อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินคำพูดพวกนี้จนขมขื่นเป็นอย่างมาก ต่อให้มีเรื่องนี้จริง เพื่อก้อนเนื้อที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างก็สามารถฆ่าลูกชายที่เลี้ยงดูมาสิบกว่าปีได้ บุรุษท่านนี้หากบุ่มบ่ามมุทะลุขึ้นมากละก็อาจจะไปถึงขีดสุด
ในใจนางโกรธจับใจ จูงมือจิ่นจ้งไว้ เอ่ยด้วยความอ่อนโยน “มีพี่อยู่ เจ้าไม่ต้องกลัว บอกมาให้ชัดเจนว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น”
จริงๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น อวิ๋นจิ่นจ้งถูกเรียกไปเรือนหลัก อธิบายให้ท่านพ่อชัดเจนแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าอนุรองพูดเยี่ยงไร ท่านพ่อจึงไม่เชื่อตนเอง หลังจากนั้น ตีก็โดนตีแล้ว เจ็บก็เจ็บไปแล้ว เป็นชายชาตรีจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และก็ไม่เก็บไว้ในใจแล้วทั้งยังไม่น้อยใจอีกด้วย
พอได้ยินพี่สาวพูดเยี่ยงนี้ เขาจึงเล่าว่า “เช้าวันถัดมา หลังเลิกเรียน ข้าอ่านหนังสืออยู่ที่ซีเซียง อนุฮุ่ยหลานก็เช่นทุกๆ วัน ทำขนมชิงเหม่ยเกาที่ข้าชอบที่สุดไว้ วางไว้ในห้องครัวใหญ่ ข้าเหนื่อยพอดี จึงจะไปหยิบด้วยตนเองพร้อมยืดเส้นยืดสายไปในตัว พอนางตกลงก็สั่งให้บ่าวรับใช้ในครัวเตรียมขนมไว้ให้ข้า พอข้าถึงห้องครัวกลับไม่เจอใครเลยสักคน เห็นก็แต่อนุรองและตงเจี่ยอยู่ด้านใน ข้าเลยไปหาที่เตาด้วยตนเอง หยิบขนมเตรียมจะออกไป ตงเจี่ยก็มาชนข้าเข้า ขนมที่อนุฮุ่ยหลานอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำให้ตกหมด แน่นอนว่าข้าไม่พอใจมาก ต่อว่าตงเจี่ยไปไม่กี่คำ ตงเจี่ยรีบเก็บขึ้นมาให้ข้า ตอนนั้นเองอนุรองก็เดินเข้ามา เอ่ยขอโทษข้าพร้อมกับตงเจี่ย ทั้งยังก้มลงไปเก็บ บอกให้ข้าอย่าถือโทษโกรธเคือง ข้าบอกพวกเขาว่าไม่ต้องเก็บแล้วอย่างไรเสียก็กินไม่ได้แล้ว พอได้ฟังเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งรีบเก็บ ข้าเองก็ไม่สนใจแล้วทั้งยังโกรธอยู่หน่อยๆ เลยเดินออกมาก่อน ตอนเดินผ่านอนุรอง นางก็นั่งกับพื้นแล้ว ไม่รู้ว่าข้าโดนนางหรือไม่ แต่ตอนนั้นนางก็ไม่พูดอะไร แต่พอข้ากลับซีเซียง ก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับนางแล้ว”
“เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่! เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ชนเหลียนเหนียงเอง! ยังจะมาบอกว่าไม่ตั้งใจ! เขาเห็นว่าขนมเกาถูกตงเจี่ยชนจนหกหมด จึงโกรธให้ทั้งสองก้มลงไปเก็บหลังจากนั้นก็ชนเหลียนเหนียง!” อวิ๋นเสวียนฉั่งโกรธเป็นอย่างมาก
อวิ๋นหว่าชิ่นส่งสัญญาณให้น้องชายยืนอยู่ก่อน เอ่ยเสียงเรียบ “ครัวหลังเรือนนั้นมีสาวใช้กี่คน ฮุ่ยหลานเข้าไปทำขนมเกาตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งยังบอกบ่าวรับใช้ในครัวว่าคุณชายรองจะมาเอาเอง คนหลังจวนจะต้องรู้” หันหน้ามองเหลียนเหนียง “อนุรองจงใจไปที่ห้องครัวตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหาข้ออ้างพบชายน้อยใช่หรือไม่? ห้องครัวใหญ่คนเยอะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเป็นช่วงเช้าด้วยแล้ว คนเข้าออกเยอะมาก วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ไม่มีผู้อื่น มีเพียงอนุรองและตงเจี่ยสองคน ตั้งแต่ที่อนุรองได้ตำแหน่งลงไปที่ครัวกี่ครั้งกันคงไม่ต้องให้นับ อีกทั้งท่านย่าบอกตลอดว่าต้องทำตามที่ไต้ซืออู้เต๋อพูด อนุรองตั้งครรภ์ค่อยกลับไท่โจวใช่หรือไม่ ทำไม่ท่าพ่อจู่ๆ ถึงส่งท่านย่าไป? ท่านพ่อไม่ต้องพูดว่า ท่านย่าออกจากเมืองไป อนุรองก็ไม่ได้เป่าหูอะไรท่าน! พอท่านย่าออกเดินทางไป วันที่สองจิ่นจ้งก็โดนลงโทษหนัก ข้าเองก็ไม่อยู่ แม้แต่คนที่จะช่วยก็ไม่มี วางแผนมาดีนิ! เรื่องนี้พอคิดๆ แล้ว น่าสงสัยมาก ตอนนั้นท่านพ่อไม่ฟังเลยสักนิด ไม่คำนึงถึงอะไรก็ลงมือเสียแล้ว ท่านพ่อไม่สนใจดเรื่แงถูกผิด ก็ใช้เรื่องต่ำๆ เช่นนั้นกับลูกชายตนเอง!”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าอนุรองถือโอกาสสร้างสถานการณ์มาทำร้ายน้องชายเจ้า?” อวิ๋นเสวียนฉั่งใจสั่นไหว สิ่งที่ลูกสาวพูดมานั้นไม่มีเหตุผลและกลับยิ่งโกรธเคือง “ข้ารู้ว่าเจ้ารักน้องชาย แต่อย่ามายืนกระต่ายขาเดียว เปลี่ยนขาวเป็นดำเลย! เหลียนเหนียงใสซื่อ จะซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดหรือ ในใจนางคิดแต่ว่าจะปรนนิบัติข้าให้ดี อีกอย่างนางอยากกจะทำร้ายจิ่นจ้งจนต้องใช้ลูกตนเองมาเป็นเครื่องมือเลยหรือ! โชคดีแล้วที่ย่าของเจ้ากลับไปก่อน มิฉะนั้นก็จะเห็นการสูญเสียของหลานตนเอง อาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็ได้”
เหลียนเหนียงตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดนายท่าน ไม่กล้าเงยหน้า น้ำตานองเต็มใบหน้า
อวิ๋นหว่านชิ่นขยับช้าๆ ในที่สุดก็เอ่ยมาถึงเหตุการณ์ที่สำคัญแล้ว
หากว่าตั้งครรภ์จริง ใช้เลือดเนื้อเชื้อไข้ของตนเองแลกเปลี่ยนย่อมไม่ดีแน่
หากว่านางไม่ตั้งครรภ์ล่ะ? เช่นนี้ได้ไม่คุ้มเสียแน่
เมื่อครู่นางเพิ่งจับชีพจนเหลียนเหนียงในเวลาสั้นๆ เท่านั้น แข็งแรงดี ไม่เหมือนร่างกายที่เพิ่งแท้งลูกมา
สตรีผู้นี้จะแท้ลูกหรือไม่ การที่แท้งลูกนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการตรวจสอบว่าเลือดและไตบกพร่องหรือไม่ ตอนนี้เวลาผ่านไปนาน ไม่ว่าจะแท้งหรือไม่ก็ยากที่จะระบุได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว สตรีที่แข็งแรงจะฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนนี้ หมอก็ไม่กล้าพูดได้แน่ชัด พอถึงตอนนั้นเหลียนเหนียงสามารถโต้แย้งได้ว่านางแข็งแรงแล้ว
แต่ว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ได้ยินที่เหลียนเหนียงร้องทุกข์แล้วนั้น
ตนเป็นคนของสกุลอวิ๋น จะตรวจเจออะไร อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องคิดว่าเพื่อหาข้ออ้างให้น้องชายเป็นแน่ เขาไม่มีทางเชื่อหรอก
ต้องเชิญหมอมาตรวจที่บ้านสกุลอวิ๋นสักหน่อยแล้ว
นางเหลือบมองเหลียนเหนียงที่ตัวสั่นเทา ให้นางใช้ชีวิตดีๆ สักสองวันเถอะ แต่ว่าเรื่องนี้ คิดเสียว่าตนให้สิ่งที่ดีกับนาง เพียงแค่ลุกขึ้น คร้านที่จะคุยกับคนสกุลอวิ๋น หันศีรษะมองน้องชาย “จิ่นจ้ง ไปกันเถอะ”
ไป? ไปไหน! อวิ๋นเสวียนฉั่งตกใจ “เจ้าจะทำอะไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเล็กน้อย “ในใจของท่านพ่อ จิ่นจ้งเป็นเพียงลูกชายไม่รักดีที่ฆ่าลูกชายของอนุคนโปรด ที่ยังไม่เป็นชิ้นเนื้อเสียด้วยซ้ำ ท่านก็ตีเขาจนเป็นเยี่ยงนี้ ความแค้นครั้งนี้เกรงว่าจะหายยาก ครั้งนี้ยังดี แค่ชนอนุรองเท่านั้น วันข้างหน้าหากเกิดอะไรขึ้นกับอนุรอง เกรงว่าจิ่นต้องจะแบกรับไม่ได้ ให้จิ่นจ้งอยู่ที่บ้านสกุลอวิ๋นต่อไปเช่นนี้ข้าไม่วางใจเท่าใดนัก ท่านพ่อและอนุรองมองมาที่เขา คิดถึงที่เขาฆ่าลูกชายตายก็เสียใจ ช่วงนี้ให้จิ่นจ้งไปพักที่จวนอ๋องก่อนเป็นเยี่ยงไร รักษาตัวให้ดีจะกลับมาตอนไหนค่อยมาบอกก็แล้วกัน”
ชุยอินหลัวดีใจ
อวิ๋นจิ่นจ้งรีบเอ่ย “พี่ใหญ่ กระเป๋าหนังสือและพู่กันยังอยู่ในห้อง หมึกก็ยังอยู่ที่โรงหมอ เดี๋ยวท่านไปเป็นเพื่อนข้า”
“เจ้าซื่อบื้อ” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “ถึงจวนอ๋อง ข้าเปลี่ยนใหม่ให้เจ้าทั้งหมด ส่วนหมึกเดี๋ยวข้าให้เอากลับไปให้ที่จวนอ๋อง” ทั้งยังปรายตามองอวิ๋นเสวียนฉั่ง “ของที่บ้านมันเก่าแล้ว ไว้ให้ลูกชายของพ่อเจ้ากับอนุรองใช้เถอะ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้สติ ถลึงตา “ไม่ได้! จิ่นจ้งเป็นลูกชายของสกุลอวิ๋น ต้องเคารพบิดา หากข้าไม่อนุญาตจะไปกับพี่สาวเช่นเจ้าได้เยี่ยงไร หากว่าวันนี้เจ้ากล้าไป เด็กไม่รักดี ข้าจะไปแจ้งทางการ อย่าบอกว่าเจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายเลย ต่อให้เป็นพระสนมของฮ่องเต้ก็ไม่มีสิทธิ์มาแย่งลูกชายข้า! ข้าจะคอยดูว่าเจ้ากลัวโดนหัวเราะเยาะหรือไม่ หน้าไม่อาย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฉินอ๋องเป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินแทนเลย เจ้าทำเช่นนี้จะทำให้เขาแปดเปื้อนไปด้วย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “ข้าไม่ได้บอกว่าจะพาน้องชายไปนิ” เอียงศีรษะมองเกาจ๋างสื่อ “ใช่หรือไม่ เกาจ๋างสื่อ”