบถามผู้คนที่อยู่ภายในสนามม้าแห่งนี้ได้ ว่าแท้จริงแล้ว ข้าได้ปราบม้าพยศของม้าดำชางชานลงหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทางมีเหตุผล อีกทั้งผู้คนที่อยู่ในสนามยังให้ความร่วมกับนางอย่างไร้ยางอายยิ่งนัก “นางปราบพยศแล้ว!”

เสียงที่ดังกึ่งก้องไปทั่วสนาม ราวกับจะทำให้แก้วหูแตกออกมา ทว่า มันกลับดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก

“พวกเจ้าคนของตงหลิงรังแกผู้คนยิ่งนัก” รวบดวงตาทั้งสองข้างของซูหว่านพลันแดงก่ำ นางมิอยากจะเชื่อเลยว่า ผู้คนจะไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งผู้คนในตงหลิงทั้งหมด ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก

แต่อย่างไร นี่ก็เป็นหมากของตงหลิง นางไม่อาจทำอันใดได้

“รังแกคนหรือ? คุณหนูซูหว่าน ข้าวยังสามารถกินกับสำรับชนิดใดได้ แต่ทว่า คำพูดไม่อาจเอ่ยออกมาโดยไร้การไตร่ตรองได้ ในเมื่อท่านคิดว่าคนของแคว้นตงหลิงรังแกท่าน เช่นนั้นลองถามองค์หญิงเหยาหวาเป็นอย่างไร ว่าข้าได้ปราบพยศม้าดำชางชานของแคว้นหนานหลิงหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามคำถามที่อันตรายยิ่งนัก

ในเมื่อม้าเหงื่อโลหิตของซีหลิงเหยาหวาพ่ายแพ้ไปแล้วนั้น หากนางจะช่วยเหลือซูเหยาย่อมต้องกลายเป็นคนที่โง่เง่า ทั้งสองแคว้นล้วนแต่พ่ายแพ้ให้กับตงหลิง อย่างน้อย นางก็ได้รับคำดุด่าน้อยลง แม้ว่าตงหลิงทำเช่นนี้จักเป็นการดูถูกพวกนาง ทว่า นางไม่มีทางเลือกอื่น หากเลือกที่จะลากซูหว่านลงน้ำไปด้วยกันกับนางนั้น นับว่ามิได้มีผลกระทบอันใดต่อนางมากนัก “คุณหนูซูหว่าน ท่านยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะ ท่านหมอเฟิ่งได้ทำการปราบพยศม้าดำชางชานของท่านแล้ว”

“รังแกผู้คนมากเกินไปแล้ว” ซูหว่านพลันสะบัดอาภรณ์พร้อมเดินออกไปจากงานด้วยความโกรธเคือง

ฝ่าบาทหาได้เอ่ยอันใดขึ้นมาไม่ ถึงอย่างไรซูหว่านก็ออกจากสนามไปแล้ว ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ที่เฟิ่งชิงเฉินได้รับชัยชนะไปได้ เมื่อซูหว่านเดินออกไปนั้น ข้าราชบริพารที่ได้สติกลับมา ก็เอ่ยคำอวยพรกันเสียฉากใหญ่

ฝ่าบาทพลันรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก พลันน้อมรับคำอวยพรไว้ที่ตนเองจนหมด หลังจากที่ทุกคนเอ่ยคำอวยพระจนหมดนั้น จักรพรรดิก็พลันนึกถึงวีรบุรุษในเหตุการณ์ได้ในทันที “ชิงเฉิน เจ้าคิดว่า เจิ้นควรจักมอบรางวัลใดให้เจ้าดี?”

“ชิงเฉิน ชิง” ชิงเฉินพลันถอนหายใจออกมา ยามที่ซูหว่านเดินออกไปนั้น ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินพลันโงนเงน และล้มลงไปในทันที

“เฟิ่งชิงเฉิน!” ทั้งตี๋ตงหมิงและตงหลิงจื่อลั่วต่างพากันวิ่งเข้ามาในทันที แต่ตี๋ตงหมิงไวกว่าหนึ่งก้าว เขาจึงรับเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว

ตงหลิงจิ่วที่กำลังก้าวเข้าไปด้านหน้า ก็พลันกลับมายืนตามเดิม พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำแน่น แล้วจึงถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งหันกายจากไป

“หมอหลวง รับเรียกตัวหมอหลวงมา” เฟิ่งชิงเฉินที่หมดสติล้มลงไปต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเช่นนั้น หาได้มีผลกระทบต่อฝ่าบาทที่กำลังปลื้มปิติต่อชัยชนะไม่
“กลับบ้าน ข้าจะกลับบ้าน” นางไม่อยากจะอยู่ในสถานที่บ้า ๆ เช่นนี้อีกแล้ว

“ได้ ได้ ข้าจักพาเจ้ากลับไป ข้าจักพาเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้” ตี๋ตงหมิงพลันอุ้มเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงในทันที ยามที่อุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมานั้น “ฝ่าบาท? ได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมไปส่งเฟิ่งชิงเฉินที่จวนด้วยเถิดพะยะค่ะ?”

“ได้” เมื่อเห็นท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินนั้น หัวใจของตี๋ตงหมิงพลันรู้สึกเย็นชาขึ้นมาในทันที

ไม่แปลกใจเลย ที่อวี่เหวินหยวนฮั่วจะยอมอยู่ที่นอกด่านไม่ยอมกลับมาในเมืองหลวง จักรพรรดิที่ไร้ใจเช่นนี้ เขามิเคยไว้ใจข้าราชบริพารที่อยู่ใต้ล่างเลยสักนาย แม้ว่า จักมีทหารมาตายอยู่ตรงหน้าก็ตาม ฝ่าบาทก็คงไม่คิดแยแสกระมัง

“ให้หมอหลวงดูอาการของนางก่อน” จักรพรรดิหาได้ยินยอมไม่ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักสามารถอดทนจนมาถึงจุดนี้ได้ นับว่าไม่ง่ายนัก การที่นางหมดสติเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนคิดไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ทว่า ฝ่าบาทยังคงสงสัยเฟิ่งชิงเฉินอยู่ พระองค์กลัวว่านางจะแสร้งเป็นลมไป

หมอหลวงทั้งห้า ต่างพากันวนเวียนขึ้นมาจับชีพจรให้กับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่อผลที่ได้ออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินใช้แรงจนถึงขีดจำกัด อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อกำลังภายในของนางอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีบาดแผลทั้งภายในและภายนอกที่ร้ายแรง อีกทั้งลมหายใจของนางยังอ่อนแรงลง ต้องได้รับการรักษาในทันที มิเช่นนั้น อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาไปแล้ว แต่อย่างไรก็อาจจะได้รับผลกระทบที่ตามมาเช่นกัน

ตี๋ตงหมิงที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เดิมเขาอยากจะขอร้องให้เฟิ่งชิงเฉินพักอยู่ภายในราชวัง เพื่อให้หมอหลวงทำการรักษานางก่อน หากผู้ใดจะไปคิดกัน ว่าจักมาได้ยินฝ่าบาทเอ่ยออกมาว่า “ทำตามที่ชิงเฉินร้องขอ ส่งนางกลับจวน พร้อมทั้งให้หมอหลวงตามไปรักษา”

จักรพรรดิไร้ใจยิ่งนัก แม้แต่ความเป็นความตายของเฟิ่งชิงเฉิน ที่เพิ่งช่วยตงหลิงเอาไว้ พระองค์ก็ไม่คิดสนใจแล้วหรือ?

หากต้องมีจักรพรรดิเช่นนี้ เขาจักไปทำใจเคารพรักและจงรักภักดีได้อย่างไร

แม้แต่ตี๋ตงหมิงก็ไม่อาจทนได้ พลางอุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้น และวิ่งออกจากพระราชวังด้วยความรวดเร็ว

“เฟิ่งชิงเฉิน เข็นใจไว้ ข้าจักไม่ยอมให้เจ้าตาย!”