ตอนที่ 1,449 : ประลองเป็นตาย
วันพรุ่งนี้…การประลองเป็นตายก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
วันนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแต่อย่างไร กลับเลือกที่จะออกมานั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนในลานหน้าบ้าน จิบชาหอมกรุ่นอย่างละเลียดละไม
แลแล้วท่าทางเหมือนคนสบายใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนคนที่กำลังจะขึ้นประลองเป็นตายแม้แต่น้อย
ศิษย์ฝ่ายนอกที่ผ่านมาแลเห็น ก็อดที่จะเหวอไปตาปริบๆเสียไม่ได้ สุดท้ายก็จะส่ายหัวไปมาเบาๆ “ดูท่าศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนจะปลงตกแล้ว…”
“ช่างโชคร้ายนัก ศิษย์พี่ต้วนมีพรสวรรค์และศักยภาพสูงล้ำขนาดนี้ แต่พรุ่งนี้กลับถูกฟ้าลิขิตให้ต้องตาย”
“เป็นฟ้าริษยาอัจฉริยะจริงๆ…”
……
ศิษย์ฝ่ายนอกมากมายอดไม่ได้ที่จะเสียใจกับต้วนหลิงเทียน
นอกจากนี้ยังมีศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนที่เห็นดีเห็นงามกับความหยิ่งยโสของต้วนหลิงเทียน ที่ทำอะไรเกินตัวอย่างรับคำท้าประลองเป็นตาย ศิษย์เหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนคะแนนอุทิศที่ข้าลงเดิมพันกับศิษย์พี่ต้วน จะได้กำไรงอกเงยงามตาแล้ว…”
“เรื่องนี้เจ้ายังต้องกล่าวอีกหรือ การประลองเป็นตายพรุ่งนี้ไม่มีทางผิดพลาดอันใดแน่นอน”
ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนไม่ได้สนใจว่าต้วนหลิงเทียนจะทำอะไรในวันนี้ เพราะสุดท้ายนี่ก็เสมือนสิ่งสุดท้ายที่ต้วนหลิงเทียนจะได้กระทำ ก่อนที่จะขึ้นไปตายในการประลองวันพรุ่ง…
ในสายตาของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว…
ไม่ว่าศิษย์ฝ่ายนอกที่เดินผ่านมาก็จะกล่าววาจาอะไรกัน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่นำพาทั้งสิ้น เพียงนั่งจิบชาที่โต๊ะหินอ่อนด้วยอารมณ์สุนทรีย์ หากแต่สองตามองฟ้ากว้างอย่างอ้างว้าง ใจเพียงคิดถึงคู่หมั้นทั้ง 2 ที่จากกันไกล…
‘อีก 10 เดือนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องกลับไป…ไม่ว่าลูกน้อยข้าจะคลอดหรือยังไม่คลอด ข้าก็จะเฝ้ารอดูช่วงเวลาที่ลูกข้าลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก’
ต้วนหลิงเทียนคิดในใจอย่างโหยหา
อีก 10 เดือนก็จะครบ 3 ปีที่เขาเดินทางจากเกาะป้านเยว่มายังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว
‘ไม่รู้ป่านนี้เด็กโง่ทั้ง 2 เป็นไรบ้างแล้ว…ยังมีเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋กับเสี่ยวจินอีก รวมถึงหานเฉวี่ยไน่ด้วย..นางเองก็ต้องกำลังเป็นห่วงข้าไม่น้อยแน่’
ในใจต้วนหลิงเทียนปรากฏร่างผู้คนที่คุ้นเคยวาบผ่านมาทีละคนๆ
ร่างดังกล่าวสดใสร่าเริงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะยามห้อมล้อมเขา ทำให้ใจเขารู้สึกอบอุ่นไม่น้อย
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่รู้เลย
ว่าตอนนี้เกาะป้านเยว่แห่งหมู่เกาะเซียนโพ้นทะเล ได้บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง…เพราะการมาถึงของชายวัยกลางคนในชุดสีทอง!
หากเขารู้เรื่องนี้ เขาจะต้องเร่งรุดกลับเกาะป้านเยว่ด้วยพลังทั้งหมดแน่แท้
นั่งนึกเรื่องราวอะไรไปเรื่อยเปื่อยเผลอๆตะวันก็ลาลับฟ้า ม่านสีดำของราตรีกาลเริ่มคลี่กาง ต้วนหลิงเทียนก็กลับไปในห้องหับ ไม่คิดบ่มเพาะฝึกฝนอะไรสืบไป เพียงเอนกายหลับตาลงจมจ่อมไปกับความฝันอย่างเงียบงัน
ในสายตาคนอื่นเขาพึ่งมาถึงสำนักจันทร์จรัสแสงได้เพียง 2 เดือน…
หากแต่ในความเป็นจริงนั้นเขาอยู่ในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว…
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านเขาฝึกฝนบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง จนไม่มีเวลานอนหลับพักผ่อนเหมือนผู้อื่น…
แล้วต้วนหลิงเทียนก็หลับไหลไปอย่างสงบ จวบจนตะวันโด่งก็ยังไม่ตื่น
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นจากเตียง อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ ออกจากบ้านมาเขาก็พบว่าดวงตะวันแทบจะเด่นหราอยู่กลางฟ้ารอมร่อ “เห…สายป่านนี้แล้วหรือเนี่ย? ป่านนี้พวกมันไปรอกันที่ลานฝึกซ้อมแล้วล่ะมั้ง?”
อย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิด
ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสงตอนนี้ เรียกว่าผู้คนตื่นมารวมตัวกันตั้งแต่หัวรุ่ง! และไม่เพียงศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้น ผู้ดูแล ทั้งผู้อาวุโสฝ่ายนอกทั้งหมดได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา เว้นก็แต่อาวุโสหลักอย่างต่งซานที่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะ
และวันนี้กระทั่งศิษย์ฝ่ายในบางคนที่ทราบข่าวก็มาชมดูเรื่องราวเช่นกัน
ในบรรดาศิษย์ฝ่ายในที่ว่าก็มีโจวฉีรวมอยู่ในนั้นด้วย
สนามฝึกซ้อมที่กว้างใหญ่วันนี้ดูแน่นไปถนัดตาด้วยผู้คนมากมายรายล้อม เพียงเว้นที่ว่างตรงกลางไว้สำหรับการประลองเท่านั้น
และในที่ว่างดังกล่าว ก็มีร่างชายหนุ่มยืนกอดอกหลับตารอคอยอยู่อย่างเงียบงัน คล้ายมันทำสมาธิหรืออย่างไรไม่ทราบหากแต่สงบนิ่งไม่ไหวติงดั่งภูผาคล้ายคนกลับกลายเป็นรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น
ร่างคนดังกล่าวคือ เฝิงฟ่าน อันดับที่ 5 ของศิษย์ฝ่ายนอก
ขณะเดียวกันมันยังเป็นยอดฝีมือที่มีพลังสามารถสูงพอจะติดอันดับในรายนามปฐพี!
“ไฉนสายป่านนี้แล้วศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนยังไม่มาอีกเล่า?”
“เอ่อ…มิใช่ว่าพี่ท่านหอบคะแนนอุทิศหลบหนีไปแล้วหรอกนะ?”
“คงไม่หรอก ศิษย์พี่ต้วนไม่คล้ายเป็นคนเช่นนั้นท่าทางยังน่าเชื่อถือยิ่ง…อีกทั้งเรื่องวันนี้อาวุโสตงฟางก็มีส่วนร่วมเช่นกัน เขายังจะหลบหนีไปที่ใดได้?”
“มีเหตุผล”
……
ลานฝึกซ้อมที่อื้ออึงอยู่พักหนึ่งไม่นานก็กลับมาสู่ความเงียบสงบ ทุกผู้คนได้แต่เฝ้ารอไปเงียบๆ
‘ต้วนหลิงเทียน ข้าจะดูว่าวันนี้เจ้าจะตายอนาถถึงเพียงใด! ทันทีที่เจ้าตายข้าจะเร่งส่งข่าวกลับไปยังสกุลเติ้ง! หากเสี่ยวอวี้รู้ว่าเจ้าถูกฆ่าตายต้องมีความสุขแน่แท้’
เติ้งเหว่ยที่ยืนรออยู่ข้างๆลานฝึกซ้อมก็แสยะยิ้ม ในใจครุ่นคิดทั้งเย้ยหยันต้วนหลิงเทียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับได้เห็นภาพเฝิงฟ่านบดขยี้ต้วนหลิงเทียนจนตายตก
‘ต้วนหลิงเทียน ข้าหวังว่าวันนี้เจ้าจักมีหนทางเอาชีวิตรอด เพราะชีวิตของเจ้าเป็นของข้า เยี่ยหมานผู้นี้! แต่ถ้าหากเจ้าตกตายแล้วจริงๆ ข้าจักฆ่าเฝิงฟ่านเสีย เพื่อพิสูจน์ให้โลกรู้ ว่าข้าเยี่ยหมานอยู่เหนือเจ้า! สามารถฆ่าคนที่ฆ่าเจ้าได้!!’
เยี่ยหมานที่ยืนปะปนอยู่กับฝูงชนมุมหนึ่งเผยแววตาเย็นเยียบอำมหิต
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะยังไม่มา แต่ในใจมันก็บังเกิดความกระหายนัก
มันตกลงสู่หนทางแห่งมารเพราะแรงแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันคิดเอาชนะอยู่เหนือต้วนหลิงเทียนให้จงได้!
หากต้วนหลิงเทียนตกตายไปนั่นก็จะทำให้มันสูญเสียเป้าหมาย อย่างไรก็ตามมันได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว หากต้วนหลิงเทียนตายตกไปด้วยน้ำมือผู้อื่น มันก็จะไม่ถูกความแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียนครอบงำสืบไป และเบนเป้าไปยังเฝิงฟ่านแทน!
ด้านหวงเฉิง ตอนนี้ก็ยืนรวมกับกลุ่มอาวุโสฝ่ายนอกเช่นกัน
ผิดจากอาวุโสคนอื่นนอกเหนือจากต่งชงที่มีใบหน้าหมองซึมด้วยความเสียดาย ตัวมันกลับยิ้มร่าหน้าระรื่นนัก
คะแนนอุทิศ 360,000 แต้มที่ทุ่มแทงข้างเฝิงฟ่าน วันนี้กำลังจะงอกเงยกลับมาเป็นรางวัลให้มันแล้ว!
ถึงแม้ว่าอัตราต่อรองจะต่ำ 30 ต่อ 1
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่วันเดียวกลับทำกำไรได้ 12,000 แต้ม
ใจมันย่อมเบิกบานยินดีเป็นธรรมชาติ!
“เฮ้! ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมานู่นแล้ว!!”
ไม่ทราบว่าเป็นใครที่มีสายตาแหลมคม มันร้องบอกออกมาทันที เมื่อเห็นร่างในชุดสีม่วงกำลังเดินมายังลานฝึกซ้อมอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ทันใดนั้นผู้คนส่วนใหญ่ที่ยืนรอกันที่ลานฝึกซ้อมก็หันขวับไปมองต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกัน
“เจ้านั่นน่ะเหรอ ต้วนหลิงเทียนที่ว่า?”
ศิษย์ฝ่ายในบางคนที่ออกมาชมดูเรื่องราวสนุกสนานที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก เอ่ยออกมาด้วยความสนใจ
พวกมันไม่คิดเลยว่าศิษย์ฝ่ายนอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฝ่ายนอก กระทั่งรู้กันไปถึงฝ่ายในทั้งๆที่พึ่งเข้าสำนักจันทร์จรัสแสงมาไม่นานจะแลดูอ่อนวัยถึงขนาดนี้
(ไม่ลืมนะว่าหน้าตาต้วนหลิงเทียนยังดูเหมือนคนอายุราวๆ 25)
“ต้วนหลิงเทียน!”
โจวฉีมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็น
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่ามดที่อยู่นอกสายตามันวันนั้นเมื่อครึ่งปีกว่าที่แล้ว ถึงขั้นที่มันคร้านจะลงมือฆ่าให้เสียมือด้วยซ้ำ กลับมีพรสวรรค์ทั้งยังเติบโตขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่ากลัวขนาดนี้
หากสามารถย้อนเวลากลับไปเมื่อครึ่งปีกว่าที่แล้วได้ มันจะฆ่ามดกระจ้อยตัวนั้นให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่ว่าหลังจากผ่านวันนี้ไป มันจะไม่มีหนามตำใจอย่างต้วนหลิงเทียนอีก โจวฉีก็เต็มไปด้วยความสุข
“โจวฉี?”
ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายบนลานฝึกซ้อม แต่ต้วนหลิงเทียย่อมจับสัมผัสถึงสายตาอาฆาตที่มองมาได้ทันที เขาเห็นโจวฉีได้ในเวลาอันสั้น อดไม่ได้ที่ใจจะคิดไปอย่างเย็นเยียบ ‘คอยดูให้ดี…ว่าข้าจะมอบของขวัญอะไรให้เจ้า!’
กว่าครึ่งปีที่แล้วฉากที่โจวฉีบุกมาฆ่าคนอย่างอุกอาจในจวนเจ้าเมืองชงซัน ทั้งภาพที่อีกฝ่ายทำร้ายฟางฮุ่ยยังคงตราตรึงสดใหม่ในใจ
วันนั้นอีกฝ่ายเหลือบแลเขาไม่ต่างอะไรจากมด ที่กระทั่งจะบี้ยังไม่อยากลงมือให้เสื่อมเสีย ทว่าขอเวลาอีกสักปี เขาเชื่อมั่นว่าจะขยี้มันกลับได้!
เพราะหากให้เวลาเขา 1 ปี ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เทียบได้กับ 3 ปี!
‘สารเลว! เจ้ากล้าดียังไง!!’
เมื่อได้เห็นสายตาที่เหลือบมองสวนมาราวกับไม่นับว่ามันเป็นตัวอะไรของต้วนหลิงเทียน โจวฉีถึงกับของขึ้นทันที สีหน้ายังบิดเบี้ยวคล้ายพึ่งเคี้ยวถูกแมลงวัน!
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะแสดงพรสวรรค์อันร้ายกาจออกมาเพียงใด แต่ในสายตาโจวฉี ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ยังเหมือนมดเมื่อครึ่งปีกว่าที่แล้วอยู่ดี!
ทว่าวันนี้มดตัวนั้นกลับหาญกล้ามองมันด้วยสายตาโอหังถือดีเช่นนั้นเหรอ!?
จังหวะนี้อดไม่ได้ที่โจวฉีจะมีโมโหนัก!
“ศิษย์น้องฟ่านข้าหวังว่าก่อนที่เจ้าจะฆ่ามันให้ตาย! เจ้าจะทรมานมันให้เจ็บปวดถึงที่สุด..เอาให้มันร้องขอความตายได้ยิ่งดี!!”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่ง โจวฉีพลันมองไปยังเฝิงฟ่านที่ยืนรออยู่กลางลานฝึกซ้อม ค่อยส่งเสียงผ่านปราณแท้ไปด้วยความอาฆาต
เมื่อได้ยินเสียงผ่านปราณของโจวฉี เฝิงฟ่านก็ลืมตาขึ้นมาทั้งพยักหน้า
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเดินมาตามหนทางที่เหล่าศิษย์แหวกออกให้เดินสะดวกอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่นานก็มาหยุดยืนเผชิญหน้ากับเฝิงฟ่านด้วยท่าทางเฉยเมย
“ต้วนหลิงเทียน?”
เฝิงฟ่านโค้งคิ้วขึ้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไถ่ถาม ขณะกล่าวหัวมันยังเชิดขึ้น สายตาเหลือบมองลงทำราวกับชนชั้นสูงที่กำลังกล่าววาจากับผู้ที่ต้อยต่ำกว่า
“เฝิงฟ่าน?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบคำเฝิงฟ่าน เพียงมองถามสวนกลับสายตาที่ส่งไปก็คล้ายมองขี้ข้าคนหนึ่ง ที่ได้แต่วิ่งเต้นตามคำผู้อื่น
“เฮอะ! กว่าเจ้าจะมาได้ช่างสายยิ่งนัก…ข้านึกว่าเจ้าขลาดกลัวจนหลบหนีไปแล้ว!”
เฝิงฟ่านขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ค่อยกล่าวค่อนแคะออกมาด้วยความรังเกียจ
“ข้ามาสาย?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย โค้งคิ้วกล่าวถามด้วยสีหน้าราวมองตัวโง่งม “จำได้ว่าเจ้าบอกให้ข้ามาที่ลานฝึกซ้อมวันนี้เฉยๆ แต่ไม่ได้ระบุเวลาอะไรที่แน่ชัดออกมานี่..ถ้างั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ข้ามาถึงเกือบเที่ยงวันด้วยซ้ำ ให้ข้ามาถึงมืดค่ำดึกดื่นก่อนเที่ยงคืน ก็ยังไม่นับว่าผิดคำนัดหมายอะไรของเจ้า…”
“ปากดีนักนะ…! ข้าหวังว่าพลังฝีมือของเจ้าจะดีเลิศเหมือนปากเล่ายามประลอง!”
เฝิงฟ่านกล่าวคำเย้ยเยาะ
“อา…ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวังหรอก”
เสียงต้วนหลิงเทียนยังคงสงบนิ่งเฉยเมยคล้ายไม่ได้นำพาอะไรเฝิงฟ่าน ใบหน้ายังคงสงบราวไม่หวั่นแม้ขุนเขาจะถล่มลงตรงหน้า
“ข้าสงสัยนักว่าเจ้าไปพกพาความมั่นใจมากจากที่ใด! ถึงได้หาญกล้ารับสารท้าประลองเป็นตายของข้าเฟิงฝ่านแบบนี้! อย่างไรเสียข้าก็นับว่าเจ้ามีวาสนาอันดีอยู่บ้างที่ได้ตายด้วยมือข้า”
เฝิงฟ่านกล่าวออกเสียงเรียบ “หลังเจ้าตกตายไปจงจดจำเอาไว้เสียให้ดี…ว่าคนที่ฆ่าเจ้าคือผู้ที่จะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนในภายภาคหน้า! หากเจ้าคิดเช่นนี้ในนรก ก็คงพอจะปลอบใจเจ้าได้บ้าง…แพ้ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างข้าก็ไม่ต้องละอายใจอะไรไป!”
“ผู้ที่จะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนงั้นเหรอ..นั่นต้องดูก่อนว่า นำหน้าอย่างเจ้าจะมีปัญญาอยู่รอดไปบ่มเพาะให้ถึงขอบเขตเซียนรึเปล่า…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบคำกลับไปอย่างไม่น้อยหน้า วาจายังตัดทางอย่างไร้ปราณี
เนื่องจากยืนยันได้แน่แล้วว่าเฝิงฟ่านสมควรเป็นคนของหลิวฮ่วนแน่ๆ ในเมื่ออีกฝ่ายถูกส่งมาเอาชีวิตเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าเกรงใจอะไรมัน…เพราะถึงเขาไว้หน้ากล่าววาจากับมันดีๆ มันยังจะล้มเลิกความคิดฆ่าเขารึไง?
ตาต่อตาฟันต่อฟัน!
วาจาคมดั่งมีดดาบ!
หลังจากปะทะฝีปากกันไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายเหนือกว่า
“เฮอะ! เลิกพล่ามเหลวไหลได้แล้ว…จักอย่างไรเสียเจ้าก็หนีความจริงที่ต้องตกตายวันนี้มิพ้น!”
ดูเหมือนจะรู้ตัวว่ากล่าวไปก็ไร้ความหมาย เฝิงฟ่านก็ไม่อยากตีฝีปากกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป สิ้นคำทั่วร่างก็ปรากฏม่านพลังสีทองออกมาฉาบคลุมเอาไว้ทั่วกายทันที!
คนทั้งคนคล้ายถูกม่านผ้าอาภรณ์สีทองคลุมกายอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มัน…”
เห็นภาพนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง
เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายสำแดงออกมานั้น…มันกลับละม้ายคล้าย ‘อาภรณ์เงิน’ ที่เขาฝึกฝน รวมไปถึงอาภรณ์ทองแดงที่เขาเคยฝึกฝนมาก่อน!!